ตอนที่ 57 น้ำใจ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 57 น้ำใจ
ต๭นที่ 57 น้ำใจ เสียงลมที่ข้างหูหยุดลง ปริพลดึงปลั๊กของไดร์เป่าผมออกและนำมาวางไว้ด้านข้าง พูดออกมาแบบไม่ค่อยสนใจ “ที่จริงมันเป็นรายการที่รับมาแล้ว ตอนแรกกำลังจะเปิดกล้อง หลังจากนับนับดูแล้ว สัปดาห์หน้าคุณสามารถไปออกได้” กมิดาครุ่นคิดสักพักมันมีบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจความคิดของเขา ตามความเข้าใจของเธอในความเป็นจริงเธอรู้สึกว่าเขาต้องการให้เธออยู่กับคุณย่าในใจของเขาน่าจะคิดเหมือนที่คุณย่าคิดไม่ได้ต้องการที่จะให้เธอออกไปทำงาน เมื่อสักครู่เขากล่าวเรื่องการทำงานออกมาเอง นี่มันทำให้เธอรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรแอบแฝงอยู่ “มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรไหม?” เธอถามออกมาอย่างลังเล ปริพลที่กำลังเก็บสายไฟอยู่ก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย “คุณคิดว่าตัวคุณเองสามารถช่วยอะไรฉันได้ไหม?” กมิดามึนงง เธอรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันที เธอค่อนข้างมั่นใจว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ถูกถามแบบนี้เธอรู้สึกอับอายมาก อดไม่ได้ได้แต่พึมพำออกไปสองประโยค “เต้นรำและร้องเพลงไม่ใช่ไม่ได้ ขายความสามารถไม่ได้ขายร่างกายไม่ได้เหรอ” คำพูดตกเข้าไปในหูของคนที่มีใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เต้นรำ” ดวงตาของปริพลส่องแสงระยิบระยับ ทำให้กมิดารู้สึกว่าตัวเองตกเข้าไปในห้วงนั้น การเต้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกมิดา เธอเรียนบัลเล่ต์มาตั้งแต่เด็ก แต่หลังจากที่บริษัทมีการฝึกอบรมใหม่ให้เรียนการเต้นทุกประเภท การเต้นฮิปฮอปและท่าเต้นยอดนิยมอื่นๆอีกมากมายเพื่อรับมือกับรายการวาไรตี้โชว์ “เต้นอะไร? บัลเล่ต์ละก็ไม่สามารถเต้นในนี้ได้ หรือให้ฉันเต้นระบำชนเผ่าไหม?” “แล้วแค่คุณ” ปริพลดึงเก้าอี้มานั่งริมหน้าต่างตรงข้ามกับปลายเตียงไปที่ประตูห้องนอนเพื่อเปิดตำแหน่งว่างไว้ กมิดาถอดรองเท้ายืนอยู่บนพรมที่มีลวดลายสีแดงเข้ม เธอวาดเท้าออกมาชุดคลุมอาบน้ำไหล่ออกมาเปิดไหล่เนียนจนเห็นสายริบบิ้นสีชมพูด้านใน แต่เธอไม่สนใจ เธอนำแขนกว้างของชุดคลุมมาปิดบังครึ่งหนึ่งของใบหน้า งอขาทั้งสองข้างเป็นรูปตัวเอส และเขย่งเท้าของเธอ ผมที่อยู่ด้านหลังของเธอสยายขึ้น รอยที่ยิ้มซ่อนอยู่หลังแขนเสื้อ นี่เป็นการเต้นแบบมองโกเลีย ผสมบัลเล่ต์ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การเต้นที่กระตือรือร้นมากที่สุด แต่ตอนนี้มันจั๊กจี้อยู่ในใจ เมื่อตอนเป็นเด็กพ่อแม่ต้องการให้เธอเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ เธอไม่ค่อยชอบเรียนบัลเล่ต์ เมื่อตอนเริ่มเรียนใหม่ๆเท้าของเธอเจ็บมาก และคุณครูก็เป็นคนที่ดุมาก จนเมื่อโตขึ้นเธอยังคิดว่าบัลเล่ต์เป็นการเต้นที่โหดร้ายมากมันคือการทำร้ายร่างกายอย่างหนึ่ง ตอนนี้เธอขอบคุณพ่อแม่ของเธอสำหรับการตัดสินใจในตอนนั้นของพวกเขา นั่นเพราะมีพื้นฐานการเต้นบัลเล่ต์ สำหรับเส้นทางการเป็นนักแสดงนั้น เธอมีข้อได้เปรียบมากมาย เช่น การอบรมวันมะรืนออกมาดี เช่นความเข้าใจในการเต้น เป็นผลมาจากการเรียนบัลเล่ต์เมื่อตอนเด็ก หน้าต่างที่ไม่ได้ปิดสนิดมีสายลมเย็นพัดเข้ามาผ้าม่านพลิ้วไหว การเต้นเลียนแบบนกที่กำลังเริ่มขึ้นถูกลมที่พัดเข้ามาทำให้เสียหลักและล้มลงไปบนพื้น ทันใดนั้นรูปสูงที่นั่งอยู่ข้างเตียงกระโดดขึ้น ก้าวเร็วๆสามก้าวไปด้านข้างของเธอ “เกิดอะไรขึ้น?” กมิดาโบกมือ “ไม่ได้เต้นมานาน ทำให้เวลายืนไม่มั่นคงพอ เท้าน่าจะเคล็ดแล้ว” “ให้ฉันดูหน่อย” ปริพลดึงชุดคลุมที่เท้าของเธอขึ้นและสัมผัสเบาเบาไปที่เท้าที่บาดเจ็บของเธอ กมิดาอดไม่ได้ที่จะซี๊ดปากออกมา “มันพลิกแหละ” ปริพลถอนหายใจแรงและขมวดคิ้ว “คงไม่เป็นไรหรอก...” ยังกล้าอยู่อีก ไม่รู้ว่าใจเธอนั้นมันใหญ่แค่ไหน ปริพลอุ้มเธอขึ้นมาและเดินพาเธอไปวางไว้ที่บนเตียง “นั่งเฉยๆ อย่าขยับ เดี๋ยวฉันจะไปเอายามา” กมิดาสองมือกำผ้าห่มนุ่ม มองไปที่ร่างสูงแรงลมที่พัดเข้ามาตอนเข้าเดินออกไปจากประตูมันทำให้กลิ่นตัวของเขายังวนเวียนติดอยู่รอบตัวเธอ ทุกวันนี้เราเข้ากันได้ดียกเว้นเรื่องที่ว่าเธอมักจะโดนเขากอดในตอนกลางคืน ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพัฒนาไปมากกว่านี้ เขาเป็นคนรักษาคำพูด เขาเคยบอกว่าเขาจะไม่ทำอะไรเธอ จะรอจนกว่าเธอจะพร้อม แต่ในใจเธอรู้ดี ถ้าความสัมพันธ์ยังเป็นอยู่อย่างนี้ เรื่องที่เธอต้องการสืบหามันจะไม่มีวันได้เริ่มต้นขึ้น ไม่เพียงแต่ปริพลที่รออยู่คนเดียว เธอก็รอวันนั้นมาถึงอยู่เช่นกัน แต่เธอเริ่มกลัวว่าวันหนึ่งถ้าเขารู้ว่าเธอไม่ได้พูดความจริง หลังจากนั้นเขาจะมองเธออย่างไร จะคิดว่าเธอใช้เขาเป็นเครื่องมือ เขาจะเกลียดเธอไหม? เพราะเธอพบว่า เธอมีความรู้สึกที่ดีต่อเขาไม่ใช่เพียงแค่ครึ่งๆกลางๆ เธอลงจากเตียง เดินโขยกเขยกไปที่ตู้และจ้องไปที่รูปถ่ายที่อยู่บนตู้นั่น เป็นรูปคู่ของปริพลเมื่อตอนอายุสิบห้าปีกับคุณย่า คุณย่าตอนนั้นสุขภาพร่างกายดูแข็งแรงมากกว่าตอนนี้ “ไม่ใช่ว่าให้คุณนั่งอยู่บนเตียงไม่ต้องขยับไม่ใช่เหรอ?” มีเสียบเรียบนิ่งออกแนวตำหนิดังมาจากหน้าประตู “ไม่เป็นอะไรมากหรือ ยังขยับได้อยู่” กมิดาอธิบาย “เป็นหรือไม่เป็นไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมาตัดสินเอง” ปริพลไม่สนใจที่เธอพูด เขากดเธอให้นั่งลงบนโซฟา ยกขาข้างซ้ายของเธอมาวางไว้บนตักของเขาเองและเปิดกล่องยา ข้อเท้าเรียวเหมือนหยกแกะสลัก ขาวและเรียบเนียน ที่ข้อเท้ามีอากการบวมแดงแต่ไม่ร้ายแรงเท่าไร ปริพลเอาพลาสเตอร์จากกล่องยาและติดมันอย่างระมัดระวังที่ข้อเท้าของเธอ เขาก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อซ่อนสายตาของเขา เมื่อมองจากด้านข้างใบหน้าของเขานั้นเหมือนรูปปั้นที่สมบูรณ์แบบ กมิดารู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมือนั่นค่อยๆสัมผัสที่บาดแผลของเธอ ความรู้สึกซู่ซ่าไหลออกจากข้อเท้ากระจากไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เมื่อเงยหน้าขึ้นปริพลพบว่าตัวเขาเองกำลังถูกจ้องอยู่และดูเหมือนเขาจะถูกจ้องมองมานานแล้ว ดูงใบหน้าของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความรักและความเขินอาย ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นเขาดูเหมือนจะตกใจพยายามหันศีรษะไปมาและทันใดนั้นสายตาของพวกเขาก็มาพบกัน ทั้งสองจ้องตากัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผ้าม่านยังคงพลิ้วไหวกระทบแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามามันเหมือนกับดวงตาของทั้งสองคนที่จ้องมากันยิ่งนานแววตาก็ยิ่งเป็นประกายมากยิ่งขึ้น โดยไม่มีความลังเล ผู้ชายเอามือไปจับแก้มของผู้หญิง และเข้าไปครอบครองริมฝีปากของเธอค่อยๆบดริมฝีปากอย่างนุ่มนวน และผู้หญิงนั้นก็เอามือของเธอไปโอบกอดเขาไว้ เพื่อรอรับการทักทายของเขา เขาเป็นเหมือนสัตว์ที่พยายามจะควบคุมตัวเองเขาเอาปากไปขบกัดอยู่ที่ริมฝีปากนุ่มของเธอ มีความเจ็บปวดที่ละเอียดอ่อนกระจายไปทั่วเธอไม่สามารถควบคุมเสียงของตัวเองไว้ได้แล้ว และครางออกมา มันยิ่งทำให้ดวงไฟในตาของผู้ชายก็ยิ่งสว่างมากยิ่งขึ้น แล้ววินาทีต่อมาเขาก็เปิดปากของเธอและส่งลิ้นเข้าทักทายด้านในเขาจูบเธอดูดดื่มจนราวกับว่าเธอกำลังจะหายใจไม่ออก ลมหายใจเริ่มหนักขึ้นมือทั้งสองข้างก็เริ่มทำงานมันเริ่มหายเข้าไปในเสื้อ เสื้อคลุมอาบน้ำหลุดลงมาอยู่ที่เอว สายเสื้อในเส้นบางสีชมพูอ่อนมันยิ่งทำให้เลือดรมของเขาสูบฉีดแรงยิ่งขึ้น 
已经是最新一章了
加载中