ตอนที่53สะพานดอกท้อพังทลายแล้ว!   1/    
已经是第一章了
ตอนที่53สะพานดอกท้อพังทลายแล้ว!
ตอนที่53สะพานดอกท้อพังทลายแล้ว! เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเทียนปูหยู่ฉันก็รีบยืดมือออกไปกอดรับตัวของเทียนปูหยู่เอาไว้และได้ยินเพียงเสียงของซูหลินที่ตะโกนดังขึ้นมา:“ระวัง!” ฉันถึงรับรู้ได้ว่าในระหว่างที่ฉันไม่ได้ระวังฉันก็ปล่อยให้ต้นท้อพวกนั้นยึดครองช่องว่างอีกครั้งเดิมทีต้นท้อควรจะโจมตีโดนฉันแต่เทียนปูหยู่กลับต้องมาบาดเจ็บเพราะความไม่ระวังของฉันแทนในตอนแรกเขาก็อ่อนแอลงมากแล้วตอนนี้ก็ยังมาถูกลอบโจมตีอีกฉันกังวลว่าเขาจะทนรับไม่ไหว ในตอนนี้ซูหลินที่ห่างออกจากพวกเราไประยะหนึ่งกำลังพยายามอดทนความเจ็บปวดนั่งขัดสมาธิขึ้นมาและเอายันต์ออกมาจากที่ไหนไม่อาจทราบได้เขาโยนยันต์ไปทางที่พวกเราถูกโจมตีฉันจึงรีบอาศัยช่วงเวลาตอนนั้นพยุงเทียนปูหยู่ออกมาจากบริเวณอันตราย ฉันมองกลับไปยังกระเป๋าสะพายของตัวเองด้วยความเสียดายพร้อมกับกอดหนังสือหยินในอ้อมอกเอาไว้มืออีกข้างใช้พยุงตัวของเทียนปูหยู่ก่อนจะเดินโซเซไปทางด้านหน้าซูหลินเองก็เริ่มจะทนรับไม่ได้แล้วยังดีที่ร่างของเทียนปูหยู่ไม่ใช่ร่างจริงไม่อย่างนั้นฉันคงจะไม่สามารถช่วยอะไรได้ เดิมทีพวกเราอยากจะหาโรงแรมใกล้ๆพักสักครู่จากนั้นก็รอให้ตกเย็นแล้วค่อยออกมาตามที่เทียนปูหยู่บอกในช่วงเวลานั้นพลังของเทียนปูหยู่ก็จะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกหน่อย แต่ถึงแม้พวกเราจะเดินจนแทบจะรอบถนนค้าขายเส้นนี้แล้วพวกเราก็ยังไม่พบโรงแรมสักแห่งแม้แต่สถานที่ให้พวกเราได้พักเท้าก็ยังไม่มีหรือต่อให้มีพวกคนมาขายของทานเล่นก็เป็นเพียงพวกหาบของเร่เมื่อขายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จากไปเดิมทีก็ไม่ได้มีแม้แต่ที่นั่งจะจัดให้ จนกระทั่งฉันไม่อาจจะเข้าใจได้จริงๆจึงดึงตัวคนหาบของเร่เข้ามาถามแล้วถึงได้เข้าใจในเหตุผล “สาวน้อยเธอมาเที่ยวใช่ไหม?คนที่นี่ไม่รับคนภายนอกเข้ามาพักอาศัยหรอกแล้วทางฝั่งนั้นน่ะนะ”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้คนขายของเร่ก็ชี้นิ้วไปทางป่าต้นท้อที่แห้งตายด้วยท่าทีลึกลับ“มันดูน่ากลัวมากป่าท้อขนาดใหญ่แบบนั้นก่อนหน้านี้ก็เบิกบานดีอยู่พอจะตายก็ตายลงไปหมดเสียอย่างนั้น.......” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าคนขายของเร่จะรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้วเขาจึงรีบปิดปากของตัวเองไว้และส่งยิ้มเหยๆมาให้ฉันฉันเองก็เข้าใจขึ้นมาดูเหมือนว่าต่อให้สิ้นเปลืองเวลากับเขาต่อไปก็ไม่อาจจะถามอะไรได้แล้วฉันจึงกลับมายังหุบเขาที่ไร้ร่องรอยของคนอีกครั้ง ซูหลินและเทียนปูหยู่นั่งพิงกับกำแพงฝั่งหนึ่งเอาไว้ในที่สุดฉันก็ตามหาจ้าวซิ้วในหนังสือหยินพบและเอาร่มคันนั้นออกมาส่งให้เทียนปูหยู่เมื่อไม่มีการทำร้ายของแสงอาทิตย์อาการบาดเจ็บของเขาก็ดีขึ้นมาไม่น้อย เพราะว่าไม่สามารถหาสถานที่ในการพักผ่อนได้เจอฉันจึงนั่งลงตามเทียนปูหยู่โดยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปแต่เทียนปูหยู่กลับขยับร่างกายเล็กน้อยจนกระทั่งฉันหาตำแหน่งนั่งที่สบายตัวใกล้กับเขาได้เขาถึงได้สงบลง ในตอนนี้พวกเราสามคนไม่รู้ว่าจะพูดคุยอะไรกันอีกทั้งเดิมทีซูหลินก็มองไม่เห็นเทียนปูหยู่ด้วยบรรยากาศจึงอึดอัดขึ้นมา พวกเราอดทนมาจนถึงช่วงกลางคืนอย่างยากลำบากเทียนปูหยู่ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อยและสุดท้ายก็สามารถปรากฏร่างจริงออกมาได้พวกเราจึงมาที่ป่าท้อนั้นอีกครั้งเมื่อเหยียบเข้าที่ดินอ่อนร่วนฉันรู้ว่าคนขายของเร่ยังมีอะไรที่ไม่ได้บอกฉันเกรงว่าหลังจากที่ป่าท้อนี้ตายไปคนที่มาที่นี่ต่างก็ไม่ได้มีชีวิตกลับไปปรากฏตัวอีก พวกเขาต่างก็กลายเป็นเนื้อเน่าเปื่อยถูกฝังลงไปในดินผืนนี้และใช้ในการหล่อเลี้ยงเหล่าต้นท้อที่ดูราวกับมีจิตวิญญาณเหล่านี้ “ตามที่ว่าเอาไว้กิ่งต้นท้อนั้นมีเอาไว้ใช้ในการไล่ผีทำไมป่าแห่งนี้ถึงถูกผีนำมาใช้ในการแก้แค้นได้นะ?”ซูหลินมองไปรอบๆด้วยความระแวงพร้อมกับถามขึ้นอย่างไม่หยุดพัก หากเทียบกับซูหลินแล้วเทียนปูหยู่ก็ดูสงบมากกว่าไม่น้อยใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์เขาเพียงแค่ยื่นมือออกมากันตัวของฉันไว้เท่านั้น:“เมื่อเข้าสู่หนทางปีศาจก็จะพลังที่มากล้นเหนือหนทางเทพ” ฉันอดคิดไปถึงเรื่องราวเทพนิยายที่เคยอ่านเมื่อก่อนขึ้นมาไม่ได้มันก็เป็นเช่นนี้จริงๆเทพที่ร่วงหล่นเข้าไปสู่หนทางปีศาจมีใครที่ไม่มีพลังเพิ่มมากขึ้นบ้าง?เพียงแต่ว่าเนื้อเรื่องภายในนิยายธรรมะย่อมชนะอธรรมอยู่เสมอแต่ภายในความจริงแล้วในหนทางที่เผชิญหน้ากันมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่จะได้รับชัยชนะไปดังนั้นพวกเราต้องมั่นใจว่าพวกเราจะเป็นฝ่ายชนะ ในตอนที่พวกเรากำลังว่างอยู่ๆเสียงดัง“หึหึ”ก็ลอยมาจากทางด้านหลังดูเหมือนว่าเทียนปูหยู่จะสัมผัสได้ถึงอันตรายเขาจึงหันตัวมาขวางอยู่ที่ด้านหน้าตัวของฉัน “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านเทียนปูหยู่ผู้สูงส่งจะมีความรู้สึกด้วย” ฉันยืดศีรษะออกมาจากด้านหลังของเทียนปูหยู่ก่อนจะเห็นจ้าวซิ้วในชุดสีแดงงดามและใบหน้าที่ขาวซีดของเธอ “เป็นยังไงบ้างวันนี้เล่นกันสนุกไหม?” ดูเหมือนว่าจ้าวซิ้วจับรู้ถึงสิ่งที่เราพบเจอในช่วงกลางวันและก็มั่นใจว่าพวกเราจะไม่กล้าทำอะไรเธอถึงได้ท้าทายพวกเราโดยไม่เกรงกลัวอะไร แขนของเทียนปูหยู่สั่นไหวแต่ว่าเขาก็ยังพยายามอดทนเอาไว้ถ้าหากไม่ต้องทำอะไรได้ก็ไม่ต้องลงมือทำจะดีกว่าฉันไม่รู้ว่าถ้าหากเขายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องบ่อยเข้าหลังจากที่เขากลับไปแล้วจะต้องพบเจอกับอะไรบ้างแต่ว่าฉันก็มักจะคิดว่าเรื่องมันคงจะไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าพวกเราไม่ได้พูดอะไรจ้าวซิ้วก็พูดต่อ:“วันนี้ฉันไม่ได้มาหาเรื่องตีกับพวกเธอก็แค่อยากจะมาเตือนเสียหน่อยการทิ้งไป๋เวยเวยเอาไว้ที่บ้านคนเดียวแบบนั้นฉันควรจะชมเชยในความกล้าหาญของพวกเธอหรือด่าว่าพวกเธอประเมินความสามารถของฉันต่ำดีนะ.......” เมื่อพูดจบจ้าวซิ้วก็สะบัดชายผ้าและค่อยๆหายตัวไปราวกับไม่ได้ตั้งใจมาวุ่นวายกับพวกเราจริงๆ ฉันกับซูหลินหันมาสบตากันใช่แล้วพวกเราต่างก็คิดอยู่ฝ่ายเดียวอย่างแรกเป็นเพราะร่างกายของไป๋เวยเวยอ่อนแอมากอีกทั้งยังขี้กลัวถ้ามากับพวกเราก็มีแต่จะเป็นภาระส่วนอย่างที่สองพวกเราคิดว่าจ้าวซิ้วดูไม่กล้าเข้าไปที่บ้านเก่าของซูหลินดังนั้นหากไป๋เวยเวยพักอยู่ที่นั่นก็น่าจะปลอดภัยดี เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้วฉันก็อดที่จะรู้สึกเย็นเชียบขึ้นมาไม่ได้หรือว่าที่ก่อนหน้านี้จ้าวซิ้วแสดงท่าทางราวกับไม่กล้าเข้าคฤหาสน์จะเป็นเพียงการแกล้งทำเท่านั้น?และตอนนี้เธอก็กำลังจะกลับไปแก้แค้นอย่างนั้นเหรอ? ฉันรีบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาและเตรียมติดต่อหาไป๋เวยเวยแต่ว่าหลังจากเดินทางมาตลอดทั้งวันโทรศัพท์ก็ได้ปิดเครื่องตัวเองลงโดยอัตโนมัติไปแล้ว เมื่อเห็นว่าฉันกำลังกังวลซูหลินก็พยายามปลอบประโลมฉันด้วยการพูดขึ้น:“ตอนนี้ไม่ว่าพวกเราจะกังวลยังไงพวกเราก็มาถึงขนาดนี้แล้วพวกเราคงไม่สามารถละทิ้งทุกอย่างที่นี่แล้วกลับไปได้หรอกดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือรีบตามหาบ่อน้ำนั้นแล้วเอาร่างของจ้าวซิ้วออกมาแบบนั้นพวกเราถึงจะสามารถควบคุมจ้าวซิ้วได้อย่างสมบูรณ์” แม้ว่าจะเป็นการปลอบประโลมแต่สิ่งที่ซูหลินพูดออกมาก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลมือที่เย็นเชียบของเทียนปูหยู่กุมมือของฉันเอาไว้แน่นฉันถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาและเดินตามพวกเขาต่อไป แต่ว่าน่าแปลกพอตกกลางคืนกิ่งไม้ของที่นี่กลับสงบลงราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยกระทำน่ากลัวอะไรมาก่อน พวกเราเดินค้นหาไปทั่วทุกตารางนิ้วของทางฝั่งเหนือแต่ก็ไม่ได้พบร่องรอยใดๆของบ่อน้ำพวกเราจึงต้องอาศัยแสงจันทร์เดินไปยังสะพานดอกไม้อย่างไร้หนทางอื่น เมื่อมองจากระยะใกล้แล้วสะพานดอกท้อก็ยิ่งดูใหญ่โตขึ้นมาเสียยิ่งกว่าตอนที่มองดูจากที่ไกลๆคิดไม่ถึงเลยว่าในชานเมืองเล็กๆแห่งนี้จะมีสะพานหินขนาดใหญ่แบบนี้อยู่ สะพานหินนั้นตัดข้ามผ่านแม่น้ำป้องกันเมืองที่กระจายไปทั่วเมืองแห่งนี้หากดูจากบนแผนที่ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นส่วนที่มีขนาดกว้างที่สุดในแม่น้ำแต่ว่าสิ่งที่น่าประหลาดก็คือแม่น้ำป้องกันเมืองนั้นน่าจะมาจากการขุดลอกของมนุษย์และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายของการทำงานก็น่าจะทำให้ความกว้างเท่ากันไปตลอดทั้งสายแต่ทำไมที่นี่ถึงกว้างออกมามากขนาดนี้?หรือว่าจะเป็นเพราะที่นี่ต้องการสร้างสะพานขึ้นมา? ฉันไม่เข้าใจจริงๆจึงได้แต่เอ่ยถามข้อสงสัยในใจออกไป เทียนปูหยู่ยืนนิ่งอยู่ที่ข้างสะพานเนิ่นนานโดยไร้การขยับเขยื้อนจนกระทั่งอยู่ๆเขาก็สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อยจากนั้นถึงได้หันหน้ากลับมาพูดกับพวกเรา:“ภายใต้ริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองฝั่งมีศพอยู่มากมาย” ศพ...... ฉันรู้อยู่ก่อนแล้วว่าภายในพื้นดินใต้เท้าที่ฉันเหยียบอยู่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตผู้คนเน่าเปื่อยอยู่มากมายไม่รู้เท่าไหร่แต่เมื่อคิดไปถึงว่าแม้แต่สองฝั่งของแม่น้ำก็ยังเป็นแบบนั้นฉันก็ยังต้องสั่นไหวขึ้นมาด้วยความกลัวฉันไม่อาจจะจิตนาการได้เลยว่าน้ำภายในแม่น้ำที่ไหลผ่านที่นี่ในทุกวันต่างก็กำลังกัดเซาะซากกระดูกที่อยู่ข้างฝั่งแม่น้ำทั้งสองไปโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ในระหว่างที่ฉันกำลังคิดไปแบบนั้นมือของเทียนปูหยู่ที่กุมมือของฉันมาโดยตลอดก็ค่อยๆออกแรงขึ้นมาและดึงให้ความคิดของฉันกลับคืนมาอีกครั้งเขาหันหน้ากลับมาส่งสายตาที่แสดงความมั่นคงให้กับฉันก่อนจะลากฉันเตรียมเดินขึ้นไปบนสะพานดอกท้อ แต่ว่าซูหลินที่เดินตามหลังพวกเรามาตลอดจนฉันเกือบจะลืมการมีอยู่ของเขาไปชั่วขณะกลับรีบร้อนตะโกนขึ้นมาจากด้านหลัง:“เฮ้พวกธอสองคนรอชายโสดอย่างฉันด้วยสิ!” เมื่อพูดจบฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของซูหลิน แต่ว่าในตอนที่ฉันกับเทียนปูหยู่เดินมาถึงตรงกลางของสะพานดอกท้อและซูหลินเพิ่งจะก้าวขึ้นมาบนสะพานนั้นอยู่ๆที่ใต้สะพานก็มีเสียงแตกหักของก้อนหินดังขึ้นซูหลินตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็วและร้องตะโกนออกมา:“ไม่ดีแล้วเร็วขนาดนี้เลยดูเหมือนว่าสะพานจะพังลงแล้ว!” ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ไม่อยากจะเชื่อว่าด้วยน้ำหนักของพวกเราเพียงไม่กี่คนจะสามารถทำให้สะพานหนึ่งพังทลายลงได้....... ในระหว่างที่ฉันกำลังสงสัยอยู่นั้นก็ได้ยินเสียง“แกร่กแกร่ก”ของการแตกหักของหินดังขึ้นมาจากบริเวณที่พวกเรายืนอยู่ไม่หยุดอีกทั้งยังมีเสียงก้อนหินตกสู่น้ำดัง“ตุ๋ม”อีกด้วย ฉันอดที่จะมองลงไปที่ด้านหลังไม่ได้คิดไม่ถึงเลยว่าการมองลงไปนั้นจะทำให้ฉันตกใจจนสติแตกกระเจิง!ฉันส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจและรีบเกาะเข้าที่ตัวของเทียนปูหยู่ในทันทีเพราะว่าในตอนที่ฉันมองไปยังเหนือแม่น้ำสีดำมันก็มีใบหน้าคนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา! หลังจากนั้นจากด้านบนของแม่น้ำก็เริ่มมีเสียงต่างๆส่งดังขึ้นราวกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณร้ายจำนวนมากและต่อจากนั้นมือสีดำจำนวนมากมายก็ยื่นออกมาจากภายในแม่น้ำราวกับต้องการลากให้พวกเราตกลงไปมันขยับเคลื่อนไหววุ่นวายไขว่คว้าอยู่เหนือแม่น้ำ ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพแบบนั้นฉันก็ตกใจจนเข่าอ่อนและต้องพยายามจับแขนของเทียนปูหยู่เอาไว้ถึงได้พยุงตัวไม่ให้ทรุดลงไปได้ อยู่ๆที่ด้านใต้ของสะพานก็มีเสียงดังอย่างรุนแรงถูกส่งออกมาหลังจากนั้นก็เป็นเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นของเหล่าสัมภเวสีผีป่าราวกับกำลังปิติยินดีที่ในที่สุดก็จะได้ทานอาหารเต็มอิ่มสักมื้อ หลังจากนั้นใต้เท้าของฉันก็โล่งขึ้นก่อนที่ทั้งตัวสะพานหินจะกลายเป็นก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นและเริ่มกระจายตัวร่วงหล่นลงน้ำไปหินบางก้อนตกลงไปกระทบกับมือผีที่ยื่นออกมาแขนนั้นจึงแตกหักขึ้นในทันทีและแม้มือจะตกลงสู่แม่น้ำแต่ตัวแขนกลับยังคงยื่นตรงออกมาและมีของเหลวส่งกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากแขนไม่หยุดหย่อน เทียนปูหยู่ที่อยู่ข้างตัวของฉันดูราวกับสูญเสียพลังไปเขายืนอยู่ข้างๆโดยไร้การขยับเขยื้อนหลังจากนั้นใต้เท้าของฉันก็ไร้น้ำหนักฉันกับเทียนปูหยู่ร่วงหล่นลงสู่แม่น้ำในทันที พวกเราร่วงหล่นลงมาไม่หยุดฉันกอดเทียนปูหยู่เอาไว้แน่นพร้อมกับพยายามอดทนดมกลิ่นเหม็นคาวเหล่านั้นและในช่วงระหว่างความเป็นและความตายนั้นเองอยู่ๆเทียนปูหยู่ก็ยื่นแขนออกไปจากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศร่างของเทียนปูหยู่กระแทกเข้ากับกำแพงฝั่งแม่น้ำอย่างรุนแรงจนเขาส่งเสียงโอดครวญออกมา ในตอนที่ฉันกำลังดีใจที่สามารถรักษาชีวิตน้อยๆของตัวเองเอาไว้ได้อยู่ๆเสียงของซูหลินก็ดังขึ้นจากเหนือหัว:“พวกเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” จากนั้นฉันถึงได้สติกลับมาอย่างปกติทำไมพวกเราถึงหยุดอยู่กลางอากาศได้กันนะ?
已经是最新一章了
加载中