ตอนที่ 6
ตอนที่ 6
เย็นวันศุกร์โม่เวยฉีส่งตำแหน่งมาให้ลู่อวี่ทางมือถือ คือสถานที่ทำงานของกู้เฟิง ลู่อวี่ดูแล้วมันก็ไม่ได้ห่างจากที่เขาอยู่มากเท่าไหร่
โม่เวยฉีส่งข้อความเสียงมา “พรุ่งนี้ฉันจะขับรถไป พอฉันโทรหาเธอก็ลงมาเลยนะ”
ลู่อวี่ตอบเขา ได้
น้ำเสียงของโม่เวยฉีดูมีเลศนัยอยู่ในที “กำลังจะได้เจอกันครั้งที่สองแล้วนะ ตื่นเต้นไหมปู่ลู่”
ลู่อวี่ ตื่นเต้นบ้าอะไร
โม่เวยฉีส่งสติ๊กเกอร์เลศนัยมาให้อีกสองครั้ง ลู่อวี่ไม่ได้สนใจเขา ความจริงเขาเองก็ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่ แค่คนที่ได้พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าใจจะสงบเลยทั้งหมดหรอก
แท้จริงแล้วคนคนนั้นเหมือนกันความงามที่ลู่อวี่ชอบพอดี ในใจก็เลยยังคงจดจำสายตาคู่นั้นที่เคยมองได้อยู่
วันที่สองเมื่อทานข้าวเที่ยงเสร็จพวกเขาก็ออกตัว ลู่อวี่สวมกางเกงยีนสีซีด และเสื้อฮู้ดสีดำธรรมดาๆ ดูเด็กลง และดูทันสมัย เหมือนกับนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่ง โม่เวยฉีบอกว่าเขาทำตัวเด็ก จงใจทำให้ดูใส
ลู่อวี่เหลือบมองเขา มุมปากค่อยๆยกขึ้น “ไม่ได้แสร้ง ก็เป็นคนใสใสจริงๆนี่”
“หึหึ” โม่เวยฉีหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแล้วกล่าว “จ้ะ อาจารย์ลู่ดอกไม้งานอายุสามสิบเอ็ดปี ใสจนเห็นน้ำเลย”
ตอนที่มาถึงที่ร้านมีเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเฝ้าอยู่ ดูแล้วน่าจะอายุยี่สิบกว่าๆ กำลังวาดลายลงบนเล็บด้วยมือเดียวอยู่ เธอเห็นพวกเขาแล้วจึงกล่าว “สวัสดีตอนบ่ายค่ะ”
“ครับ คนสวย” จังหวะนี้โม่เวยฉีพยายามผูกมิตร “พวกเราไม่ได้มาผิดที่ใช่ไหม ที่นี่ก็ร้านสักหรือร้านทำเล็บหรือ”
หญิงสาวยิ้มแย้ม ก่อนจะชี้ไปที่ประตูอีกด้าน “ร้านสักค่ะ ถ้าจะสักก็คือทางนั้น ฉันแค่มาเฝ้าร้านค่ะ แต่ถ้าคุณอยากทำเล็บฉันก็ทำให้ได้ค่ะ ไม่คิดเงินด้วย”
“คุยกับใครน่ะ” มีผู้ชายออกมาจากประตูเล็กนั่น หัวล้าน สวมหมวกติงลี่ ในปากคาบปากกาไว้ด้ามหนึ่ง
“พี่ชายสองคน” หญิงสาวหันหน้าไปตอบเขา “พี่ชายสุดหล่อสองคน”
“ฮัลโหล” ชายหัวล้านทักทายพวกเขา
โม่เวยฉีกล่าว “ไฮ เด็กน้อย ที่เคยทักในวีแชทมา”
“อ๋อ ที่จะสักหัวหมาใช่ไหม” ชายหัวล้านดึงปากกาออกจากปาก แล้วมองโม่เวยฉี “คุณสองคนใครทำ”
“ฉัน” โม่เวยฉียกมือ “คนนี้”
“อือ เข้ามารอข้างในก่อน” เขาพยักหน้าให้กับลู่อวี่และโม่เวยฉี แล้วหันไปกล่าวกับหญิงสาว “ทำกาแฟมาสองแก้ว” กล่าวจบก็นำเข้าไปก่อน
หญิงสาวรีบหันมากล่าวกับเขาทั้งสอง “พวกคุณเข้าไปรอข้างในเลยค่ะ คิดว่าอีกสักครู่น่าจะว่างแล้ว กาแฟนะคะ”
ลู่อวี่พยักหน้า “ได้ รบกวนด้วย”
เมื่อเข้ามาข้างในนั้นห้องโถงที่สว่าง และกว้างมาก กระจกสองบานติดพื้นนั้นทำให้ห้องดูสว่าง มีโซฟาชุดหนึ่งอยู่ตรงกลาง ตรงข้ามนั้นเป็นตู้ติดผนังเป็นช่องๆ มีหนังสือสอดอยู่ และทั้งหมดนั้นก็คือรูปแบบและของตกแต่ง ด้านล่างนั้นมีโต๊ะยาวอยู่ บนโต๊ะมีโน๊ตบุ๊ควางไว้สองเครื่อง อุปกรณ์เล่นเกมส์ดูเป็นมืออาชีพทีเดียว ในห้องโถงนี้มีอีกสามประตู นอกนั้นก็คือโต๊ะและชั้นวางของ และอุปกรณ์สำหรับสักอีกมากมาย
บันไดปูนตรงขึ้นไปยังชั้นสอง ลู่อวี่เงยหน้ามอง มองเห็นไม่ชัดว่าข้างบนมีอะไร
หญิงสาวเข้ามาเสิร์ฟกาแฟสองแก้ว ให้พวกเขานั่งรอที่โซฟา แล้วเคาะประตูห้องข้างๆ แค่เคาะเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไร
ลู่อวี่ที่นั่งลงที่โซฟาจ้องมองเครื่องประดับเหล็กที่อยู่ในตู้ ไม่รู้ว่าเป็นรูปร่างแบบใดเหมือนกัน เป็นเหล็กสองแผ่น ที่ขรุขระและเรียบเนียนทะเลาะกันจนบิดเบี้ยวเข้าหากัน
“มาแล้วหรือ”
ในตอนที่มีเสียงดังขึ้นข้างหลังลู่อวี่ไม่ได้ตอบสนองไปทันที เป็นโม่เวยฉีใช้แขนมากระทุ้งเขา เขาจึงรู้สึกตัว โม่เวยฉีกล่าว “พูดกับเธอนะ”
ลู่อวี่หันหน้าไป ก็พบกับกู้เฟิง
กู้เฟิงพิงอยู่ที่ประตูเล็กนั้น เขาสูงเกินไป หากสูงกว่านี้หัวน่าจะชนกับขอบประตู เขายังแต่งตัวแบบเดิม เสื้อยืดสีดำแขนสั้น กล้ามเนื้อแขนโผล่ออกมา เขายังสวมถุงมือไว้ด้วย สบตามองกับลู่อวี่แล้วกล่าว “รอฉันสักครู่ น่าจะครึ่งชั่วโมงได้”
ลู่อวี่รีบพยักหน้าแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร ไม่รีบ”
“อือ” กู้เฟิงมองเขา และหันไปมองโม่เวยฉี ก่อนจะหันกลับเข้าไป แต่ครั้งนี้ไม่ได้ปิดประตูไว้
โม่เวยฉีก้มหน้าเล่นเกมในมือถือ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา กล่าวเสียงเบา “ไม่เลว”
ลู่อวี่ไม่ได้สนใจเขา เขาได้ยินเสียงเครื่องสักที่กำลังดังหึ่งๆอยู่ แล้วก็มีเสียงคนแทรกมาบ้างเป็นครั้งคราว ในนั้นมีหนึ่งประโยคที่ลู่อวี่ได้ยินชัดอยู่ เป็นกู้เฟิงที่กล่าวว่า “หากเจ็บจนทนไม่ไหวก็บอก จะได้พักก่อน”
ฟังจากเสียงอีกฝ่ายคงเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงเธอร้องออกมา ไม่ได้พูดอะไรมากเท่าไหร่
ไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินกู้เฟิงพูดประโยคนั้น ลู่อวี่รู้สึกเหมือนมีอะไรมากระทบที่หัวใจสักอย่าง แล้วก็รู้สึกว่าเสียงของเขามันพิเศษ...พิเศษอย่างไรก็ไม่รู้ บอกไม่ถูก แต่ว่ามันมีเสน่ห์มาก
จากนั้นชายหัวล้านที่ทำเสร็จก่อนก็ออกมา เขาอยู่อีกห้องหนึ่งสักอักษรภาษาอังกฤษให้แก่คนอื่น โม่เวยฉีเงยหน้าจากมือถือมามองเขาแล้วถาม “เสร็จแล้วหรือเด็กน้อย”
“อือ คุณรอก่อน พี่ใหญ่ผมทำเร็ว เขาทำให้คุณ รูปเล็กของคุณใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ ไม่ต้องรีบร้อน” เขาจุดบุหรี่ นั่งลงบนเก้าอี้แล้วหยิบมือถือขึ้นมา
“แล้วเธอไม่สักให้ฉันหรือ” โม่เวยฉีมองเขา “รูปฉันมันง่ายๆเลย ใครทำก็เหมือนกัน”
“ผมไม่สักให้คุณ งานผมวันนี้เสร็จหมดแล้ว คุณคือคนที่พี่ใหญ่ผมรับงานมา เขาไม่เอาเงินนั่นก็เรื่องของเขา” เด็กน้อยพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้เงยหน้ามองโม่เวยฉีแล้วกล่าวต่อ “ผมไม่รับงานแทนพี่ใหญ่ และไม่ยุ่งกับความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่ด้วย”
โม่เวยฉีหัวเราะแล้วกล่าว “ไม่ได้คิดจะไม่จ่ายเงินเลย ฉันไม่รู้จักพี่ใหญ่ของเธอหรอก ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรด้วย เธอสักสิ เดี๋ยวจ่ายเงินเลย”
เด็กน้อยส่ายหน้า “ไม่สัก”
“สามพัน” โม่เวยฉีถามเขา
“ไม่” เด็กน้อยยังสูบบุหรี่ต่อ
“ห้าพัน” โม่เวยฉีวางมือถือลง แล้วกล่าวต่อ “ความจริงถ้าให้พี่ใหญ่เธอมาจับก้นฉันมันก็น่าเกลียดนะ ที่จริงเขารู้จักกับเพื่อนของฉัน ไม่ใช่ฉัน เธอทำเถอะ ทุกทีเธอได้เท่าไหร่ฉันเพิ่มเป็นเท่าตัวเลย”
เด็กน้อยมองเขา ก่อนจะหันมามองลู่อวี่ ลู่อวี่พนักหน้าแล้วกล่าว “พวกเขาไม่รู้จักกันหรอก”
โม่เวยฉีกล่าว “แปดพัน”
เด็กน้อยดึงบุหรี่ออก แล้วขยี้ลงที่เขี่ยบุหรี่ “จ่ายเงินเลย”
โม่เวยฉีร้องดีใจ แล้วจ่ายเงินผ่านวีแชทของเขาแปดพัน เด็กน้อยกดรับเงิน แล้วกวักมือเรียกโม่เวยฉี “เข้ามา”
โม่เวยฉีวางมือถือและเสื้อนอกไว้ที่ลู่อวี่แล้วเข้าไปข้างใน ลู่อวี่ไม่คิดจะตามเข้าไปกับเขา มามองคนอื่นวาดรูปที่ก้นของอีกคนมันไม่ได้น่าสนใจสักนิด ผ่านไปชั่วครู่เขาได้ยินเด็กน้อยพูดดังขึ้น “เดี๋ยวผมวาดรูปง่ายๆให้คุณดูก่อน สักออกมาก็จะประมาณนั้น”
โม่เวยฉีกล่าว “ไม่ต้องวาดหรอก เธอทำตามหัวหมาในความรู้สึกของเธอก็ได้แล้ว เบามือด้วย”
น้ำเสียงของเด็กน้อยดูจะอดกลั้นไม่ไหว “พวกเราที่นี่ไม่ได้ทำตามรูปภาพ เป็นต้นแบบทั้งนั้น คุณยอมรับได้ไหมถ้าผมเป็นคนวาดเอง ถ้าไม่ได้ก็เลิก”
“โอเค เธอวาดเลย” โม่เวยฉีกล่าว
ผ่านไปสักพักลู่อวี่ก็ได้ยินเด็กน้อยถามเขาอีกครั้ง “แบบนี้ได้ไหม”
โม่เวยฉีดูจะพอใจมากทีเดียว “ได้ ดีมากเลย”
เด็กน้อยส่งเสียง “อือ” แล้วกล่าว “ถอดกางเกงสิ คุณจะสักตรงไหนตัวเองไม่ได้สนใจเลยหรือไง ให้ผมสักบนกางเกงคุณหรือไง”
โม่เวยฉีถามเขา “สักก้นจะเจ็บไหม”
“ได้อยู่ เนื้อมันเยอะ”
เด็กน้อยกล่าวครั้งสุดท้าย “ผมไม่ชอบพูดตอนทำงาน คุณเองก็ต้องหุบปาก”
โม่เวยฉีรับปาก “โอเค”
ภายหลังประตูปิดลง ลู่อวี่จึงไม่ได้ยินเสียงคุยของพวกเขาอีก หญิงสาวที่อยู่ห้องรับรองข้างหน้าเปิดเพลงอังกฤษช้าๆ ลู่อวี่นั่งที่โซฟาแล้วยังคงจ้องมองเครื่องประดับเหล็กในตู้นั้นต่อไป เวลาผ่านไปเนิ่นนาน มองจนตาของเขาเริ่มหย่อน
จนกระทั่งกู้เฟิงและผู้หญิงผมสั้นออกมาจากห้องสักลู่อวี่จึงรู้สึกตัวตื่น หญิงสาวสักแค่นกกระเรียนสีขาวที่แขน ขยับราวกับมีชีวิต นกกระเรียนสีขาวนั้นมีพลาสติกใสติดทับไว้ น่าจะปวดน่าดู หญิงสาวจึงพัดมือที่แขนข้างนั้นไปมา
กู้เฟิงกล่าวกับเธอว่า “กลับไปอย่าเพิ่งโดนน้ำ ดีที่สุดคือจนถึงพรุ่งนี้”
“ได้ค่ะ ลำบากอาจารย์กู้มามากแล้ว” หญิงสาวคนนั้นยิ้มให้กับเขา
กู้เฟิงกล่าว “ไม่เป็นไร”
เขาเหมือนคนที่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับสิ่งใดตลอดเวลา ดูเย็นชาอยู่ในที
พอผู้หญิงคนนั้นจากไปลู่อวี่จึงชี้ไปที่ห้องข้างๆแล้วกล่าว “เพื่อนฉันให้เด็กน้อยของคุณสักแทนแล้ว”
กู้เฟิงกล่าว “ฉันได้ยินแล้ว”
ลู่อวี่ส่งเสียงแค่ “อือ “ แล้วพยักหน้า แล้วนั่งลงที่โซฟาเงียบโดยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่ออีกดี กู้เฟิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆแล้วถาม “แฟนหรือ”
ลู่อวี่กล่าว “ไม่ใช่ ฉันโสด”
ประโยคนี้ของเขาดูจงใจที่จะพูด แต่ก็ไม่อะไร แต่เดิมลู่อวี่ตั้งใจอยู่แล้ว
กู้เฟิงพยักหน้าลง ความจริงลู่อวี่เองก็มองออกว่ากู้เฟิงไม่ใช่คนช่างพูด ครั้งที่แล้วที่นั่งดื่มเหล้าด้วยกันสองคนเขาก็ไม่ได้ยินกู้เฟิงพูดอะไร หากไม่ได้ดื่มเหล้าลู่อวี่ก็ไม่ได้พูดมาก บรรยากาศดูอึดอัดเล็กน้อย
กู้เฟิงถามเขา “ครั้งที่แล้วคุณบอกเป็นอาจารย์ สอนมัธยมหรือ”
“มหาวิทยาลัย” มือของลู่อวี่ยังสอดอยู่ที่กระเป๋าท้องข้างหน้า เขาถามอย่างขำๆ “ไม่เหมือนหรือ”
กู้เฟิงบอกไม่เหมือน แล้วถามอีกว่าเขาอายุเท่าไหร่
ลู่อวี่บอกเรียนจบปริญญาเอกแล้ว เพิ่งผ่านวันเกิดตอนสามสิบปีไป
กู้เฟิงก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ไม่เหมือน ดูเด็กกว่านั้น”
ระยะห่างระหว่างพวกเขาตอนนี้ใกล้กัน เหมือนครั้งที่แล้วที่ไปดื่มเหล้าด้วยกัน แต่ครั้งที่แล้วไฟมันสลัว ครั้งนี้ไฟสว่างมาก จนลู่อวี่มองเห็นกู้เฟิงได้อย่างชัดเจน เขามองเห็นแผลเป็นที่อยู่ข้างหูของลู่อวี่
น่าจะนานแล้ว เห็นไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาไปใกล้ก็ยังเห็นได้ชัดอยู่
ไม่น่าเกลียด และ...มีเสน่ห์มาก
ในตอนที่ลู่อวี่กำลังใช้สมอง ทันใดนั้นก็ถามกู้เฟิงขึ้นมาว่า “แล้วเธอโสดไหม”
กู้เฟิงชะงักไปชั่วขณะ แล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ “อือ ฉันชินกับแบบนี้”
ลู่อวี่ไม่ได้กล่าวต่อ เพียงแค่พยักหน้า แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เขาต้องการสื่อออกไปเช่นนั้น แล้วกู้เฟิงก็สื่อกลับมาเช่นกัน
รูปของโม่เวยฉีนั้นง่ายมาก แต่ก็ทำจวนจะสองชั่วโมงแล้ว ตอนที่ออกมาก็ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน ถามลู่อวี่ “จะดูไหมอาจารย์ลู่”
“ไม่ล่ะ ไปชื่นชมตัวเองกับกระจกที่บ้านเอานะ” ลู่อวี่ยืนขึ้น แล้วส่งเสื้อนอกกับมือถือคืนให้เขา
กู้เฟิงเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน ลู่อวี่เดินเข้าไปหาเขา ระยะห่างของทั้งสองคนยิ่งใกล้เข้าไปใหญ่
ลู่อวี่ถูจมูก มองไปที่กู้เฟิง ใบหน้าของอาจารย์ลู่นั้นไม่ว่าจะมองจากใกล้หรือไกลก็ปฏิเสธไม่ได้เลย ต้องหล่อตั้งแต่เด็กจนโต กู้เฟิงโดนเขาจ้อง ได้ยินเขากล่าวว่า “ครั้งที่แล้วที่ฉันเลี้ยงเหล้าเธอวันนี้ถือว่ายังไม่ได้คืนนะ เธอยังติดหนี้เลี้ยงเหล้าฉันอยู่”
กู้เฟิงนิ่งไป ก่อนจะหัวเราะแล้วพยักหน้า
“เธอต้องหาเวลามาคืนฉัน” ลู่อวี่กล่าว
กู้เฟิงรับปากอย่างรวดเร็ว “ได้ ฉันจะหาเวลา”
เสียงพูดของลู่อวี่ไม่ดัง แต่โม่เวยฉีก็ยังได้ยิน สองคนเมื่อออกมาจากร้านแล้วโม่เวยฉีก็ส่งกุญแจรถให้ลู่อวี่ ยิ้มล้อเลียนเขา “อาจารย์ลู่ใช่เล่นนะเนี่ย”
ลู่อวี่นั่งประจำฝั่งคนขับ ก้นของโม่เวยฉีตอนนี้คงยังไม่สามารถจะขับรถได้
“แต่หมายความว่าอย่างไรกันแน่” โม่เวยฉียังคงตื่นตระหนก ท่าทางเช่นนี้ของลู่อวี่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน “จริงจังหรือ สนใจว่างั้น”
ลู่อวี่ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เขาพยักหน้า “จริงจัง และสนใจ”
พบเจอครั้งที่แล้วถือว่าเป็นบุญตา น่าจดจำมากทีเดียว ครั้งนี้ได้มาพบอีกครั้ง ภาพจำในใจไม่มีลดลงและยังคงเพิ่มขึ้น
ลู่อวี่คือชายโสดที่ยังอ่อนวัย การสนใจใครสักคนไม่ใช่เรื่องที่พบเจอได้บ่อย เขาเองก็โสดมานานแล้ว ใกล้จะลืมไปหมดแล้วว่ารสชาติของความรักคือเป็นเช่นไร
เขาเห็นสายตาของโม่เวยฉี แล้วก็ขำทันที ยิ้มนั้นช่างดูดี เขาเปลี่ยนเกียร์ ขับรถออกจากที่จอดรถ ลู่อวี่กล่าว “ฉันอยากลองดู”