ตอนที่ 9   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 9
ตอนที่ 9 อินเสี่ยวเป่ยไม่ได้พูดส่งๆ ความจริงที่ว่าอยู่ข้างกายกู้เฟิงมานานหลายปี ทำให้เขาเข้าใจคนคนนี้ จากสายตาที่ยืดยาวของลู่อวี่ทำให้รู้ว่าเขาสนใจกู้เฟิง ไร้ประโยชน์ที่จะปิดบัง ความจริงคนแบบนี้ไม่น้อย ลูกค้าที่มาสักมีบ้างที่จะรู้สึกว่ากู้เฟิงหล่อจนอยากจะมาวนเวียนอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่เห็นมีผลลัพธ์อะไรสักอย่าง ลู่อวี่คนนั้นไม่ใช่คนที่น่ารำคาญ ออกจะรู้เรื่องทีเดียว ทุกครั้งที่มาไม่ได้พูดมาก ไม่ยุ่งกับการทำงานของพวกเขา ระดับสูงแตกต่างจากคนอื่นๆ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวมากเพียงแค่คุยกันสองสามครั้งก็รู้สึกว่าคนคนนี้สุขุมเยือกเย็น ภายหลังลู่อวี่ก็มาอยู่ไม่กี่ครั้ง เขามักจะมาช่วงวันหยุด และทุกครั้งไม่เคยนัดมาก่อน อยากมาก็มา และไม่ได้สนด้วยว่ากู้เฟิงจะอยู่หรือไม่ เขาอยู่ก็คุยกับเขาไม่กี่ประโยค ไม่อยู่ก็คุยกับอินเสี่ยวเป่ยและสวีหลินเอา สวีหลินคือคนที่ทำเล็บอยู่ตรงส่วนรับรองข้างหน้า เธอเองก็รอคอยลู่อวี่อยู่ เพราะชอบที่จะคุยกับเขา เวลาผ่านไปนานก็เริ่มคุ้นชินกับพวกเขา และได้พบกับช่างสักคนอื่นๆแล้วเช่นกัน ยกเว้นคู่รักที่ไปเรียนต่างประเทศที่จะกลับมาในปีหน้า โน๊ตบุ๊คในร้านคือของอินเสี่ยวเป่ยและชายที่ไปต่างประเทศคนละเครื่อง ที่แต่เดิมลู่อวี่คิดว่าหนึ่งในนั้นคือของกู้เฟิง อินเสี่ยวเป่ยหัวเราะแล้วกล่าว “คิดได้ไง พี่ใหญ่เหมือนกับนักพรตหลังเขา มือถือยังใช้ไม่ค่อยเป็นนับประสาอะไรกับการเล่นเกมส์กัน” ในเวลานั้นลู่อวี่หันมองกู้เฟิง กู้เฟิงกำลังนั่งสักให้คนอยู่ข้างหลังนั้น การสักที่ต้นแขนกินแรงอย่างมาก ลู่อวี่ถามอินเสี่ยวเป่ย “แล้วปรกติเขาทำอะไร” “ก็สัก วาดรูป ว่างหน่อยก็ทำอย่างอื่นไป” สายตาของอินเสี่ยวเป่ยเงยขึ้นมาจากมือถือ มองลู่อวี่เพียงครู่ แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่ก็ส่งข้อความหาคนที่มาจีบ” ลู่อวี่ยิ้มให้กับคำพูดของเขา ยักคิ้วอย่างหยอกล้อ “ส่งไปว่าอย่างไรล่ะ” “อยู่คนเดียว” อินเสี่ยวเป่ยก้มหน้ามองมือถืออีกครั้ง แต่ใบหน้ายังยิ้มอยู่ “ทุกคนนั่งอยู่เขาก็หลบเขาไปในห้องวาดรูป ใครจะพูดอะไรก็ไม่สนเลยสักนิด” ลู่อวี่พอฟังออกว่าอินเสี่ยวเป่ยต้องการเล่าให้เขาฟัง ไม่ได้จริงจังอะไร ลู่อวี่ยังคงยิ้ม เขากับอินเสี่ยวเป่ยสนิทกันดี บางเวลาเด็กคนนี้ก็ค่อนข้างกวน แต่ลู่อวี่ก็รู้ว่ากู้เฟิงบางครั้งก็หลบหน้าเขาอยู่ ฟังไปในใจก็เฉยๆ ยังคงคุยเล่นกับอินเสี่ยวเป่ยต่อ การจีบคน หากได้มาโดยที่ยังไม่ได้พยายามนั่นก็น่าเบื่อออก อาจารย์ลู่ได้เตรียมตัวสำหรับการลงสนามครั้งนี้มานานแล้ว ยังไงเขาก็ต้องจีบติด วันนั้นลู่อวี่ได้คุยกับกู้เฟิงไม่กี่ประโยค กู้เฟิงยังคงนั่งสักอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน แม้เขาสักให้พี่ชายคนนั้นจนหลับไปหลายตื่นแล้ว แต่กู้เฟิงก็ยังคงข้างอยู่ท่านั้นไม่มีเปลี่ยน ลู่อวี่มองไปก็รู้สึกว่าหลังเริ่มแข็งแล้ว ต้องปวดคอแน่ๆ “พวกเธออยู่ท่านี้กันตลอดหรือ” ลู่อวี่ถามอินเสี่ยวเป่ย “คือก้มหน้าอย่างนั้นทั้งวัน” อินเสี่ยวเป่ยหัวเราะ “มากกว่าหนึ่งวัน บางครั้งงานครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาไปเป็นสิบๆชั่วโมง ทำเสร็จกระดูกทั้งร่างก็ดังลั่นเลย เหมือนหักให้ได้” ลู่อวี่คิ้วขมวดแล้วส่ายหน้าไปมา “แบบนั้นไม่ดีสิ” “พี่กังวลเรื่องพี่ใหญ่ของผมหรือ” อินเสี่ยวเป่ยมองเขาอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกล่าวอย่างยิ้มๆ “พี่ไม่ต้องกังวลไป พี่ใหญ่ไม่เคยเร่งงาน มากสุดก็ไม่มากกว่าแปดชั่วโมง ทำเสร็จยังเรียกคนมานวดต่อด้วย กระดูกของเขายังดีอยู่แหละ” ลู่อวี่จ้องมองกู้เฟิงอย่างเต็มตาอีกครั้ง คิ้วขมวดแต่ไม่กล่าวอะไร นั่งอีกเพียงครู่แล้วก็ไป ปากของอินเสี่ยวเป่ยยังคงคันยิบๆ ลู่อวี่จากไปแล้วก็เข้าไปใกล้ๆกู้เฟิง หัวเราะหึหึแล้วถามเขา “พี่ใหญ่ ครั้งนี้พี่ไม่ค่อยเหมือนเดิมนะ เมื่อครู่ก็ได้ยินแล้วเนอะ ปวดใจแย่ เหอะ” กู้เฟิงไม่สนใจเขา จับคอของตัวแล้วดันอีกคนไปข้างๆ อินเสี่ยวเป่ยยังคงตามติด “ทำไมพี่ไม่พูดให้ชัดๆไปเลย ยืดเยื้อไปมาอย่างนี้ไม่ใช่นิสัยของพี่สักหน่อย” กู้เฟิงหลุบตามองสำรวจเขา “จะพูดอะไร” “ฉันจะบอกว่าความจริงครั้งนี้พี่ก็ถูกใจอยู่ใช่ไหมล่ะ” ในปากของอินเสี่ยวเป่ยเคี้ยวหมากฝรั่ง แล้วเป่าเป็นฟองเล็กเล่น “พี่ไม่ได้ชอบคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็มีเหตุผลหรอกหรือ” กู้เฟิงยังคงไม่ยอมรับคำพดของเขา อินเสี่ยวเป่ยกล่าว “ความจริงฉันก็มองว่าพี่ลู่นี่ก็ดีเลยนะ หน้าตาก็ดี หุ่นนี้ก็มองข้ามไม่ได้ นิสัยก็โอเค” อินเสี่ยวเป่ยต้องการลองเล่นกับความรู้สึกจึงได้วิ่งมาดักหน้ากู้เฟิงเพื่อจ้องตา แต่คนแบบลู่อวี่นั้นเป็นสไตล์ที่กู้เฟิงชอบแน่ๆ เรื่องนี้เขาไม่ได้มั่ว ความจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ลู่อวี่และเพื่อนของเขามาอินเสี่ยวเป่ยก็รู้สึกว่ามีหวัง แท้จริงเป็นพี่ใหญ่ของเขาเองที่ให้ช่องทางการติดต่อก่อน ถ้าตามความรู้สึกของเขา หากพี่ใหญ่ไม่ได้รู้สึกอะไร เขาคงไม่ให้นามบัตรไปหรอก แต่เมื่อลอบมองไปในช่วงเวลาหนึ่งก็เห็นว่าพี่ใหญ่ของเขานั้นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ไม่เห็นความคิดใดใดด้วย ในใจของอินเสี่ยวเป่ยก็รู้สึกผิดหวัง ข้างกายกู้เฟิงนั้นไม่ได้มีใครมานานแล้ว เหตุผลนั้นมีอินเสี่ยวเป่ยที่รู้เรื่องนี้ไม่โทษพี่ใหญ่ของเขา แต่เขาก็หวังว่าจะมีใครสักคนที่พาเขาออกมาได้ แม้จะผ่านมาหลายปีก็ยังไม่พบเจอ จนเขาเริ่มที่จะไม่สนใจเรื่องนี้อีกแล้ว แต่เมื่อเจอลู่อวี่ ไม่มีแม้แต่ความคืบหน้า แต่ละวันที่มาจีบนั้นก็เต็มไปด้วยความพยายาม รู้สึกว่าใจของตัวเองนั้นเด็กไปทันที สองปีมานี้ไม่ได้ลิ้มรสชาตินั้น และไม่ได้สนใจใครเลย เมื่อครั้งนี้ได้ประสบเข้า ทั้งร่างก็เริ่มสั่นด้วยความตื่นเต้น รู้สึกกลับไปยังตอนที่อายุยี่สิบกว่าที่ตอนนั้นยังไปเรียนอยู่ วันหยุดวันชาติในทุกๆปีเขาชินที่จะต้องออกไปเดินเล่น แต่ก็ไปไม่ไกลมาก ไม่ได้ไปแออัดกับผู้คนบนเครื่องบิน แค่ขับรถไปยังสถานที่ใกล้ๆเท่านั้น ปีนี้เพื่อจีบกู้เฟิงแล้วจึงไม่ได้ไปไหน มาทิ้งตัวอยู่ที่ร้านทุกวัน แต่ก็เสียไปเปล่าๆ กู้เฟิงอยู่ที่ร้านสามวัน แล้วเวลาอื่นก็ไม่ได้มาอีกเลย สวีหลินบอกกับลู่อวี่ “ลูกพี่ไม่ได้มาทุกวันหรอก เขามีงานหนึ่งครั้งหนึ่งวัน แต่บางครั้งลูกค้ามีธุระก็จะขอเลื่อนไปก่อน พอว่างเขาก็ไม่มา” ลู่อวี่กล่าว “ไม่เป็นไร ไม่ได้อะไรเลย” เขารออยู่ที่ร้านทั้งอย่างนั้น คนที่มาขอนัดสักล่วงหน้าก็เข้ามาถามเขา “พี่ชายท่านนี้ ได้เป็นช่างสักของที่นี่ไหมคะ ฉันนัดสักกับคุณได้ไหม” ลู่อวี่ส่ายหน้าอย่างยิ้ม “ฉันไม่ใช่หรอก” “เอ๋ น่าเสียดายจัง” อีกฝ่ายกล่าว “ยังคิดอยู่เลยว่าหากมีช่างสักที่หล่อขนาดนี้ตอนลงสักคงไม่เจ็บสักเท่าไหร่” ลู่อวี่หัวเราะก่อนจะปลอบเธอ “สบายใจเถอะ ครูกู้หล่อกว่าฉันอีกนะ” “ก็ใช่ ฉันเคยพบครูกู้แล้ว” เด็กสาวมองแล้วอายุน่าจะยังไม่มาก คาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษา แล้วช่างพูดเสียด้วย “ครั้งที่แล้วรูมเมทของฉันบอกว่าตอนสักหน้าของครูกู้เคร่งเครียดมาก ถึงหล่อแต่ก็น่ากลัว พอตื่นเต้นก็ยิ่งเจ็บ” อินเสี่ยวเป่ยที่ตอนแรกคุยกับเธอเรื่องรูปและกำลังนัดแนะเวลา ได้ยินเธอกล่าวเช่นนั้นก็คิ้วขมวดแล้วถาม “แล้วเธอดูฉันว่าเป็นอย่างไรล่ะ” เด็กสาวใช้สายตาของเธอสำรวจโดยละเอียด ก่อนจะกล่าวอย่ากระอึกกระอัก “ก็ยังเป็นครูกู้นะ” “...” อินเสี่ยวเป่ยเหมือนโดนตีเข้าหน้าอย่างจัง ถามเธอ “ฉันไม่หล่อหรือ” “ไม่ใช่ อายุพวกเราใกล้กันเกินไป ฉันเขิน” เด็กถูจมูกไปด้วยขณะที่่พูด ลู่อวี่หัวเราะลั่น อินเสี่ยวเป่ยรู้สึกจนใจ แต่เขาก็ไม่ชอบการสักให้ผู้หญิงจริงๆ ยุ่งยาก เด็กผู้หญิงต่อหน้าช่างสักผู้ชายมักจะปล่อยวางไม่ได้ ช่วงแขนยังพอได้อยู่ แต่หากสักนอกจากตรงนั้นก็จะน่าอึดอัดทันที พวกเขาทำอาชีพนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะสักตรงไหนก็ไม่ได้รู้สึกยุ่งยากใจ แต่กับผู้หญิงมันไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงขาอ่อนหรือตรงหน้าอก เด็กสาวกลัวว่าจะเป็นการพูดทำร้ายอินเสี่ยวเป่ย จึงเสริมขึ้นมาอีกประโยค “อาจารย์ลู่ก็อายุมากแล้ว เหมือนกับคุณอา ก็คงไม่ได้น่าอายขนาดนั้น” ประโยคนี้เมื่ออินเสี่ยวเป่ยฟังจบก็หัวเราะทันที ลู่อวี่ที่ได้ฟังก็ไม่ได้สุขใจ มันทำร้ายจิตใจแฟนบอยอย่างเขาอย่างจัง เขาเรียนรู้คำพูดของสวีหลิน แล้วกล่าวขึ้นมา “ห้ามเธอพูดถึงฉันไอดอลอย่างนั้นนะ” เด็กสาวเมื่อโดนเขากวนก็เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว อินเสี่ยวเป่ยเหลือบมองเขาแล้วกล่าว “พี่ลู่ ไอดอลพี่สามห้าอีกสองเดือนก็จะสามหกแล้ว พวกเราไม่พูดก็รู้ว่าเขาน่ะแก่แล้ว” นิตยสารในมือของลู่อวี่ฟาดเข้าที่หัวล้านของอินเสี่ยวเป่ยอย่างจัง ไม่รออยู่ในห้องของพวกเขา แล้ววิ่งไปรอเดลิเวอรี่ที่ห้องรับรองข้างหน้าแทน แล้วทิ้งคำพูดไว้ให้อินเสี่ยวเป่ยว่า “รอหัวกระต่ายมาเธอห้ามกิน หัวกระต่ายรสเผ็ดทั้งหมดเป็นของไอดอลอายุสามสิบห้าอย่างฉัน” หัวกระต่ายคืออาหารที่อินเสี่ยวเป่ยสั่งมาทาน เขาชอบทานอาหารรสจัด วันนั้นไม่ได้รอจนกู้เฟิงมาลู่อวี่ก็ออกไปก่อน เวลานอนพักของเขามาถึงแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากพบใคร ลู่อวี่ที่จีบคนตอนอายุสามสิบกับตอนยี่สิบมันไม่เหมือนกัน ตอนนั้นคือการจีบอย่างจู่โจม แต่ตอนนี้อายุก็มากแล้ว ไม่ชอบเช่นนั้นแล้ว แค่อยากกระตุ้นความรู้สึกเป็นครั้งคราวเท่านั้น แค่ได้เก็บเป็นความทรงจำของชีวิตที่เรียบง่ายนี่ก็พอ พูดไปในตอนแรกที่จีบหลินหรั่น ลู่อวี่ก็ใช้วิธีขั้นสูงเพื่อนได้มา ตอนนั้นหลินหรั่นทำงานอยู่ที่โรงเรียนสอนการออกแบบ นิสัยของหลินหรั่นเป็นคนเงียบและเก็บตัว ตอนนั้นลู่อวี่ก็รักสนุก แต่เดิมก็สนุกดี คู่ของพวกเขานั้นดูเหมาะสมดี มอบดอกไม้ตรงทางเดินลู่อวี่ก็ทำมาไม่น้อย สองคนออกไปเดินเล่นอย่างไรก็ต้องเจอร้านดอกไม้ แน่นอนลู่อวี่ย่อมเข้าไปสั่งดอกกุหลาบมาหนึ่งช่อ สีใสสดใส เหมือนกับลู่อวี่ที่ร้อนแรงและแพรวพราวคนนี้ ลู่อวี่นึกขึ้นมาได้ว่าเหมือนจะยังไม่เคยส่งดอกไม้ให้ จีบคนจะไม่ส่งดอกไม้ได้ยังไงกัน จะเรียบๆธรรมดาก็ได้หมด แต่หากไม่ส่งดอกไม้ให้นั่นแย่มาก จีบได้ขอไปทีมาก ลู่อวี่ที่นอนบนเตียงกดสั่งช่อดอกไม้ไป ดอกกุหลาบสามสิบห้าดอก ให้คนเอาไปส่งให้พรุ่งนี้ ความจริงเขาอยากสั่งเก้าสิบเก้าดอก แต่เมื่อก่อนเขาก็สั่งให้หลินหรั่นเก้าสิบเก้าดอกเช่นกัน เขาไม่ชอบเลขนี้เท่าไหร่ จึงกดสั่งตามตัวเลขที่อินเสี่ยวเป่ยพูดขึ้นมา สามสิบห้าดอกถือว่าไม่เยอะ รวบเข้าหากันก็เป็นช่อเล็กๆแล้ว ลู่อวี่ส่งวีแชทไปถามสวีหลินว่าวันที่สองนี่กู้เฟิงมาทำงานตอนไหน สวีหลินบอกตอนบ่าย ลู่อวี่จึงกล่าวกับพนักงานว่า “รบกวนช่วยฉันไปส่งตอนบ่ายที่นี่ด้วย ตอนเช้าไม่มีคนรับ ขอบคุณครับ” วันที่สองตอนบ่ายสอง ดอกไม้ที่ลู่อวี่สั่งก็มาส่งตามเวลา เวลานั้นกู้เฟิงกำลังเตรียมตัวอยู่ที่ห้องสัก สีวางอยู่ที่โต๊ะเล็กนั่น ตอนบ่ายต้องใช้สีเยอะ เขากำลังผสมสี ประตูห้องไม่ได้ปิด อินเสี่ยวเป่ยถือช่อดอกไม้มาแล้วเคาะประตูอยู่สองครั้ง กู้เฟิงเหลือบสายตามองเขา เพื่อบอกว่าหากมีเรื่องก็พูดมา อินเสี่ยวเป่ยจงใจยืดแขนออกไป แล้วโยนดอกไม้ไปที่ขาของเขา มองเขาด้วยสายตาอบอุ่น “ขอโทษครับคุณกู้อยู่หรือไม่ มีดอกไม้ของคุณมาส่ง” กู้เฟิงเลิกคิ้วจ้องเขา ไม่รู้ว่าเขากำลังทำเรื่องบ้าอะไรอยู่ “แฟนบอยพี่ส่งมา” อินเสี่ยวเป่ยชี้ไปที่ดอกไม้ตรงขาของเขา ช่อที่แดงจนแสบตานั่น “โรแมนติคมากไหมครับคุณกู้” “เอาออกไป” กู้เฟิงยังไม่วางของในมือลง มองดอกไม้แล้วกล่าวกับอินเสี่ยวเป่ย “อย่าวุ่นวาย” “ฉันวุ่นวายหรือ” อินเสี่ยวเป่ยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฉันไม่ได้สั่งนี่ เป็นแฟนบอยพี่ส่งมาจริงๆ พี่ลู่บอกว่า หนึ่งวันหนึ่งช่อ ลองดูหนึ่งเดือน” --“หือ พี่ลู่รึ” วันนี้คนที่มาสักด้วยคือสาวเท่ห์ แค่ได้ยินอินเสี่ยวเป่ยพูดออกมาสองประโยคก็เป็นปัญหาทันที เธอมองดอกไม้ มองกู้เฟิง มองอินเสี่ยวเป่ย “แฟนบอยหรือ ผู้ชายอย่างนั้นหรือ” อินเสี่ยวเป่ยพยักหน้า “อือ” สาวเท่ห์จึงยกนิ้วให้กู้เฟิง “คบกันนานๆล่ะ” กู้เฟิงรู้สึกจนใจ แล้วลองสีต่อไปโดยที่ไม่กล่าวอะไร ขนคิ้วของเขาหนามาก ตอนที่ก้มหน้าลงขนตาก็จะบังดวงตาของเขาไปจนหมด จึงมองไม่เห็นว่ารู้สึกอย่างไร สาวเท่ห์กล่าว “หากไม่เอาจริงๆก็ให้ฉันสิ เดี๋ยวฉันจะได้เอาไปให้แฟนสาวของฉัน” เธอกล่าวจบก็ยื่นมือจะมาเอาดอกไม้ไป กู้เฟิงเบี่ยงตัวหลบเบาๆ ยกแขนขึ้นมาบังเล็กน้อย กล่าวอย่างนิ่งๆ “ไม่ได้ เสียมรรยาท” สาวเท่ห์ลอบสบสายตากับอินเสี่ยวเป่ย อินเสี่ยวเป่ยหัวเราะเยอะทันที หลังจากนั้น “หึหึหึหึ” ก็เดินตัวเอียงๆออกจากห้องไป
已经是最新一章了
加载中