ตอนที่ 51 ตามหาต้นตอ
1/
ตอนที่ 51 ตามหาต้นตอ
วิวาห์ร้าย แต่งกับผี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 51 ตามหาต้นตอ
ตอนที่ 51 ตามหาต้นตอ ตลอดทางที่ผ่านมาเทียนปูหยู่ต่างก็คอยปกป้องฉันอยู่เสมอ อย่างในครั้งนี้เขาก็ไม่ลังเลที่จะต้องเอาฐานะของตัวเองมาเป็นเดิมพัน จนทำให้จ้าวซิ้วต้องจากไปอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่เพียงแต่ช่วยไป๋เวยเวยเอาไว้ แต่ยังช่วยฉันกับซูหลินเอาไว้ด้วย ฉันมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่มืดมิดอยู่เมื่อสักครู่ค่อยๆ สว่างสดใสขึ้นมา ร่องรอยเลือดบนพื้นเองก็ถูกซูหลินทำความสะอาดไปจนหมดจดราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกหลอนคิดขึ้นมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อสักครู่นั้นเป็นเพียงภาพฝัน และไม่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน มีเพียงเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเลือดในมือของฉันเท่านั้นที่ยังคอยย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่า ภาพที่น่าสะเทือนขวัญเมื่อสักครู่มีอยู่จริง ฉันไม่สนใจอีกต่อไปว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน เปลือกตาของฉันที่อ่อนล้าทั้งกายใจเริ่มจะต่อต้านกัน จากนั้นก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ร่างกายของฉันผ่อนคลายลงและล้มลงนอนหลับไปบนเตียง “เฉินน่อ ตื่นเถอะ......” ในระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือ ฉันก็รู้สึกเหมือนมีเสียงหนึ่งกำลังเรียกชื่อของฉันดังบ้างแผ่วบ้างขึ้นมา ฉันลืมตาขึ้นมาด้วยความมึนงง ก่อนจะพบว่าไป๋เวยเวยนั่งอยู่ที่ข้างเตียงของฉัน แม้ว่าสีหน้าของเธอจะยังคงดูซีดเซียวอยู่ แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเธอจะฟื้นฟูกลับมาแล้ว “เธอตื่นแล้ว” ดวงตาของไป๋เวยเวยมองออกไปที่หน้าประตู ไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดกับใครอยู่ ฉันมองตามสายตาของไป๋เวยเวยออกไป ก่อนจะพบว่าซูหลินกำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี เขาโยนกระเป๋าสะพายใบหนึ่งมาให้ฉันและเพียงพูดออกมาด้วยความรีบร้อนสั้นๆ : “นอนเก่งจริงๆ เลยนะ!” ฉันมองไปยังแสงอาทิตย์นวลด้านนอก ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่งขึ้นมาเป็นเวลารุ่งสาง ฉันพยายามเรียกความทรงจำกลับมาว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน แต่กลับคิดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย “นี่เป็นพวกของใช้ที่ฉันจัดกระเป๋าเตรียมเอาไว้ให้เธอ เธอหลับไป 1 วัน 1คืน เรียกยังไงก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา วันนี้พวกเราจะออกเดินทางกันแล้ว รีบลุกขึ้นมากินอะไรสักหน่อย” เมื่อมองไปยังท่าทีราวกับไม่มีอะไรของไป๋เวยเวยแล้ว ฉันก็รู้สึกสับสนขึ้นมา พูดกันตามความจริง ที่เธอสร้างปัญหาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุในวันนั้น จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ลืม พอมองไปที่เธอ ฉันก็จะนึกถึงท่าทีวางท่าสั่งคนอื่นในวันนั้นขึ้นมา แต่ว่าจะไปทำอะไรได้อีกล่ะ ขนาดเธอยังมีสีหน้าดูดีขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ฉันจะดึงหน้าตึงไปก็ไม่มีอะไรดี ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยายามตอบรับกลับไปเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดผ้าห่มลุกนั่งขึ้นมา เมื่อหาอะไรทานง่ายๆ ไปแล้ว ฉันก็ขึ้นมายังรถไฟตรงไปบ้านของไป๋เวยเวย ในช่วงที่ฉันนอนสลบไปอยู่ ซูหลินได้ตามหาที่อยู่ของไป๋เวยเวยจากข้อมูลที่มีในสถานีตำรวจจนพบแล้ว และในตอนที่ซูหลินค้นพบกระจ่างแล้ว ไป๋เวยเวยก็ยอมวางมาดลงราวกับจะยอมแพ้ให้เขา ซูหลินบ่นให้ฉันฟังไปพร้อมกับว่ากล่าวเรื่องความดื้อรั้นของไป๋เวยเวยราวกับคุณพ่อที่เข้มงวดเพราะความหวังดีอย่างไรอย่างนั้น และนั่นก็ทำให้ฉันหลอบหัวเราะออกมา จนถูกซูหลินถลึงตาใส่ หลังจากนั่งตัวสั่นสะเทือนมารอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดฉันก็มาถึงชานเมืองของเมืองแห่งนี้ พวกเรานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ซูหลินกางแผนที่ขึ้นมาตรงหน้าฉัน เขาชี้ไปยังบริเวณหนึ่งบนแผนที่ด้วยความจริงจังอย่างที่หาได้ยาก : “เธอดู แถบนอกเมืองของเมืองแห่งนี้เกือบจะสามารถแบ่งออกเป็น 4 ที่ได้ ทางฝั่งตะวันออกนั้นมีทิวทัศน์ที่งดงามเนื่องจากติดเขาใกล้น้ำก็เลยถูกจัดเป็นบริเวณของคฤหาสน์ ส่วนทางใต้ก็กำลังก่อสร้างมหาวิทยาลัย เมื่อสักครู่ฉันไปถามพนักงานในร้านมา ทางฝั่งนั้นไม่มีป่าอย่างที่เธอบอก” ฉันมองไปยังแผนที่ตรงหน้าด้วยความตั้งใจ และพยายามนึกกลับไปถึงภาพในความฝัน แต่ว่าช่างน่าเสียดาย ในสถานการณ์แบบนั้น เดิมทีฉันก็ไม่มีจิตใจไปมองสภาพรอบตัวที่ไกลออกไป และยิ่งไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้เลย ดังนั้นไม่ว่าฉันจะพยายามคิดอย่างไรก็ไม่อาจจะนึกที่ตั้งของสถานที่นั้นได้ออก ในระหว่างที่ฉันกำลังจะถอดใจคิด ภายในหัวก็มีเสียงหัวเราะของเทียนปูหยู่ดังขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันด่าว่าเขาอยู่ในใจด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก จากนั้นเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ หยุดลง ทำให้ฉันไม่อาจจะแยกแยะได้เลยว่า มันคือความจริงหรือเพียงแค่หลอนไปเอง “เฉินน่อ?” เมื่อซูหลินเห็นว่าฉันเหม่อลอยไป เขาก็ส่งเสียงเรียกฉันออกมา ฉันรู้สึกอายขึ้นมาเล็กๆ และได้เพียงแต่ทำราวกับเข้าใจสิ่งที่เขาพูด จากนั้นก็ชี้ไปที่แผ่นที่พร้อมกับสรุปขึ้นมา : “ดังนั้นคุณก็หมายความว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องไปที่ทางตะวันออกและทางใต้แล้ว ตอนนี้พวกเราไปดูแค่ที่ทางเหนือและทางตะวันตกก็พอใช่ไหม?” ซูหลินส่ายหน้าไปมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะตบลงที่ด้านหลังหัวของฉัน : “เธอไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยนี่! ฉันบอกว่าเดิมทีทางเหนือของเมืองนี้ก็ไม่ได้มีแถบชานเมืองอยู่แล้ว......” ซูหลินยังพูดไม่ทันจบ ฉันก็ดีใจขึ้นมา : “แบบนั้นก็ดีเลย พวกเราไปแค่ทางตะวันตกก็พอแล้วน่ะสิ! ประหยัดเวลาแถมยังประหยัดแรงด้วย!” ซูหลินแสดงท่าทางราวกับแพ้พ่ายออกมา สุดท้ายเขาก็ส่ายหัวไปมา และนั่งลงตรงข้ามกับฉัน : “พนักงาน เอาเหล้ามาให้แก้วนึง” พนักงานถือเมนูเอาไว้ในอ้อมอกด้วยท่าทีอึดอัด แต่สุดท้ายก็ยังคงขมวดคิ้วพูดขึ้น : “คุณครับ ทางร้านของพวกเราไม่มีสุรานะครับ” ซูหลินทิ้งตัวไปอิงผนักพิงด้านหลังด้วยความสิ้นหวัง ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ และโบกมือไปมาเพื่อบอกให้พนักงานออกไป จากนั้นก็จุดบุหรี่ขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะได้กลิ่นบุหรี่เข้า พนักงานจึงเดินเข้ามาอีกครั้ง เมื่อเขามองไปยังใบหน้าอึมครึมของซูหลิน เขาก็ดูจะไม่กล้าพูดอะไรออกมา : “คุณครับ......ทางร้านของเรา......ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่นะครับ.......” จนกระทั่งซูหลินดับบุหรี่ลงอย่างไม่พอใจนัก เขาถึงได้เดินจากไปด้วยความสั่นสะท้าน เมื่อซูหลินเห็นว่าฉันยังมีอารมณ์หลอบขำ เขาก็อดที่จะตะโกนเสียงดังออกมาไม่ได้ :เฉินน่อ เธอตั้งใจหน่อยได้ไหม!” พอพูดจบก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาปากกาออกมาจากที่ไหน จากนั้นเขาก็พูดไปพร้อมกับกากบาทอันใหญ่ลงไปที่แถบชานเมืองของทางตะวันออกและทางใต้ : “ทั้งสองที่นี้ เราไม่จำเป็นต้องไปหาแล้ว!” หลังจากนั้นเขาก็วาดวงกลมลงในสถานที่ที่เหลือ : “ทางเหนือไม่มีแถบชานเมือง แต่ว่าทางตะวันตกเฉียงเหนือกับทางตะวันตกต่างก็มีป่า และทั้งสองที่ก็เป็นป่าไม้ชนิดเดียวกัน แต่ว่าที่นี่” ซูหลินพูดไปพร้อมกับใช้แรงจุดปากกาลงบนตำแหน่งในแผนที่ “มีสะพานแห่งหนึ่งแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน” หลังจากนั้นฉันถึงได้เข้าใจสาเหตุที่ซูหลินโมโห และได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกผิด : “อย่าโกรธไปเลยน่า เดี๋ยวฉันเลี้ยงกาแฟนะ!” เมื่อได้ยินว่าฉันจะเลี้ยง พนักงานก็รีบร้อนเดินเข้ามาทางพวกเรา “ไม่ต้องแล้ว ฉันไม่ดื่มกาแฟ ฉันชอบดื่มเหล้ามากกว่า!” เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าซูหลินจะปฏิเสธฉันอย่างไร้อารมณ์ เขาพูดออกมาพร้อมกับลุกยืนขึ้นแล้วเริ่มม้วนแผนที่เข้าหากัน หลังจากนั้นก็เสียบแผนที่เอาไว้ในช่องข้างๆ ของกระเป๋าสะพายหลัง แล้วเดินออกไปคนเดียว ทิ้งให้ฉันและพนักงานในร้านยืนเกร็งอยู่ด้วยกัน ฉันส่งยิ้มอย่างเขินอายไปให้พนักงาน ก่อนที่จะเดินตามออกมา “เฉินน่อ ฉันรู้สึกมาตลอดว่าเธอมีความลับที่ไม่ยอมบอกฉัน และ” ซูหลินเดินออกไปด้านหน้าพร้อมกับพูดกับฉันด้วยความจริงจัง “ฉันคิดมาตลอดว่าในวันหนึ่งเธอจะยินดีบอกมันกับฉันเอง จนกระทั่งวันที่เทียนปูหยู่ปรากฏตัวขึ้นมา ฉันก็ได้เข้าใจทุกอย่าง และไม่ใช่เพราะเธอเป็นฝ่ายบอกกับฉันเอง” ฉันไม่รู้ว่าซูหลินกำลังสับสนอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงได้ยึดติดกับเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อยเสียที นี่มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับเทียนปูหยู่ จะบอกเขาตอนไหนหรือจะไม่บอกเขา มันก็เป็นอิสระของฉัน เขาจะใส่ใจอะไรนักหนา! ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกมา ฉันอยากจะปลอบใจเขา แต่ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด และอีกอย่างเดิมทีฉันก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่แสดงอารมณ์ออกมาได้เก่งอยู่แล้ว ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงคิดคำพูดที่จะทำให้ซูหลินรู้สึกดีขึ้นมาไม่ออก เพียงแต่ในระหว่างที่ฉันกำลังคิดอย่างหนักนั้น ซูหลินกลับกระทำราวกับลืมคำพูดก่อนหน้าของตัวเองไป ซูหลินเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ก่อนที่จะลากฉันเข้าไปในนั้น : “ไปที่สะพานดอกท้อครับ” ในตอนที่ซูหลินพูดชื่อนั้นออกมา เห็นได้ชัดเลยว่าคนขับสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาปรับกระจกมองท้าย ภายในกระจกปรากฏใบหน้าที่บึ้งตึงของซูหลิน คนขับมองพิจารณาซูหลินเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่าฉันหน้าตาดูเป็นมิตรกว่า จึงไม่สนใจซูหลิน และหันมาพูดกับฉันแทน “สาวน้อย พวกเธอมาจากที่อื่นใช่ไหม ฉันพาไปส่งที่สะพานดอกท้อได้ แต่ก็ไปส่งได้แค่อีกฝั่งที่ห่างออกมาไกลเท่านั้น แล้วพวกเธอก็จะต้องเดินต่อไปอีกระยะ แต่ว่า.......” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คนขับก็เงียบเสียงไป หลังจากนั้นก็เอี้ยวตัวมาแสดงท่าทีลึกลับขึ้น : “แต่ว่านะ ฉันแนะนำว่าอย่าไปเลย สถานที่ตรงนั้นไม่ได้งดงามอย่างชื่อหรอก.......” เมื่อได้ยินคนขับพูดออกมาแบบนี้ ฉันก็รู้สึกได้ลางๆ ว่าสถานที่นั้นมีอะไรบางอย่างจริง ฉันมองไปทางซูหลินเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าซูหลินเองก็กำลังมองมาที่ฉันด้วยความคิดอยู่ ดูเหมือนว่าพวกเราจะคิดเหมือนกันแล้วล่ะ ฉันเพียงแค่ส่งรอยยิ้มให้กับคนขับ ก่อนจะทำเป็นไม่ได้สนใจอะไรและตอบกลับไป : “ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราอยากจะไปดูสักหน่อย ส่งได้ถึงตรงไหน ก็ส่งแค่ตรงนั้นเถอะค่ะ พวกเราไปดูสักหน่อยก็กลับแล้ว” เมื่อเห็นว่าให้ตายอย่างไรฉันก็ไม่ยอมถอย คนขับเองก็ไม่พูดอะไรให้มาก และเริ่มขับรถออกไป ในที่สุดรถยนต์ก็จอดลงที่ถนนค้าขายรุ่งเรืองเส้นหนึ่ง “สาวน้อย ฉันไปต่อไม่ได้แล้ว เธอเดินตามถนนเส้นนี้ไป พอถึงปากทางที่สองก็เลี้ยวโค้ง จากนั้นก็เดินไปตามทางที่คนน้อยๆ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะถึงแล้ว......” เมื่อพูดจบ คนขับก็หนีออกไปจากที่นี่ พวกเราเดินต่อไปตามที่คนขับบอก ฉันไม่เข้าใจเลย เห็นได้ชัดว่าที่นี่ก็ดูเป็นถนนค้าขายที่ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมถึงทำให้คนขับตกใจได้ขนาดนั้น? จนกระทั่งหลังจากที่พวกเราเลี้ยวตรงปากทางที่สองตามที่คนขับบอกแล้ว ฉันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างชัดเจน ด้านหลังของพวกเรายังเต็มไปด้วยเสียงเร่ขายของมากมาย แต่ถนนเส้นนี้กลับเปลี่ยนเป็นอีกแบบโดยสิ้นเชิง บนถนนเส้นนี้โล่งว่างไม่มีแม้แต่คนหาบของขาย มันมีเพียงผู้คนสัญจรเล็กน้อยเท่านั้น ในตอนที่พวกเรามาถึงทางแยกอีกครั้ง ถนนที่ตรงไปยังทางเหนือไม่มีคนแม้แต่คนเดียว ผู้คนที่อยู่ตามถนนเส้นนั้นต่างก็ปิดประตูบ้านแน่น และหน้าบ้านของบางคนก็ยังเต็มไปด้วยหญ้ารกอีกด้วย ในตอนที่ฉันและซูหลินเลี้ยวเข้ามาในถนนเส้นนี้ ผู้คนสัญจรโดยรอบที่มีจำนวนน้อยนิดก็แสดงอาการตกใจขึ้นมา พวกเขามองมาที่พวกเราด้วยความหวาดกลัว แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร ดูราวกับพวกเราจะไปหาที่ตายอะไรแบบนั้น ซูหลินคาบบุหรี่เอาไว้ในปาก ก่อนจะมองไปทางด้านหลังด้วยใบหน้าร้ายๆ พวกคนเหล่านั้นจึงรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว และเดินจากออกไปราวกับไม่มีอะไร ฉันผลักซูหลินเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจเล็กๆ : “ไม่ได้มีอะไรแล้วจะไปทำให้คนอื่นตกใจทำไม ฉันว่าจะถามพวกเขาเสียหน่อยว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น!” แต่ซูหลินกลับเดินมาตรงหน้าฉันด้วยใบหน้าที่ไม่ได้สนใจอะไรนัก : “แค่มองจากท่าทางหวาดกลัวของพวกเขาก็รู้ได้แล้ว แม้ว่าเธอจะตายลงที่นี่ พวกเขาก็ไม่มีทางเข้ามาบอกเธอก่อนหรอก! เมื่อพูดจบซูหลินก็เอาบุหรี่ที่คาบเอาไว้ตลอดมาเคาะเศษออก ก่อนที่จะเอามันใส่เข้าไปในปากอีกครั้ง : “จากที่ฉันดู คนที่กล้าหาญที่สุดของที่นี่ก็น่าจะเป็นคนขับแท็กซี่คนนั้นแหละ” พอพูดจบแล้ว ซูหลินก็เดินโยกย้ายออกไปด้านหน้าราวกับซุนหงอคงในเรื่องไซอิ๋วโดยไม่หันหลังกลับมาอีก
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 51 ตามหาต้นตอ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A