ตอนที่54นั่นไม่ใช่ซูหลิน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่54นั่นไม่ใช่ซูหลิน
ตอนที่54นั่นไม่ใช่ซูหลิน! ฉันมองตรวจสอบโดยรอบในความมืดก่อนจะพบว่าที่แท้ในตอนที่สะพานกำลังจะพังทลายลงซูหลินได้กระโดดลงไปจากสะพานด้วยความรวดเร็วและในตอนที่พวกเราร่วงลงมาเขาก็โยนเชือกเส้นหนึ่งลงมาจากนั้นเทียนปูหยู่ก็คว้าเอาไว้ได้ทันพวกเราถึงได้ไม่ถูกพวกผีสัตว์ประหลาดน่ากลัวในน้ำกลืนกินลงท้องไป “อย่ารีบร้อนขนาดนั้นฉันกำลังจะดึงขึ้นมา!” เมื่อได้ยินเสียงของซูหลินดังขึ้นมาจากด้านบนภายในใจของฉันก็เบาสบายขึ้นมาไม่น้อยอย่างน้อยที่สุดพวกเราทั้งสามคนก็ไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายด้วยกันพวกเรายังมีโอกาสที่จะถูกช่วยเหลือได้อยู่ แต่ว่าในตอนที่ซูหลินยังไม่ได้เริ่มดึงเชือกขึ้นมาอยู่ๆฉันก็รู้สึกว่าข้อเท้าของตัวเองเย็นขึ้นราวกับมีอะไรบางอย่างจับเข้า! ฉันกอดตัวของเทียนปูหยู่เอาไว้แน่นก่อนจะหันหน้าไปตรวจดูและก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามือแห้งสีเทาดำกำลังจับข้อเท้าของฉันเอาไว้แน่น!ฉันอดที่จะออกแรงกระทืบเท้าลงไปอย่างแรงไม่ได้เดิมทีฉันตั้งใจจะสลัดให้มือที่จับฉันไว้หลุดออกแต่ไม่คิดว่าเจ้าสิ่งนั้นจะมีกำลังมากขนาดนี้ไม่เพียงแต่มันจะไม่หลุดออกแต่กลับยังทำให้เทียนปูหยู่ลื่นไถลลงมาจากเชือกและใกล้เคียงผิวแม่น้ำเข้าไปอีกด้วย เล็บยาวอันแหลมคมกระจายสั่นไหวอยู่เหนือผิวน้ำแต่ละอันดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาจากนั้นก็ว่ายเข้ามาทางพวกเราด้วยความว่องไวและในตอนนั้นฉันก็ได้รู้ว่าในตอนนี้เท้าของฉันอยู่ห่างจากผิวน้ำเพียงประมาณ30-40เซนติเมตรเท่านั้นมือพวกนั้นมีขนาดที่ยาวแบบนั้นถ้าหากปล่อยให้พวกมันว่ายเข้ามาก็จะต้องสามารจับฉันได้อย่างง่ายดายแน่! เมื่อถึงตอนนั้นแล้วพวกเราสองคนไม่สิควรจะบอกว่าเทียนปูหยู่แค่คนเดียวเทียนปูหยู่ที่ต้องอาศัยกำลังจากมือเพียงข้างเดียวจะสามารถต่อกรกับมือที่เต็มแม่น้ำนี้ได้อย่างไร! ในระหว่างที่ฉันกำลังไม่กล้ามองลงไปที่ใต้เท้าและยกสองเท้าขึ้นมาอย่างสุดกำลังฉันก็ได้ยินเทียนปูหยู่ส่งงเสียงในลำคออย่างอ่อนแรงออกมาอย่างที่หาได้ยาก “เทียนปูหยู่เป็นอะไรไป?” “พลังของข้าหายไปแล้วตอนนี้ข้าไม่ต่างอันใดไปจากคนธรรมดา” ฉันสามารถรู้สึกได้ถึงความพยายามในน้ำเสียงของเทียนปูหยู่เพียงแต่จนถึงตอนนี้แล้วฉันก็เพิ่งพบว่าตั้งแต่ตอนที่ขึ้นมาบนสะพานดอกท้อเทียนปูหยู่ก็ไม่ได้ใช้พลังของเขาอีกเลยเหล่าพลังที่พวกเรามองดูพิเศษเหนือธรรมชาติในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้กลับสูญเสียประโยชน์ไป ฉันรับรู้ได้ว่าไม่สามารถเอาแต่พึ่งพาเทียนปูหยู่เพียงอย่างเดียวได้อีกแล้วฉันจึงเงยหน้าไปตะโกนขึ้น:“ซูหลินคุณทำอะไรน่ะ!รีบดึงพวกเราขึ้นไปสิ” ซูหลินเงยหน้าขึ้นมาจากฝั่งแม่น้ำก่อนจะตอบกลับมาด้วยความเขินอาย:“อย่าเพิ่งรีบร้อนสิฉันบาดเจ็บไม่มีแรงเหลือแล้ว.......” เมื่อซูหลินพูดจบฉันก็ระลึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ที่นี่เป็นเพียงแม่น้ำป้องกันเมืองแม้ว่าก่อนที่พวกเราจะขึ้นไปบนสะพานจะไม่ได้ตรวจสอบให้ดีแต่ตามหลักการแล้วทางฝั่งแม่น้ำก็น่าจะสูงเพียงไม่กี่เมตรอย่างไรก็ไม่น่าจะเกินตึกสองชั้นแต่ว่าพวกเราในตอนนี้นั้น ฉันเงยหน้าขึ้นไปและเห็นว่าซูหลินอยู่ห่างออกไปกว่า10เมตรชัดๆ! ที่นี่คือแม่น้ำป้องกันเมืองเสียที่ไหนกันนี่มันเกือบจะเป็นผาเล็กๆแล้ว! “เทียนปูหยู่นายรู้สึกถึงความผิดปกติตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า?”ฉันมองไปยังใบหน้าไร้เส้นประสาทที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยของเทียนปูหยู่และยังคงรู้สึกว่าเขาน่าจะมองทุกอย่างออกตั้งแต่แรกแล้ว ผลปรากฏว่าเทียนปูหยู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาและทำเพียงพยักหน้าลงอย่างแรงเท่านั้น ฉันมองไปยังท่าทางขมวดคิ้วแน่นเป็นปมของเขาฉันรู้ว่าเขาใช้มือหนึ่งจับเชือกเอาไว้และอีกมือหนึ่งก็ยังต้องจับตัวฉันให้มั่นคงเอาไว้สำหรับคนที่ไม่มีพลังพิเศษอะไรแล้วมันก็เป็นเรื่องที่กินแรงมากทีเดียว ฉันขยับดิ้นรนอยู่ในอ้อมอกของเทียนปูหยู่สักพัก:“เทียนปูหยู่นายช่วยฉันหน่อยสิฉันอยากจะปีนเชือกขึ้นไป” ดูเหมือนว่าเทียนปูหยู่จะเข้าใจแผนการของฉันขึ้นมาแล้วเขาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ:“เจ้าอย่าขยับไปมามั่วๆข้าไม่เหนื่อย” และในตอนนั้นเองถ้าหากไม่ใช่เพราะใต้เท้ายังมีมือจับอยู่ที่ข้อเท้าของฉันฉันก็น่าจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมื่อมือที่ใต้เท้าออกแรงขึ้นมาฉันก็เกือบจะหลุดออกจากท่อนแขนของเทียนปูหยู่ไปทำเอาฉันตกใจจนร้องตะโกนออกมาเสียงดังและทำให้ยิ่งออกแรงจับเสื้อผ้าของเทียนปูหยู่เอาไว้แน่นขึ้นไปอีก มือจำนวนมากมายหลายร้อยพุ่งเข้ามาทางฉันด้วยความรวดเร็วและตะเกียดตะกายอยู่เหนือผิวน้ำพยายามจะลากฉันลงน้ำไปพวกมันทำน้ำในแม่น้ำกระจายขึ้นมาโดนขาของฉันความเยือกเย็นของน้ำทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น “นำขาทั้งสองของเจ้าขึ้นมาเกาะบนตัวข้า!” เมื่อเทียนปูหยู่ดูสถานการณ์แล้วก็รีบแนะนำวิธีการหลีกหนีให้กับฉัน แต่ว่านั่นมันทำไม่ได้นี่นา!หากถ้าว่าฉันเอาขาขึ้นไปเกาะบนตัวเขามันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอามือที่จับอยู่บนข้อเท้าของฉันขึ้นไปบนตัวของเขาด้วยเหรอ?และยิ่งในสถานการณ์แบบนี้เทียนปูหยู่เชื่อในตัวของฉันมากเกินไปแล้วมือนั่นมีแรงมากมายขนาดนั้นมันจับฉันเอาไว้แน่นเดิมทีฉันก็ใช้แรงอะไรไม่ได้แล้วจะให้ยกขาขึ้นมาได้อย่างไร! ในเวลานั้นเองอยู่ๆฉันก็รู้สึกว่าใต้เท้าหนักขึ้นอีกเล็กน้อยมีมืออีกมือหนึ่งจับขาของฉันเอาไว้อีกแล้ว! ฉันก้มหน้าลงไปดูและพยายามสะบัดออกไปทางด้านล่างมือนี้จับเอาไว้ได้ไม่ดีนักมันทับอยู่บนมือแรกพอดีดูเหมือนว่าพื้นผิวของมือพวกนั้นจะลื่นจึงเห็นว่ามือที่สองนั้นไหลลื่นลงไปจากมือที่หนึ่งไม่หยุดและสุดท้ายก็ดึงเอารองเท้าของฉันหลุดออกไป! ฉันที่เท้าเปือยเปล่าก็ยิ่งรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัยและกลัวว่าพวกมันจะจับเข้าที่เท้าของฉัน เพราะว่าฉันเรียนแพทย์แน่นอนว่าฉันรู้ดีเส้นประสาทบนเท้าของเรามีความไวต่อการสัมผัสมากกว่าส่วนขามากเพียงการขยับเขยื้อนเล็กๆก็สามารถกระตุ้นการตอบสนองที่มากมายของฉันได้แล้ว ฉันพยายามยกเท้าข้างนั้นขึ้นมาอย่างหนักพร้อมทั้งต่อต้านมือที่จับฉันเอาไว้ข้างนั้นและในตอนนั้นเองตัวของฉันกับเทียนปูหยู่ก็ขยับขึ้นไปด้านบนไม่น้อย! ฉันมองขึ้นไปด้านบนอย่างไม่อาจจะควบคุมและก็ต้องดีใจเมื่อพบว่าซูหลินกำลังดึงออกแรงเชือกขึ้นไปอย่างยากลำบาก ฉันพยายามไม่ร้อนรนและไม่เร่งซูหลินเพื่อป้องกันไม่ให้เขาร้อนใจจนเกิดความผิดพลาดพร้อมกับคอยระวังไม่ให้ถูกมือที่ใต้เท้าจับข้อเท้าเข้าเอา ไม่รู้ว่าซูหลินไปเอากำลังมาจากไหนเขาเพียงคนเดียวแต่ต้องดึงน้ำหนักของฉันและเทียนปูหยู่อีกทั้งยังต้องต่อต้านมือที่จับข้อเท้าของฉันเอาไว้แต่ในอึดใจเขากลับดึงพวกเราขึ้นมาได้กว่า5-6เมตร! เมื่อเห็นว่าอีกประมาณครึ่งทางก็สามารถหลุดพ้นจากที่นี่ได้แล้วอยู่ๆซูหลินก็หยุดลงอีกครั้ง “ซูหลินเป็นอะไรไปดึงขึ้นไปสิ!” เทียนปูหยู่ที่ไม่พูดอะไรตลอดมาเปิดปากออกพูดขึ้นในตอนนี้เขาพยายามเบาเสียงเอาไว้ราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า “ชู่เจ้าไม่รู้สึกถึงความผิดปกติหรือ?” เมื่อได้ยินสิ่งที่เทียนปูหยู่พูดฉันก็สับสนขึ้นมาทันที:“นายเป็นอัลไซเมอร์หรือเปล่า?เมื่อสักครู่ก็เพิ่งจะรู้สึกถึงความผิดปกติไปไม่ใช่เหรอเดิมทีที่นี่ไม่ได้ลึกขนาดนี้เสียหน่อยแต่ตั้งแต่พวกเราตกลงมาที่นี่ก็ลึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย” เดิมทีฉันคิดว่าเทียนปูหยู่จะหมายความแบบเดียวกันแต่ว่าฉันคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะขัดฉันขึ้นมาโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตา:“ข้าไม่ได้หมายถึงอันนี้” อะไรนะ?หรือว่าฉันกับเทียนปูหยู่ก็ไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันมาตั้งแต่แรก?แต่ว่านอกจากเรื่องความสูงของฝั่งแม่น้ำแล้วจะยังมีอะไรที่ผิดปกติไปอีกกันล่ะ? “หลังจากที่ซูหลินโยนเชือกลงมาอย่างน้อยก็เป็นเวลากว่าสิบนาทีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแล้วในสิบนาทีนั้นเขาทำอะไรอยู่กันแน่?นั่งพักเอาแรงมาดึงพวกเราหรือ?” เมื่อได้ยินเทียนปูหยู่พูดขึ้นดังนี้ฉันก็เกิดความสงสัยขึ้นในทันทีเมื่อสักครู่ฉันมั่วแต่ยุ่งวุ่นวายกับการต่อกรกับเจ้ามือแห้งเหี่ยวจนไม่มีสมาธิไปสนใจเรื่องของเวลาดังนั้นฉันจึงไม่ได้รู้เลยว่าซูหลินปล่อยให้พวกเราห้อยอยู่แบบนี้กว่า10นาทีโดยไร้การเคลื่อนไหว! นี่ไม่ใช่นิสัยของซูหลินเลย ฉันรู้ดีว่าซูหลินได้รับบาดเจ็บแต่ว่าอาการบาดเจ็บที่หนักกว่านี้ก็ใช่ว่าซูหลินจะไม่เคยประสบมาก่อนและในวันที่เผชิญหน้ากับจ้าวซิ้วซูหลินที่ได้รับบาดเจ็บหนักก็ยังพยายามแลกชีวิตเพื่อปกป้องฉัน เมื่อวิเคราะห์ออกมาแบบนี้แล้วดูเหมือนว่าซูหลินจะดูผิดปกติไป ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนตรงนั้นไร้เงาของซูหลินหรือว่าซูหลินจะไปพักอีกแล้ว? “ซูหลินรีบดึงพวกเราขึ้นไป!” ฉันมองไปที่เทียนปูหยู่เล็กน้อยและตะโกนขึ้นไปด้านบนเพื่อทดสอบ แต่ว่าน่าแปลกมากซูหลินกระทำราวกับไม่ได้ยินเขาไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับมาแม้แต่ประโยคตอบกลับสักนิดก็ไม่มี หรือว่าซูหลินจะรู้สึกว่าที่นี่อันตรายมากและทิ้งพวกเราไปแล้ว? ไม่ซูหลินไม่ใช่คนแบบนั้น ในขณะที่ฉันกำลังพยายามวิเคราะห์อย่างสุดความสามารถเสียงของซูหลินก็ดังมาจากทางด้านบน:“ขอโทษด้วยนะเมื่อสักครู่เพิ่งกินข้าวน่ะตอนนี้จะดึงพวกเธอขึ้นมาแล้ว!” พอพูดจบซูหลินก็ดึงพวกเราขึ้นมา2-3เมตรในหนึ่งอึดใจราวกับราชันย์แห่งพละกำลังอีกครั้ง ส่วนฉันเมื่อได้ยินซูหลินตอบกลับมาเช่นนี้แน่นอนว่าก็เข้าใจขึ้นมาในทันที___คนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ซูหลิน “คุณ.......” ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรอยู่ๆเทียนปูหยู่ก็ขยับตัวขึ้นมาจูบเข้าที่ริมฝีปากของฉัน!ในตอนนี้ฉันคิดว่าใบหน้าของฉันจะต้องแดงก่ำและเขียวปี๋สลับกันไปแน่ๆในช่วงเวลาสำคัญแบบนั้นเทียนปูหยู่ยังจะมีอารมณ์มาจูบฉันอีก...... เมื่อเห็นว่าฉันนิ่งไปแล้วเทียนปูหยู่ก็ละออกมาจากริมฝีปากของฉันและพูดออกมาเบาๆ:“อย่าพูดอะไรออกมา” จนถึงตอนนั้นฉันถึงได้เข้าใจขึ้นมาว่าที่แท้ก็เป็นเพราะเทียนปูหยู่ไม่มีมือมาใช้ปิดปากของฉันแล้วเขาถึงได้ต้องใช้ปากของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฉันก็อดที่จะตวัดสายตาใส่เขาไม่ได้ เมื่อรู้สึกได้ว่าคนด้านบนหยุดการดึงเชือกไปสักพักใหญ่แล้วฉันก็อดที่จะตะโกนขึ้นอีกไม่ได้:“ซูหลินเป็นอะไรไป!” ด้านบนไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวฉันมองไปที่เทียนปูหยู่ด้วยความกังวลใจในตอนนี้อยู่ๆแขนที่อยู่ใต้เท้าก็ค่อยๆพากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความโมโหออกมาราวกับพวกลิงที่ไม่พอใจและกำลังอ้าปากกว้างเข้ามาทึ้งตัวของพวกเราลงท้อง ฉันหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านขึ้นมาและพยายามซุกตัวลงไปในอ้อมอกของเทียนปูหยู่ในตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายของเทียนปูหยู่ที่อยู่ข้างกายเย็นเลยแม้แต่น้อยในทางกลับกันเมื่อเทียบกับแม่น้ำที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวใต้เท้าแล้วเขายังอบอุ่นกว่ามากนัก! “หวาดูเหมือนว่าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของฉันจะหิวกันเสียแล้ว” เสียงของซูหลินดังขึ้นจากเหนือหัวแต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่ซูหลินและดูเหมือนว่าเขาจะไม่แสร้งกระทำปกปิดตัวตนอีกต่อไปจึงได้เรียกพวกมือแห้งเหี่ยวน่าขยะแขยงเหล่านั้นว่าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยแล้ว “นายเป็นใครกันแน่!แล้วทำอะไรกับซูหลิน!” ฉันพูดตะโกนออกไปทางเขาด้วยความโมโหและลืมเลือนไปแล้วว่าตอนนี้พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย ซูหลินที่อยู่เหนือหัวยกเชือกขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆก่อนจะเบ้ปากยกรอยยิ้มร้ายออกมาทางฉัน:“ฉันเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเธอนะทำไมถึงได้ไม่รู้จักฉันกันน่าเสียใจจริงๆ” เมื่อพูดจบเขาก็ค่อยๆคลายมือออกในขณะที่ฉันกับเทียนปูหยู่ตกลงไปด้านล่างด้วยความรวดเร็วไม่ถึงหนึ่งวินาทีเขาก็รีบหยุดมือเอาไว้ ฉันเพียงรู้สึกว่าทุกสิ่งหมุนโคลงไปหมดและตัวเองก็เป็นเหมือนกับหนูทดลองที่ถูกขังเอาไว้ในกรงที่ทำได้เพียงรอคอยให้คนเข้ามาใช้ประโยชน์อยู่ที่นี่ แต่เทียนปูหยู่กลับเงียบสงบอยู่ข้างๆ “เป็นยังไงสนุกไหม?” ฉันไม่ได้สนใจเขาและทำเพียงเบาเสียงลงถามกับเทียนปูหยู่:“ทำยังไงดี?” เทียนปูหยู่เอียงหน้ามาอย่างช่วยไม่ได้และพูดขึ้นกับฉัน:“จะทางไหนก็แย่ทั้งนั้น” ฉันถอนหายใจยาวๆออกมาราวกับต้องการระบายอารมณ์และฉันก็ละความพยายามที่จะเอ่ยคำด่าอย่างโหดเหี้ยมขึ้นไปทางด้านบนไปฉันไม่สนใจถ้าหากจะต้องตายเราก็ต้องตายอย่างดูดีเสียหน่อย! ฉันเพียงเห็นว่า“ซูหลิน”ที่อยู่ด้านบนลุกยืนขึ้นมามือหนึ่งของเขาชูเชือกเอาไว้ในมือและยังคงรักษาท่าทางยิ้มแย้มจนตาหยีเอาไว้:“เมื่อสักครู่ฉันช่วยพวกเธอเอาไว้แล้วตอนนี้ก็เป็นเวลาที่พวกเธอจะต้องแทนคุณฉันแล้วล่ะ!” เมื่อพูดจบฉันก็เห็นเขาปล่อยมือออกต่อหน้าต่อตาจากนั้นฉันกับเทียนปูหยู่ก็ตกลงไปด้านล่างอย่างหนักหน่วง
已经是最新一章了
加载中