ตอนที่ 52 ต้นไม้ที่แห้งตาย
1/
ตอนที่ 52 ต้นไม้ที่แห้งตาย
วิวาห์ร้าย แต่งกับผี
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 52 ต้นไม้ที่แห้งตาย
ตอนที่ 52 ต้นไม้ที่แห้งตาย เลี้ยวผ่านไปอีกโค้งหนึ่ง ฉันมองไปยังนาฬิกาข้อมือ นี่มันผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ฉันอดหลอบด่าว่าออกมาไม่ได้ คนขับรถแท็กซี่เองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ที่แท้เขาก็หลอกกัน ได้เงินไปแล้วแต่ก็ยังทำฉันต้องเหนื่อยขนาดนี้อีก....... เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าร่างของตัวเองเบาโหวงขึ้นมา หลังจากนั้นก็ลอยขึ้นไปที่กลางอากาศ และเพราะฉันกรีดร้องออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ซูหลินที่เดินนำอยู่ด้านหน้ามาโดยตลอดจึงหันกลับมามองที่ฉัน เมื่อเขากำลังจะรีบร้อนพุ่งเข้ามาหา ฉันก็ต้องรีบตะโกนให้หยุดเอาไว้ก่อน เพราะว่าฉันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยมันคือเทียนปูหยู่ “ข้าไม่อาจปรากฏตัวยามฟ้าสาง” ไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายนัก หลังจากเขาพูดประโยคนั้นออกมาแล้ว พวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ซูหลินเองก็เข้าใจขึ้นมาได้ในทันที และเดินกลับไปที่ด้านหน้าอีกครั้ง ส่วนฉันก็มองเห็นร่างของเทียนปูหยู่ได้เพียงเลือนราง เมื่อคิดขึ้นได้ว่าตอนนี้ในสายตาของคนอื่น ตัวฉันก็เหมือนกำลังลอยอยู่ในอากาศ ฉันก็เริ่มกังวลขึ้นมา ยังดีที่ยามปกติที่นี่ก็ไม่ได้มีคนมากนัก จึงไม่มีคนเห็นท่าทางที่น่าประหลาดของฉัน จากนั้นพวกเราก็เดินต่อไปด้วยท่าทางแบบนี้อีกระยะหนึ่ง แต่ว่าเพราะมองเห็นใบหน้าของเทียนปูหยู่ไม่ชัด ฉันถึงได้ยิ่งรู้สึกเขินอายขึ้นมา และมุดหัวเข้าไปในอ้อมอกของเทียนปูหยู่จนมิด จนกระทั่งซูหลินที่อยู่ด้านหน้าตะโกนออกมาเสียงดัง : “ถึงแล้ว” ฉันถึงได้กระโดดออกมาจากอ้อมอกของเทียนปูหยู่ และในเวลานี้เอง ฉันถึงได้รู้สึกตัวว่า ที่แท้ตลอดทางที่ผ่านมาเทียนปูหยู่ต่างก็คอยอยู่กับฉัน และคอยปกป้องฉันโดยไม่พูดอะไรมาตลอด ฉันเขย่งเท้าขึ้นมองไปทางด้านหน้า ก่อนจะเห็นสะพานหินที่มีความกว้างประมาณ 7-8 เมตรอยู่ไกลๆ ดูจากทิศทางแล้ว ตอนนี้พวกเราน่าจะอยู่ที่แถบชานเมืองทางเหนือแล้ว ไม่ต่างไปจากที่คิดนัก พวกเราเดินต่อไปด้านหน้าเล็กน้อย ต้นไม้แห้งสีดำมิดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของพวกเรา ทั่วทั้งตัวของฉันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจจะห้ามไหว___นี่มันเหมือนกับที่เห็นในฝันไม่มีผิด ดูเหมือนว่าเทียนปูหยู่จะรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของฉัน เขาจึงเดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไร และยื่นมือหนึ่งมาโอบเอวของฉันเอาไว้ : “อย่าได้กลัว ข้าอยู่ที่นี่” เมื่อได้ยินสิ่งที่เทียนปูหยู่บอก แม้ว่าฉันจะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ภายในใจกลับเบาสบายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ต้นท้อที่นี่ตายไปหมด กิ่งก้านแห้งๆ ของต้นไม้แผ่ขยายออกน่ากลัวราวกับมือที่เหลือแต่กระดูกของชายแก่ที่โรงจำนำ แต่ว่าบนพื้นกลับไม่มีใบไม้เลยแม้แต่ใบเดียว อีกทั้งผืนดินก็จะร่วนอ่อน ตามหลักการแล้ว มันน่าจะเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกมากทีเดียว แต่ว่าน่าแปลก. แม้ว่าต้นไม้ทั้งหมดจะตายไปแล้ว แต่กลับไม่มีใครเข้ามาดูแลที่นี่ ซูหลินเดินอยู่ด้านหน้า ก่อนจะย่อตัวลงหยิบกองดินเล็กๆ ขึ้นมาดมเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป และเงยหน้าขึ้นมาพูดขึ้นกับฉัน : “มีกลิ่นคาวเลือดอยู่” ฉันคิดไปถึงภาพหลอนของจ้าวซิ้วอีกครั้ง ภายในนั้นฉันได้แต่โซเซไปมา และใต้เท้าก็เต็มไปด้วยเลือด....... ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นความจริง ใต้เท้าของฉันเต็มไปด้วยเลือดจริงๆ...... “พวกเราแบ่งกันไปสองทางเถอะ เธอไปกับเทียนปูหยู่ ส่วนฉันจะแยกไปคนเดียว พวกเราช่วยกันออกไปหาว่าที่นี่มีบ่อน้ำหรือไม่ ถ้าหาไม่เจอ พวกเราจะได้ไปที่อีกฝั่งของสะพานดอกท้อ” ฉันพยักหน้า เมื่อเทียนปูหยู่ออกแรงที่มือเล็กน้อย ฉันก็เลี้ยวโค้งตามหลังเขาไป ในทุกๆ ย่างก้าว ฉันสัมผัสได้ถึงดินร่วนๆ ใต้เท้า และมักจะรู้สึกว่าในทุกๆ ครั้งที่เหยียบลงไป เลือดภายในดินก็จะแทรกซึมออกมา และเมื่อยิ่งคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ฉันก็ยิ่งเริ่มกลัวขึ้นมา จนสุดท้ายก็ชักจะไม่กล้าเดินไปข้างหน้าต่อ เทียนปูหยู่ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาจึงได้แต่ยกเอาตัวของฉันขึ้นไปไว้บนก้อนหินใกล้ๆ ส่วนเขาก็เดินออกไปทำหน้าที่แทนฉันคนเดียว แต่ว่าในตอนที่เทียนปูหยู่ห่างออกไปจากสายตาของฉันได้ไม่นาน มันเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างจับเข้าที่ใต้เท้าของฉัน ฉันรีบใช้แรงเตะเท้าออกไป และพยายามสะบัดให้หลุดออก แต่กลับพบว่าใต้เท้าถูกจับแน่นขึ้นเรื่อยๆ ฉันก้มหน้าลงไปมอง ก่อนจะอดกลั้นไม่ส่งเสียงกรีดร้องออกมา สิ่งที่จับอยู่ที่ข้อเท้าของฉันก็คือมือโครงกระดูกที่ยื่นออกมาจากใต้ดิน! เมื่อมือโครงกระดูกออกแรงขึ้นมา ฉันก็สูญเสียสติและล้มลงไปที่พื้น ฉันพยายามดิ้นรนสุดกำลังไปพร้อมกับตะโกนร้องออกมาเสียงดัง : “เทียนปูหยู่ ช่วยฉันด้วย!” ในขณะเดียวกันนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงของซูหลินมาจากทางด้านหลังของตัวเอง : “เฉินน่อ ที่นี่มีอะไรแปลกๆ รีบหนีไปเร็วเข้า!” ฉันเค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย สภาพแบบนี้ฉันจะวิ่งไปไหนได้อีกล่ะ และในตอนนั้นเอง เทียนปูหยู่ก็รีบย้อนกลับมาหลังจากได้ยินเสียงร้องของฉัน ร่างกึ่งโปร่งใสของเขาวิ่งทะยานมาทางด้านหน้า ในตอนที่มาถึงข้างกายของฉัน เขาก็ลงมือตวัดลง ก่อนที่มือโครงกระดูกขาวซีดที่ใต้เท้าของฉันจะกลายเป็นสีดำในชั่วพริบตา และสุดท้ายก็กลายเป็นกิ่งไม้แห้งสีดำต่อหน้าต่อตาของฉัน ในระหว่างที่ไม่ได้ตั้งใจ ฉันเหลือบมองไปยังต้นท้อข้างกาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือไม่ แต่กิ่งของต้นท้อนั้นกลับหายไปกิ่งหนึ่งพอดี และเมื่อดูจากรูปร่างแล้ว มันก็มีความคล้ายคลึงกับกิ่งที่ไม้ที่กลายมาจากมือโครงกระดูกเป็นอย่างมาก ในตอนที่ฉันกำลังสงสัยอยู่นั้น อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนซูหลินที่อยู่อีกทางก็จะพบเจอกับอันตรายเช่นกัน ในระหว่างที่พวกเรากำลังจะรีบไปหาซูหลิน ก็ไม่คิดเลยว่าต้นท้อโดยรอบจะดูราวกับมีชีวิตขึ้นมา กิ่งไม้ที่ตายแล้วยืดคดเคี้ยวมาทางพวกเราราวกับมีความยืดหยุ่นสูง มันพันรัดมือและเท้าของฉันเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้ว่าร่างของเทียนปูหยู่จะอยู่ในลักษณะกึ่งโปร่งใส แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่สามารถหลบหนีการโจมตีไปได้ เขาเองก็ถูกกิ่งก้านของต้นท้อที่เป็นดั่งเถาวัลย์พันรัดร่างกาย แต่ว่าเขาก็ยังดูสงบกว่าฉันมาก ในระหว่างนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ และไม่แม้แต่จะดิ้นรนใดๆ รอจนกระทั่งตอนที่ฉันถูกต้นท้อพันรัดแน่น และหมดความหวัง อยู่ๆ ทั่วทั้งตัวของเทียนปูหยู่ก็ระเบิดกระแสลมรุนแรงออกมาในชั่ววินาที สายลมนั้นพัดพาให้เรือนผมของเขาปลิวสยายไปทั่วทิศ หลังจากนั้นต้นท้อที่พันรัดตัวของเขาอยู่ก็ระเบิดกลายเป็นผุยผง เทียนปูหยู่ปัดมือไปมาอย่างสง่างาม และเดินตรงมาทางฉันด้วยความสงบ แม้ว่าเทียนปูหยู่จะปรากฏตัวในลักษณะกึ่งโปร่งใสมาตลอด แต่ฉันกลับสามารถมองออกว่า เขาต้องเสียพลังไปเป็นอย่างมากเพื่อการปลดปล่อยตัวเองเมื่อสักครู่ แม้ว่าจะมองดูเหมือนไม่ได้เสียพลังไปเท่าไหร่ แต่ว่าสีหน้าของเขาก็ขาวซีดขึ้นมาแล้ว ฉันเริ่มจะรู้สึกได้แล้วว่า แม้ภายในความมืดมิดเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็เป็นเพียงราชันย์แห่งผี สุดท้ายเขาก็ยังไม่สามรถจะออกมาท่องยามกลางวันได้ และที่เขาอดทนความเจ็บปวดทำทุกสิ่งนี้ก็เพื่อฉัน เมื่อมองไปยังเทียนปูหยู่ที่กำลังเดินมาทางฉัน เถาวัลย์ที่พันรัดตัวของฉันเอาไว้ก็ค่อยๆ ปล่อยตัวของฉันออกราวกับเกรงกลัว และสุดท้ายก็เปลี่ยนกลับไปเป็นต้นท้อที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายอีกครั้ง ฉันรีบเข้าไปพยุงตัวของเทียนปูหยู่ และถามออกมาอย่างร้อนรน : “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เทียนปูหยู่ยังคงทำเป็นสงบนิ่ง และยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของฉันราวกับต้องการปลอบประโลม จากนั้นก็ตอบกลับมาอย่างนิ่งเฉย : “ข้าเป็นถึงราชาอันสูงส่งของเหล่าภูตผี จะเป็นอะไรไปได้” เมื่อฉันเห็นว่าเขาพูดโอ้ออกมา ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และลากตัวเขาไปหาซูหลิน ซูหลินน่าสงสารยิ่งกว่าฉันเสียอีก เขาไม่เพียงแต่จะถูกพันรัดมือและเท้า แต่ทั่วทั้งตัวยังเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ และเถาวัลย์ชนิดนี้ก็เริ่มหลั่งของเหลวออกมากัดกร่อนตัวเขา ข้อมือและข้อเท้าที่โผล่ออกมาภายนอกของซูหลินราวกับถูกเผาไหม้ และเริ่มปรากฏรอยแผลออกมาให้เห็น เห็นได้ชัดว่าต้นท้อทางฝั่งนั้นมีความร้ายแรงเสียยิ่งกว่าทางฝั่งของพวกเรา “ต้นท้อของที่นี่น่าจะเหี่ยวเฉาไปหลังจากที่จ้าวซิ้วตาย พวกเขาถูกจ้าวซิ้วสาป เลือดที่อยู่ใต้ผืนดินก็คือเลือดของคนที่ตายลงที่นี่......” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซูหลินก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างอดทนไม่ไหว พอฉันจะเข้าไป เถาวัลย์ต้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ผุดขึ้นมาราวกับแส้ที่เต็มไปด้วยความว่องไว และสะบัดมาที่ทางฉัน เมื่อฉันเห็นว่าไม่สามารถหลบได้พ้น ก็เลยยกแขนขึ้นมาบังศีรษะเอาไว้ และในตอนที่ฉันคิดว่าตัวเองต้องแย่แล้วแน่ๆ เทียนปูหยู่กลับปรากฏตัวขึ้นมาจากด้านหลังและผลักให้ตัวฉันลอยออกมาด้านหลังไกล รอจนกระทั่งฉันได้สติกลับมา เถาวัลย์นั้นก็ค่อยๆ หดกลับเข้าไป และค่อยๆ กลายเป็นกิ่งต้นท้อ “เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ พวกเรารอจนฟ้ามืดเถอะ” เทียนปูหยู่พูดพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา ภายในมือของเขาปรากฏดาบยาวเล่มหนึ่งขึ้น เขาโยนดาบนั้นไปทางซูหลินที่กำลังดิ้นรนอยู่ ฉันเห็นว่าเถาวัลย์ที่พันรัดอยู่บนร่างของซูหลินนั้นรัดแน่นขึ้นตามที่เขาดิ้นรนขยับตัว ฉันจึงรีบเอ่ยห้ามซูหลินเอาไว้ : “ซูหลิน อย่าขยับมั่วๆ! เมื่อซูหลินได้ยินเสียงของฉัน เขาก็มองมาทางฉัน แต่เมื่อเห็นดาบยาวที่กำลังบินไปทางเขา เขาก็พูดด่าเทียนปูหยู่ออกมา : “ให้ตายเถอะ ฉันจะพยายามเอาชีวิตรอดหน่อยไม่ได้หรือไง?” พอพูดจบ ดาบยาวก็บินมาถึงด้านหน้าของเขาแล้ว เขาจึงหลับตาลงตามสัญชาตญาณ แต่ดาบยาวกลับไม่ได้พุ่งต่อไปยังตัวของซูหลิน และขยับร่ายรำไปในอากาศอย่างไร้ลำดับแต่ดูมีระบบ ท่ามกลางความวุ่นวาย เถาวัลย์ที่คดเคี้ยวอยู่โดยรอบก็ร่วงหล่นลงมาที่พื้นอย่างไร้เสียง ไม่นานซูหลินก็ตกลงที่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว ดูเหมือนว่าพวกเถาวัลย์โดยรอบจะรู้ตัวว่าต่อกรกับดาบยาวเล่มนี้ไม่ได้จึงพากันค่อยๆ หดตัวกลับไป และสุดท้ายก็ยอมกลายเป็นกิ่งต้นท้ออย่างว่าง่าย ฉันรีบไปช่วยพยุงตัวซูหลิน ข้อมือของเขามีเลือดซึมออกมา เสื้อผ้าเองก็เริ่มถูกกัดกร่อนและปรากฏรูเล็กๆ ออกมาบ้างแล้ว ฉันหลอบถอนหายใจออกมา ยังดีที่ความสามารถในการกัดกร่อนของมันไม่ดีมากนัก ถ้าหากว่าเป็นอย่างน้ำกรด ตอนนี้ซูหลินก็อาจจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว เมื่อเห็นฉันพยุงตัวของซูหลิน ใบหน้าของเทียนปูหยู่ก็อึมครึมขึ้นมาทันที เมื่อฉันเห็นว่าร่างของเทียนปูหยู่โปร่งใสขึ้นกว่าในตอนแรกจนฉันเกือบจะมองเห็นเขาไม่ชัดแล้ว ฉันก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา อย่างไรนี่ก็เป็นเพราะฉัน เทียนปูหยู่ที่เดิมทีไม่ควรจะออกมาจากภายในปรโลกจึงต้องเสี่ยงอันตรายออกมา ในตอนนี้อยู่ๆ ฉันก็คิดอะไรขึ้นมาได้ และรีบวิ่งไปยังบริเวณใกล้ๆ ต้นท้อ กระเป๋าสะพายหลังของฉันตกอยู่ที่ตรงนั้นพอดี ฉันย่อตัวลงไปค้นอยู่นาน สุดท้ายก็หาของที่ตัวเองต้องการพบ___หนังสือหยิน ฉันจำได้ว่าในตอนที่เดินอยู่ที่ถนนหยิน ชายแก่ที่โรงจำนำเคยให้ร่มคันหนึ่งกับจ้าวซิ้ว และกำชับให้เธอกางร่มนี้เมื่อจะออกไปข้างนอกในยามกลางวัน หรือก็สามารถบอกได้ว่า เทียนปูหยู่เองก็สามารถใช้ร่มคันนี้ได้เช่นกัน! ฉันพลิกเปิดหนังสือหยิน แต่น่าแปลกที่หนังสือหยินไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ฉันตะโกนใส่หนังสือหยินไปสองครั้งว่า “จ้าวซิ้ว” แต่หนังสือหยินก็ยังคงไม่มีการตอบรับกลับมาเช่นเดิม “เจ้ากำลังทำอันใด?” ราวกับเทียนปูหยู่จะทนมองดูต่อไปไม่ได้แล้ว เขาจึงพูดออกมาเสียงดังผ่านระยะห่างช่วงหนึ่ง “ภายในหนังสือหยินมีร่มคันหนึ่ง ถ้านายกางร่มคันนั้น พลังก็จะไม่อ่อนแอแบบนี้แล้ว!” เมื่อฉันเพิ่งจะพูดจบ อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นระลอกหนึ่ง ฉันอดที่จะสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ และพบว่าเทียนปูหยู่มาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าแล้ว ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้กับใบหน้าของฉันราวกับจะแปะติดเข้ามา ฉันใช้สองมือถือหนังสือหยินเอาไว้ และลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่เทียนปูหยู่กลับตามติดร่างของฉันขึ้นมา เขาหันหน้าไปอีกข้างและขยับริมฝีปากเข้ามาชิดใบหูของฉัน : “เจ้ากำลังดูถูกว่าพลังของข้าอ่อนแอหรือ?” ใบหน้าของฉันแดงก่ำขึ้นมา และยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรกลับไป อยู่ๆ เทียนปูหยู่ก็จับร่างของฉันเอาไว้และเปลี่ยนตำแหน่งกับเขาด้วยความรวดเร็ว จากนั้นฉันก็ได้ยินเทียนปูหยู่ส่งเสียงในลำคอออกมาที่ข้างหู
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 52 ต้นไม้ที่แห้งตาย
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A