ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
ในKTVนั้นลู่อวี่ไม่ได้กลัวใครเลย ปรับตัวไปกับบรรยากาศรอบด้าน โม่เวยฉีแค่อยากได้ยินเขาร้องเพลงจึงเรียกเขาปู่ลู่
แท้จริงแล้วในตอนที่ยังวัยละอ่อน ลู่อวี่ยังเคยเข้าร่วมรายการหาดาวเด่นอีกด้วย ร้องไปหนึ่งเพลงก็ได้ติดตัวแทนสามร้อยอันดับแรกของประเทศ ตอนนั้นได้ยินเพื่อนร่วมห้องบอกว่าเรื่องนี้กำลังเป็นที่สนใจมาก นั่นทำให้เขาไม่กล้าไปต่อ แค่สองวันครึ่งเท่านั้น ก็รีบไปถอนตัวทันที
เพราะรู้จักตัวเองดี ใครที่ไม่มีเพลงดีๆอีกสักสองสามเพลง เข้าไปถึงสามร้อยอันดับไม่ช้าก็เร็วก็ต้องออกไปอยู่ดี สู้ไม่ไปซะดีกว่า
แค่ร้องได้ดีกว่าคนรอบข้างเท่านั้น นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นคืนนั้นที่คลับเขาถึงได้รู้ว่ามันแย่มาก ไม่เข้าหูสักนิด ลู่อวี่กดสถานที่ของโม่เวยฉีแล้วขึ้นตึกไป เพียงแค่เปิดประตู ก็ได้ยินเสียงโม่เวยฉีตะโกนนำมา “เฮ้ ปู่ลู่ของฉันมาถึงแล้ว เมื่อครู่ใครบอกว่าตัวเองร้องเพลงดีรีบกลิ้งมาแผ่ตรงหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“ลู่อวี่มาแล้วหรือ” มีคนโอบไหล่ของลู่อวี่ แล้วกล่าวทักทาย
ในห้องนั้นมืด ลู่อวี่มองจากเข้าไปแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร แต่เมื่อฟังเสียยงก็พอแกออกนิดหน่อย คงเป็นเพื่อนตอนมัธยมปลายของโม่เวยฉี กลุ่มลูกคนรวยมารวมตัวกัน ต่างมารวมตัวกันจนรวมเป็นหนึ่ง เป็นเรื่องที่แปลกมากๆ
ลู่อวี่นั้นสนิทกับโม่เวยฉีดี บางเวลาพวกเขาก็จะออกไปเที่ยวด้วยกัน คุ้นเคยกันอย่างดี
“เมื่อครู่ใครบอกจะมาเป็นหลานฉัน รีบมาคำนับพ่อของฉันเลย ไม่อย่างนั้นฉันจะถอดกางเกงของแกทิ้ง แล้วให้แก้ผ้ากลับบ้านไปเลย” โม่เวยฉียังคงแผดเสียงต่อ
มือลู่อวี่สอดไว้ในกระเป๋าแล้วเดินเข้าไป ถีบโม่เวยฉีไปที “เกิดอะไรขึ้น”
โม่เวยฉีดึงมือเขามากอด “ปู่ลู่ ฉันแพ้ไปตั้งหมื่นกว่า เธอต้องฆ่าพวกเขาเพื่อฉันนะ”
ลู่อวี่บื้อใบ้ไปชั่วครู่ “แพ้อะไร”
“ร้องเพลงแพ้น่ะสิ”
“.....”
ลู่อวี่รู้สึกหมดคำจะพูด ผ่านมาเป็นครึ่งวันเพื่อเอาสมองมาเสียเงินพนันกับระบบเนี่ยนะ เสียงปรอทแตกของโม่เวยฉีไม่แพ้สิแปลก ลู่อวี่ลูบผมเขา แล้วด่าเสียงเบาอยู่ข้างๆ “เธอโง่หรือ กับตีอีเครื่องกินเงินนี่อะนะ ร้องดีก็ไม่ได้คะแนนสูงหรอกนะ สมองโดนหมากินไปแล้วหรือไง”
“แต่ฉันร้องเพลงไม่ได้คะแนนดีแน่ๆไง เธอเก่งกว่าฉันอยู่แล้วนะปู่ลู่ เธอมาเถอะ แพ้ก็แพ้สิ ฉันแค่อยากให้เธอมาตะโกนเอาสบายใจเท่านั้น คิดว่าฉันจะให้เธอมาร้องเพลงแทนฉันจริงๆรึ” โม่เวยฉีเองก็ตะโกนเสียงเบา
“ได้” ลู่อวี่หัวเราะ แล้วบอกกับเขา “เธอจะปล่อยให้ฉันเสียใจได้ไง”
“ได้เลย” โม่เวยฉีกดเลือกเพลง
เขารู้จักกฎของลู่อวี่ดี ต้องเริ่มด้วยก่อน นี่ถือเป็นหนึ่งในเพลงที่เขาร้องดีที่สุด ปีนั้นที่มีคัดเลือกนักร้องยอดเยี่ยมจะใช้เพลงนี้เข้าร่วมเหมือนกัน
แต่ลู่อวี่นั่นไม่ได้ร้องเพลงมานานมากแล้ว เพลงนี้ต้องใช้ใจร้องเท่านั้นถึงจะเพาะ ตั้งแต่เลิกกับหลินหรั่น เขาก็ไม่กล้าร้องเพลงนี้อีก ไม่ใช่กลัวว่าตัวเองใช้ใจแล้วจะทรมาน แต่กลัวคนรอบข้างจะห่วงกันเท่านั้น ท้ายที่สุดทั้งชื่อเพลงและเนื้อเพลงนั้น เหมือนกับตัวเขาที่ไม่เคยลบเลือนวันวานได้เลย
การพยายามรั้งอีกฝ่ายไว้นั่นไม่ใช่นิสัยของลู่อวี่ ตั้งแต่เลิกกันไปลู่อวี่ไม่เคยมีความคิดที่อยากจะกลับไปเลย โม่เวยฉีบอกว่าเขานั้นเป็นคนที่ด้านชา ลู่อวี่เห็นด้วย และก็ชอบด้านนี้ของตัวเองมาก
ใช้ชีวิตแบบนี้ก็เท่ห์ไม่หยอก ทำให้ตัวเองไม่มีทางแสดงท่าทางอ่อนแอออกไป
ร้องเพลงนี้จบลู่อวี่ได้คะแนนแค่85 แต่ก็ถือว่าช่วยกู้หน้าให้แก่โม่เวยฉีมาได้แล้ว ด้านข้างมีคนกล่าวขึ้นมาว่า “พวกเธอนี่พึ่งพาได้จริงๆ ไปหาคนอื่นมาอีกเร็ว”
“ไปหามาเลยไม่มีใครหยุดได้หรอก” โม่เวยฉีป้อนแอปเปิ้ลเข้าปากลู่อวี่ “ปู่ลู่มาพักผ่อนก่อนมา”
วันนั้นลู่อวี่ร้องไปทั้งหมดสามเพลง ทั้งสามเพลงนั้นไม่ได้ทำให้โม่เวยฉีชนะเลย แต่ที่แพ้ไปก่อนหน้าก็ชนะกลับมาได้ แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญอะไร โม่เวยฉีไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับเงินจริงๆ ท้ายที่สุดนี้มาฟังลู่อวี่ร้องเพลงรักนั้นสนุกมากที่เดียว
ลู่อวี่ไม่ได้ดื่มเหล้าสักอึก ดื่มเพียงน้ำผลไม้เท่านั้น แล้วไปส่งคนกลับบ้านอีกสอง เหลือคนสุดท้ายโม่เวยฉีนั่นเอง แต่เขากลับโวยวายอยู่ข้างๆว่าจะไปบ้านลู่อวี่
ลู่อวี่ก็ไม่อะไร พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมต้นจนยาวมาถึงมหาวิทยาลัย โม่เวยฉีที่ดื่มจนเมาก็เป็นเขาที่ตามไปเก็บตลอด
โยนคนนี้ไว้ที่โซฟาเสร็จก็ผ่านมาครึ่งคืนแล้ว ลู่อวี่รีบไปอาบน้ำแล้วเข้านอน เมื่อวานนอนไปแค่สามชั่วโมงเท่านั้น วันนี้ก็บ้าบอจนถึงเที่ยงคืนไปอีก พออายุมากขึ้นแล้วมันก็ทนไม่ไหวจริงๆ ไม่ได้มีแรงไม่จำกัดเหมือนตอนยี่สิบต้นๆอีกแล้ว ตัวเลขอายุมาถึงจุดที่อดหลับอดนอนไม่ได้แล้ว ก่อนนอนยังนึกได้ว่าพรุ่งนี้ตื่นมาต้องมารก์หน้าด้วย
โม่เวยฉีล้มตัวที่โซฟาของเขา หลับเสียสนิท ลืมตาขึ้นมาท้องฟ้าก็สว่างแล้ว คว้ามือถือบนโต๊ะน้ำชาขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าสิบเอ็ดโมงแล้ว
“ลู่อวี่” เขาเรออีกครั้ง ก่อนจะตะโกนเรียก “ปู่ลู่”
“ตรงนี้” ลู่อวี่ออกมาจากตรงระเบียง ในมือมีบัวรดน้ำอยู่ด้วย “สติตื่นขึ้นมาหรือยัง”
“บัดซบเหอะ ฉันไม่รู้ว่าสิบเอ็ดโมงแล้วจริงๆ ฉันคิดว่ายังเจ็ดแปดโมงอยู่เลย” โม่เวยฉีปรือตาช้าๆ “แล้วให้ฉันนอนตรงโซฟา ไม่เข้าใจเธอจริงๆ ยังมีอีกหนึ่งห้องแต่ให้ฉันนอนที่โซฟา”
ลู่อวี่วางบัวรดน้ำลง แล้วกล่าว “ฉันกลัวเธออ้วกบนเตียง ฉันไปไม่อยากซักมัน”
“ตรรกะอะไร” โม่เวยฉีใส่รองเท้าแตะแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ตอนเดินก็กล่าวไปด้วย “นั้นเธอก็โชคดีที่ฉันไม่อ้วก หากอ้วกจริงๆเตียงยังความสะอาดได้ง่ายกว่าไหม ถ้าฉันอ้วกบนโซฟาเธอจะจัดการมันอย่างไร”
“ฉันไม่ทำอะไรทั้งนั่นแหละ” ลู่อวี่ขำขึ้นมาทันที “ฉันจะให้เธอที่กังวลที่อ้วกออกมาแล้วซื้อมันใหม่ให้ฉันเลย”
โม่เวยฉีล้างมือพร้อมกับกล่าว “อ่อ คือรอฉันตั้งแต่แรกเนอะ”
ความจริงลู่อวี่ก็เพิ่งตื่นมาได้สักพักเช่นกัน เขารู้สึกว่าสติหายไปมากอยู่ เพียงลืมตาตื่นก็สิบโมงกว่าแล้ว ข้าวเช้าก็ขี้เกียจจะทำ จึงสั่งเดลิเวอรี่มา ตอนที่มาส่งคนทั้งสองก็ทำอะไรเสร็จแล้ว
โม่เวยฉีทานปาท่องโก๋ แล้วต่อบทสนทนากับลู่อวี่ไปเรื่อยเปื่อย ถามเขาว่าเรื่องที่ต้องทำวันนี้เสร็จหมดแล้วหรือยัง
ลู่อวี่บอกใกล้เสร็จแล้ว
เขาสองคนไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้ว ก่อนหน้านั้นลู่อวี่ออกมาจากห้องทดลองไม่ได้ วันวันหนึ่งยุ่งไปหมด โม่เวยฉีเป็นพนักงานสันทนาการของรัฐวิสาหกิจ ทั้งผ่อนคลายทั้งสนุก เขาพูดกับลู่อวี่ “เธอบอกสิเธอคิดอะไรอยู่ ตอนแรกบอกให้มาเปิดบริษัทด้วยกันเธอก็ไม่เอา แล้วไปเป็นอาจารย์เสีย มันมีอะไรดีกัน”
“ก็ฉันทำการทดลองได้ จะไปให้ฉันไปเปิดบริษัทกับเธอเพื่อ” ลู่อวี่ดื่มน้ำเต้าหู้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เธอพัฒนาไปมากๆอะดีแล้ว หากฉันไม่มีอันจะกินแล้วจะไปเกาะเธอกิน”
“ด้านฉันโคตรเลวร้าย ทุกวันนี้พ่อฉันก็ดึงดันจะให้กลับไปที่บริษัท แล้วยังบอกให้รีบแต่งงานด้วย” โม่เวยฉีขมวดคิ้วเมื่อพูดถึงมัน “สองปีมานี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย มันไม่ดีสักอย่าง”
เรื่องนี้ลู่อวี่เองก็พูดไม่ได้มาก เขาไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น ถึงแม้อายุจะมากแล้วแต่ที่บ้านก็ไม่ได้บังคับให้แต่งงาน เขาเพียงแค่ดื่มน้ำเต้าหู้ไปเงียบๆ แต่เพียงครูก็ลองกล่าวดู “ไม่อย่างนั้นก็ประกาศตัวเป็นเกย์กับที่บ้านสิ”
“บัดซบเถอะ ฉันคงไม่มีชีวิตรอดแน่” โม่เวยฉีเมื่อนึกไปถึงผลลัพธ์ก็ตัวสั่น “สองขาฉันคงไม่ได้ใช้ พ่อต้องฆ่าฉันแน่ๆ บอกเลยว่าฉันกับเธอมันไม่เหมือนกัน”
ลู่อวี่พยักหน้า “อือ”
“ฉันก็ไม่ใช่ว่า...จะผู้ชายอย่างเดียว ผู้หญิงสวยๆฉันก็ชอบ มันก็ไปได้ทั้งสองทางแหละ ฉันแค่ยังสนุกไม่พอ ไม่แน่หากวันไหนเล่นพอแล้วฉันอาจจะแต่งงานเลยก็ได้ ฉันก็หวังให้วันนั้นจะมาช้าสักหน่อย”
ลู่อวี่ไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยไม่พูด โม่เวยฉีถามว่าพรุ่งนี้เขาจะทำอะไร ลู่อวี่ก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไร
“อย่างนั้นเธอก็พาฉันไปเดินเล่นได้ใช่ไหม” โม่เวยฉีถามเขา
“ไม่ล่ะ ขอบใจ” ลู่อวี่อดขำไม่ได้ “เกย์สองคนไปเดินเล่นด้วยกันคงดูไม่ดีเท่าไหร่ พี่สาวน้องสาวล่ะ”
“หยาบคายจริง พวกเราสองคนใครจะมามองออกว่าเป็นเกย์กัน ฉันดูแมนแล้วเธอก็ดูหล่อขนาดนี้ แล้วก็ไม่ได้ไปซื้อเสื้อผ้าหรือทำเล็บอะไรนี่ ฉันอยากไปหาร้านสัก”
ลู่อวี่ขมวดคิ้ว “ใครจะสัก เธอหรือ”
“ใช่ ฉัน” โม่เวยฉีกล่าว “ฉันถามคนอื่นๆให้แนะนำมาให้บ้างแล้ว แต่ต้องไปต่อคิวไปอีกเป็นเดือน ไม่รู้คนมันจะสักอะไรกันนักหนา ทำบ้าอะไรกัน ดังๆหน่อยก็ต้องจองคิวล่วงหน้าทั้งนั้น ฉันก็ไม่อยากไง พรุ่งนี้เจอที่ไหนก็ทำที่นั่นแหละ เห็นร้านแล้วพวกเราก็เข้าไปเลย สักได้ดีอย่างไรฉันก็มองไม่เห็น และคนอื่นก็จะไม่เห็น”
ลู่อวี่ถามเขา “แกจะสักที่ไหนที่ตัวเองและคนอื่นไม่ได้เห็น”
โม่เวยฉีก้มหน้าลง “หึหึ” แล้วหัวเราะอยู่นาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา “สักที่ก้น ฉันอยากสักแค่หมาเท่านั้น หัวหมาน่ารักๆ หากนัดมากินกันแล้วใครอยากให้ฉันด๊อกกี้ให้เขา ก็เหมือนเป็นการหยอกล้อให้เขาหลงฉันมากขึ้น”
“...” ลู่อวี่อ้าปากกว้างรู้สึกหมดคำพูด บางครั้งก็ไม่สามารถเข้าใจความคิดในสมองของโม่เวยฉีได้จริงๆ ชื่อของเขาไม่ใช่ว่าไร้ที่ไปที่มา แต่เดิมเขาชื่อฟางซือโม่ และก็เปลี่ยนชื่อให้กับตัวเองด้วยสมองที่ยอดเยี่ยมของตัวเอง
“ฉันว่ามันก็เหมือนกับเวทมนตร์ดี น่าสนุกออก” เมื่อโม่เวยฉีทานเสร็จก็ลุกขึ้นยืน “แกไม่พาฉันไปฉันไปเดินเล่นคนเดียวก็ได้ แต่ฉันกลัวพอสักเสร็จแล้วมันจะปวดก้น ต้องมาเดินบิดก้นไปมาน่าอายออก”
ลู่อวี่ดื่มน้ำเต้าหู้คำสุดท้าย แล้วคว้ากล่องและถุงกระดาษบนโต๊ะ หยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดปากแล้วกล่าว “ช่างสักหรือ ฉันรู้จักคนหนึ่งนะ”
โม่เวยฉีรู้สึกตกใจ “เธอไปรู้จักมาตอนไหน ทำไมฉันไม่เคยได้ยิน”
ลู่อวี่มองเขาแล้วขำ “เมื่อวันก่อน โดยบังเอิญ”
“ฉัน... พูดมา” โม่เวยฉีจ้องมาตาโต
ลู่อวี่เองก็จ้องกลับไปแล้วกล่าว “ดื่มเหล้าด้วยกัน”
“ปู่ลู่จะเปิดใจแล้วหรือ ไม่เก็บตัวเป็นพระสงฆ์อยู่ในโรงเรียนแล้วหรือ ดื่มเหล้าแล้วก็... ไปต่อสักยกเลยหรือ” โม่เวยฉีเหมือนยังไม่ได้สติดี ประโยคที่ออกมาจากปากลู่อวี่ก็เกินจริงไปสักหน่อย “เป็นคนแบบไหนกัน”
เป็นอีกครั้งที่ลู่อวี่นึกถึงตอนที่เขาบอกว่าชื่อกู้เฟิง ว่าบาป กล่าวจบก็ทิ้งบุหรี่ในปากลง แล้วก็ขยี้มันกับพื้น
ลู่อวี่เลิกคิ้วขึ้น แล้วยิ้มบาง กล่าวว่า “สุดคูล... ฉันมองแล้วสบายตาดี”