ตอนที่11   1/    
已经是第一章了
ตอนที่11
ตอนที่11 หลังจากกลับมา ฟางซีก็ได้แอดเพื่อนทางวีแชทกับลู่อวี่ มีเรื่องอะไรก็ติดต่อกันทางนี้โดยตรง ฟางซีเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย คบหาติดต่อกับคนแบบนี้จะไม่ค่อยมีแรงกดดันเท่าไหร่ และไม่ต้องปรับตัวอะไรเยอะ เขาส่งข้อความไปให้ลู่อวี่ “ พี่ลู่ ขับรถเป็นไหม? คำเรียกว่าคุณพี่ลู่ ทำให้ลู่อวี่รู้สึกประหลาดใจงงนิดหน่อย รู้จักกับโม่เวยฉีเกือบจะยี่สิบปีแล้วก็ไม่เคยเรียกกันแบบนี้ ลู่อวี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่รู้จะดีใจหรือจะร้องไห้ จึงตอบเขาไปว่า “ ขับเป็น ฟางซี” งั้นดีเลย งั้นคุณขึ้นรถกับพี่กู้ จะได้เปลี่ยนกันขับด้วย ส่วนพวกเราที่เหลือจะไปด้วยกัน ลู่อวี่” อืม ได้ เขารู้ดีว่าฟางซีทำแบบนี้เพื่ออยากให้เวลาพวกเราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นเป็นการส่วนตัว เจตนานี้เขาซาบซึ้งใจเหลือเกิน คนแบบฟางซี ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีความสามารถยอดเยี่ยม ฉลาด แต่ก็เจ้าเล่ห์ไม่เบา แต่คนเราต้องมีเจ้าเล่ห์บ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ไม่ได้แปลว่าเป็นคนไม่ดี ลู่อวี่มองออกว่าฟางซีพยายามจับคู่เพื่อให้ตนกับกู้เฟิงได้ใกล้ชิดกัน ความรู้สึกแบบนี้ลู่อวี่ชอบมาก ได้คบค้าสมาคมกับเพื่อนของกู้เฟิง ก็เรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่เหลือเชื่อเกินคาดแล้ว เย็นวันพฤหัสลู่อวี่เก็บข้าวของบางอย่างที่จำเป็น หยิบเสื้อผ้าที่ใช้สำหรับเปลี่ยนหลังอาบน้ำ ใส่หยิบเสื้อผ้าฝ้ายนุ่ม ไปกับคณะที่มีผู้ชายเยอะขนาดนี้ จะเอากระเป๋าใหญ่ไปก็ไม่สะดวก เอาใบเล็กพอใส่ได้ก็พอแล้ว ดังนั้นลู่อวี่หยิบเสื้อผ้าฝ้ายที่ไม่หนาจนเกินไป เรียกได้ว่าเก็บของเสร็จก่อนเวลาเสียอีก แม้ว่าพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางตั่งแต่เช้ามืด แต่ลู่อวี่กลับไม่ได้รีบเข้านอนพักผ่อนเลย เขากลับโทรศัพท์หากู้เฟิง โทรเขาเบอร์ส่วนตัว โทรศัพท์ดังอยู่นานกว่าจะมีคนรับสาย กู้เฟิงตอบกลับมาด้วยเสียงแหบในลำคอ “ฮัลโหลว?” ลู่อวี่ได้ยินเสียงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ใจไม่ได้เต้นแรงแบบนี้มานานแล้ว แม้ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกว่ามันน่าขำยิ่งนัก อยู่ดีๆก็ไปจีบคนอื่นโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว ที่สำคัญตามจีบซะแบบจริงจังอีก ดังนั้นพอได้ยินเสียงที่ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยตอบมาจึงยิ้มขำชอบใจ เขาเอ่ยทักทายไป” “สวัสดีตอนเย็นนะ คุณครูกู้” “นายสิเป็นครูจริงๆ อย่าเรียกแบบนี้เลยเถอะ”น้ำเสียงของกู้เฟิงเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ คาดกว่าน่าจะนอนหลับพักผ่อนไปแล้ว เพราะเสียงที่ผ่านสายออกมาดูนิ่งเรียบกว่าปกติ ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบแบบนี้ ได้ยินแล้วช่างหลอมใจคนยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโทรศัพท์หากู้เฟิง เเอบเก็บเบอร์โทรไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้โทรสักที กู้เฟิงถามเขา” “มีธุระอะไรรึเปล่า?” “อืม ฉันอยากจะถามอะไรสักหน่อย “ ลู่อวี่เอนพิงไปที่เตียงนอน มือเคาะไปที่หัวเข่าตัวเองเบาๆ “พรุ่งนี้เช้าให้ไปหานายที่ร้านไหม? หรือว่าให้ไปที่ไหน?” “ฟางซีไม่ได้แจ้งกับอย่างชัดเจนหรอ?” กู้เฟิงหยุดไปพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นต่อ “ฉันนึกว่าเขาปรึกษาเจรจา เรื่องสถานที่เรียบร้อยแล้วซะอีก งั้นเดี่ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปรับ” ลู่อวี่เอ่ยตอบ” “โอเค” หลังจากวางสาย ลู่อวี่ส่งตำแหน่งที่ตั้งไปให้เขาอย่างยินดี ทางด้านกู้เฟิง หลังจากได้รับตำแหน่งที่ตั้งแล้ว พิจารณาดู ที่นั่นไม่ห่างจากที่เขาอยู่มากนัก เขาคิ้วขมวดเข้าหากันและส่งข้อความไปหาฟางซีบอกว่าเขาพูดจาไม่น่าเชื่อถือเลย ตอนบ่ายยังบอกในกลุ่มอยู่เลยว่าให้ไปรับลู่อวี่ กู้เฟิงอ่านแล้วแต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคำพูดของฟางซีชอบกลับกลอกไปมา เรียกลูกพี่กู้ซะดิบดี เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดกลับไป ฟางซีรีบตอบกลับมาซะเร็วเชียว รีบเอ่ยขึ้นว่า “ ฉันเห็นนายอ่านแล้วแต่ไม่ตอบ ฉันก็ถือว่านายตกลงแล้วไง กู้เฟิง” ถามก็ไม่ถามเจ้าตัวเขาสักคำ แล้วพรุ่งนี้เช้าจะโยนเขาไปไว้ตรงไหนของโลกเนี๊ย? ฟางซีหัวเราะกลับมาก่อน “ฮ่าฮ่า จากนั้นจึงพิมพ์ต่อ “ จะทำแบบนั้นได้ไงกัน ฉันว่าพรุ่งนี้สองโมงจึงจะส่งข้อความให้เขา เห็นทีแบบนี้ฉันคงไม่ต้องแล้วแหละ ฟางซีส่งมาต่อ “ ดูเป็นห่วงคุณครูลู่จังนะ?. ฟางซี”ไอ้แก่หนังเหนียว ฟางซี” สมองกลับ กู้เฟิงตอบกลับเขา” ไสหัวไป กูเฟิง” นายเลิกพูดจากลับกลอกได้แล้ว ไร้สาระจริงๆ ฟางซีแรกๆก็ไม่ได้ตอบอะไรเยอะ ผ่านไปสักครู่หนึ่งก็เลยส่งข้อความมา “ อาจารย์กู้ถ้าไม่หาใครสักคน สมรรถภาพคงจะเสื่อมแล้ว โสดมานานเท่าไหร่แล้วเนี้ย เอ๊ะ หรือว่าเสื่อมแล้ว กู้เฟิงไม่ได้ตอบอะไร สำหรับเรื่องนี้เขามักจะถูกล้ออยู่บ่อยๆ จนเริ่มชินแล้ว โสดมานาน จนชีวิตโสดมันเข้ากระดูกไปแล้ว จนไม่อยากจะเปลี่ยนอะไรอีกแล้ว อาบน้ำเสร็จอย่างรีบ ใส่แค่กางเกงตัวเดียว มายืนสูบบุหรี่โผล่หน้าออกไปนอกหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องเริ่มเย็นลงนิดหน่อย กู้เฟิงเป็นคนที่ค่อนข้างไม่มีอะไรให้น่าสนใจสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยหรือว่าชีวิตประจำวันความเคยชินต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างกับเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นจิตใจ หรือว่าจิตวิญญาณต่างๆ เรียกได้ว่าความคิดพฤติกรรมเหล่านี้สิงร่างเขาเป็นตัวเขาเข้าไปแล้ว เหลือเพียงแค่ความขี้เก๊กขี้มาดของเขา ไม่น่าหลงใหลและไม่ต้องการอะไร ถ้าจะให้ฟางซีพูด เขาก็จะบอกว่า เขาไม่มีความเป็นมนุษย์ใดๆเหลืออยู่ และเขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองยังเป็นคนอยู่เหมือนกัน เช้าวันต่อมา กู้เฟิงไปรับลู่อวี่ตามจีพีเอสที่ส่งให้มา พอไปถึงชั้นล่างแล้วจึงโทรศัพท์หาเขา ลู่อวี่รับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว” “อรุณสวัสดิ์” กู้เฟิง” “ฉันอยู่ข้างล่างแล้ว” “คุณมาเช้าขนาดนี้เลยหรอ?” ลู่อวี่รู้สึกตกใจนิดหน่อย จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “งั้นนายรอฉันสักครู่นะ ขอโทษจริงๆอ่ะ” “ไม่เป็นไร” กู้เฟิงตอบ จริงๆตอนที่ลู่อวี่รับโทรศัพท์คือเขาพึ่งตื่นนอน เขาไม่คิดว่ากู้เฟิงจะมาแต่เช้าขนาดนี้ ถ้ารู้ก่อนก็จะตื่นมันให้เช้ากว่านี้สักหน่อย ลู่อวี่รีบจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว ถือกระเป๋าและรีบลงไป ตอนที่ลงไปผมก็ยังเปียกๆอยู่เลย กู้เฟิงบีบแตรให้สัญญาณว่าอยู่ตรงนี้ เขาเอาของใส่ข้างหลังรถ จากนั้นรีบเปิดประตูวิ่งเข่าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ “ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ กู้เฟิงยิ้มและเอ่ยขึ้น “ ไม่เป็นไรจริงๆ ฉันมาเเต่เช้าเองแหละ” ลู่อวี่ผ่อนหายใจ รับใส่เข็มกลัดนิรภัย “ “เราจะไปรวมกับพวกเขาที่ไหนกันหรอ?” กู้เฟิงตอบ “ นายยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม?เราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ แล้วค่อยไปรอพวกเขาที่หน้าทางขึ้นเขา” “โอเค” ลู่อวี่พยักหน้า ยิ้มๆมองสำรวจไปยังทุกสัดส่วนของรถ พร้อมกับถอนใจเอ่ยออกมา “ว๊าว หรูเวอร์” กู้เฟิงยิ้มๆและไม่ได้พูดอะไร ลู่อวี่มองรอบๆสำรวจรถไอดอลของเขา รถคันนี้แพงกว่าค่าบ้านเขาเสียอีก คนที่เขากำลังจีบรวยไม่เบาเลยแฮะ มันก็เลยทำให้เขายิ่งมีแรงกดดันเพิ่มมากขึ้น ..... พวกเขาหาร้านอาหารสักร้านทานข้าวเช้ากัน เช้าเกินไปจริงๆ จึงทำให้ลู่อวี่กินไม่ค่อยลงเท่าไหร่ จึงกินรองท้องเพียงแค่ไม่กี่คำ กู้เฟิงเองก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างกัน เขาเองก็กินไม่เยอะเหมือนกัน พวกของฟางซีมาถึงก่อนพวกเขาสองคนอีก พอไปถึงพวกเขาก็รอยู่ที่ทางขึ้นเขาแล้ว ลู่อวี่ลงจากรถ นอกจากฟางซีแล้วยังมีคนอื่นๆอีกสี่คน ฟางซีจึงแนะนำให้เขารู้จัก นี่คือหลินเสวียน.. เป็นวิศวกร ส่วนนี่คือเฉิงหนิง ทำธุรกิจร้านอาหาร ส่วนสองคนนี้คือ เหล่าจู และเหลาเฉา เป็นศิลปินอาชีพ เหมือนกันกับกู้เฟิง” คนที่ถูกเรียกว่าเหล่าจูยิ้มๆและเอ่ยขึ้น” แค่ศิลปินกระจอกๆหน่ะ ผมขายรูปภาพครับ” ลู่อวี่ยิ้มๆ ฟางซีตบไหล่เขาและเอ่ยขึ้นว่า “ “นี่คือ ลู่อวี่ เหล่ากู้...เป็นเพื่อนกัน” เขาเคยบอกในกลุ่มไปแล้ว และคนกลุ่มนี้ก็รู้แล้วว่าลู่อวี่เป็นคุณครู เมื่อสักครู่ฟางซีเกือบหลุดปากเอ่ยประโยคนี้ไปแล้ว “เป็นคู่รักของพี่กู้” “ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย เห็นแล้วอดคิดถึงสมัยยังหนุ่มไม่ได้” หลิน...ถอนหายใจเฮือก “แต่ว่าตอนที่เป็นหนุ่มไม่ได้หล่อขนาดนี้นะสิ” “เลิกรำลึกทอดถอนใจถึงอดีตได้แล้ว” คนที่เอ่ยขึ้นคือพี่เจา เขาคือคนที่ใส่เสื้อผ้าน้อยที่สุด เขาทำท่าหดไหล่ลงแล้วเอ่ยต่อ “เราไปถึงที่หมายก่อนค่อยคุยกันต่อเถอะ หนาวจะเเย่อยู่แล้วเนี่ย” “โอเคร งั้นให้ยังจะนั่งรถคันเดียวกันกับพี่กู้อยู่ได้ไหม?” ฟางซีหันมาถามลู่อวี่ “มีปัญหาอะไรก็โทรหาละกันนะ” ลู่อวี่พยักหน้าตกลง “ “ได้” ยังเป็นกู้เฟิงที่เป็นคนขับรถ เขาปรับอุณหภูมิในรถให้อบอุ่นขึ้นมา หันมามองลู่อวี่แล้วเอ่ยขึ้น “”คุณใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นไปแล้ว” ลู่อวี่ “อืม” เอ่ยตอบ “ “ก็ใส่น้อยจริงๆแหละ คิดไม่ถึงว่าวันนี้อากาศจะหนาว” กู้เฟิงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แค่ปรับอุณหภูมิให้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกสององศา   ลู่อวี่ชอบโมเม้นท์ที่อยู่กับกู้เฟิงสองต่อสองแบบนี้ โดยเฉพาะอยู่ในรถบรรยากาศที่ชิดใกล้อบอุ่นแบบนี้ เขาและกู้เฟิงอยู่ใกล้กันมาก เพียงเเค่หันหน้าไปก็จะสามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน แม้ว่ากู้เฟิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่เป็นเพราะภาพที่ลู่อวี่วาดฝันไว้ต่างก็ปรากฏเป็นจริงตรงหน้า ดังนั้นไม่ว่ายังไง บรรยากาศที่มีคืออบอุ่นแต่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก แม้ว่าบรรยากาศจะเงียบสงบแต่ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ฝ่ายใด แต่ก็ไม่สามารถที่จะเอ่ยพรวดพราดออกมาเลยได้ ลู่อวี่หยิบน้ำสองขวดที่อยู่เบาะด้านหลังออกมา หมุนเปิดฝาแล้วยื่นให้กับ กู้เฟิง กู้เฟิงรับมาแล้วดื่มเข้าไป ลู่อวี่ก็ดื่มเหมือนกัน รู้สึกชุ่มคอขึ้นมาบ้าง เขาเอ่ยถามกู้เฟิง “ “คุณเริ่มรับสักลายตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรอคะ?” “นานแล้วล่ะ” กู้เฟิงยังทำทีครุ่นคิดอย่างตั้งใจ จากนั้นส่ายหัวเบาๆ “จำไม่ได้เหมือนกัน น่าจะได้สักยี่สิบปีมาแล้วล่ะมั้ง” “นานขนาดนั้นเลยหรอ?” ลู่อวี่รู้สึกประหลาดใจจริงๆ “ตอนนั้นภายในประเทศมีการสักลายตามตัวเเล้วรึยังหรอ?” “ก็มีนะ” กู้เฟิงเอ่ยด้วยท่าทีราบเรียบไม่มีความรู้สึกใดๆ พูดคุยกับเขาด้วยท่าทีที่สบายๆ “แต่ว่าก็จะน้อยสักหน่อย คุณยังจำ กู่...ได้ไหม ? ตอนนั้นก็เริ่มมีแล้ว จริงๆก่อนหน้านั้นก็มีแล้วนะ ก็น่าจะเริ่มมีจากช่วงนั้นเป็นต้นมา” “กู้โฮ่วฉุน ใครๆก็จำได้” ลู่อวี่ยิ้ม พร้อมกับหมุดขวดน้ำในมือ “แต่นั่นน่าจะเป็นหนังที่ฮองกงไหม? พวกเราที่นี้ก็มีใช่ไหม?” กู้เฟิงพยักหน้า “”มี” ลู่อวี่พยายามหาเรื่องที่จะพูดคุยกับเขา น้อยนักที่จะได้ฟังกู้เฟิงพูดยาวๆแบบนี้ เขาชอบให้กู้เฟิงพูดเรื่องลายสักตามตัว เหมือนที่เขาชอบฟังกูรูชา พูดเรื่องชา ฟักนักจิตกรพูดเรื่องการวาดภาพ คนคนหนึ่งที่พูดบอกเล่าเรื่องราวที่ตนถนัดคุ้นชินมากที่สุดให้กับคนอื่นฟัง มันจะทำให้ตัวเขาเองรู้สึกมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น “ตอนนั้นคุณน่าจะอายุสิบกว่าๆใช่ไหม? แล้วนายเริ่มไปสัมผัสกับมันยังไง?” ลู่อวี่มองเขาแล้วถามต่อ รถที่อยู่ข้างๆขับแซงขึ้นมา กู้เฟิงเหลือบสายตามองผ่านกระจกหลังและเอ่ยขึ้นว่า “ “ตอนนั้นผมน่าจะอยู่ในช่วงที่เรียนมัธยมปลายอยู่ คนที่มาฮ่องกงพวกเขามาเช่าบ้านของผม อยู่บ้านสวนด้านหลัง ตอนมาถือแค่ถุงมาถุงเดียว ในถุงก็เต็มไปด้วยของเหล่านั้น” ลู่อวี่ถามต่อ” “พวกเขาคือช่างสักลายใช่ไหม?” กู้เฟิงพยักหน้าเอ่ย “ “อืม พวกเขาเก่งมาก ตอนอยู่ที่ฮ่องกงมีปัญหากันจึงอพยพย้ายมาที่นี่ บางครั้งก็มีคนมาตามหารอยสักของพวกเขามักเป็น พวกอัธพาล บางครั้งผมก็เคยไปนั่งดูอยู่ข้างๆ พอนานวันเข้าเขาก็สอนผมด้วย ตอนนั้นผมก็ยังงงๆอยู่ เรียนได้แค่ไม่กี่วันก็กล้าไปสักให้กับคนอื่น แต่ว่าอาจจะขี้เหร่หน่อยแต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร” กู้เฟิงเล่าไปด้วยขับรถไปด้วย เขาเอ่ยทีละประโยคและก็เว้นวรรคไปประมาณสองสามนาทีจึงเอ่ยต่อ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากำลังรำลึกความหลัง เลือกเอาความทรงจำออกมาถ่ายทอดให้กับผู้คนฟัง น้ำเสียงของเขาเดิมทีที่ทุ้มต่ำอยู่แล้ว ยิ่งค่อยๆเล่าช้าๆแบบนี้ยิ่งกระตุ้นเพิ่มรสชาติให้กับคนฟังมากยิ่งขึ้น เปรียบเพิ่มระดับเสมือนเลนส์คัดกรองให้ความรู้สึกยิ่งเข้าถึงช่วงเวลาในอดีต “คนฮ่องกงไม่ค่อยขัดสนเรื่องเงินทอง เขายอมให้ผมใช้อุปกรณ์สีเพ้นรวมถึงเครื่องมือต่างๆมาฝึกฝีมือ ในการสลักลวดลายลงไปในลำตัวของผู้คน ให้ผมสามารถสลักลายตามรูปของพวกเขาได้ จะทำไม่สวยเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากนี้ยังมาแก้เสริมให้อีกด้วย แบบนี้ทำให้ฝึกเป็นเร็วมากขึ้น ต่อมาผมก็เริ่มลงมือเองวาดลายเองและมือเริ่มนิ่งมากขึ้น” ลู่อวี่ยิ้มๆ “ จากนั้นคุณก็ผันตัวมาเป็นอาจารย์หรอ?” “เปล่า” กู้เฟิงส่ายหัว ยิ้มและเอ่ยขึ้น “ “มันเป็นได้ง่ายๆที่ไหนกันเล่า” “ลายภาพในตอนนั้นมีความเล็กใหญ่ลวดลายที่แตกต่างกัน ทั้งมังกรเขียว งูดำ หมาป่าที่ดุร้าย ส่วนใหญ่มักจะเป็นลายแบบนี้ “กู้เฟิงค่อยๆเอ่ยตัวด้วยท่าทีที่ราบเรียบ “ถ้าดูตอนนี้อาจจะดูขี้เหร่หน่อย แต่ถ้าเป็นในอดีตถือเป็นลายยอดนิยมเลยเชียว แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นปัญหาทางรสนิยมด้านสุนทรียภาพของคนรุ่นก่อน แต่เป็นเรื่องราวของกาลเวลายุคสมัยที่แปรเปลี่ยนบวกกับพื้นเพภูมิหลังที่เคลื่อนคล้อยไป รวมถึงบทบาททางสังคมอิทธิพลยุคมืด” เขาใช้เวลาไม่กี่นาทีเอ่ยถึงอารยะธรรมความเป็นไปของลวดลาย ลู่อวี่หยุดชะงักไปครู่ ยิ้มกรุ้มกริ่ม และเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ “จริงๆก่อนที่จะรู้จักพวกคุณ ฉันเริ่มลืมภาพจำด้านรอยสักไปแล้วนะเนี้ย” “เป็นปกติแหละ ที่คุณจะเข้าไม่ถึงเรื่องเหล่านี้” กู้เฟิงยิ้ม “ช่วงเวลาตอนนั้นมันดีมากๆเลย เรียกว่าเป็นยุคของช่วงเวลาที่การสักลายตามตัวเริ่มบุกเบิกเกิดมีขึ้น” “แล้วบนตัวคุณล่ะ มีรอยสักไหม?” ลู่อวี่ถามขึ้นทันใด เฟิงกู้ชะงักไป จากนั้นจึงตอบว่าไม่มี ในแววตาของเขาซ่อนรอยยิ้มบางๆไว้ “ “ผมไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองมาเป็นการลองฝีมือ ผู้คนมากมายมาเป็นเครื่องมือให้ผมฝึกฝีมือ หลายคนมองไม่ออกถึงข้อดีหรือข้อเสีย ภาพวาดลวดลายสีดำจะสลักลงบนกายน่ะได้ ลวดลายอาจไม่ดีบ้างก็ไม่เป็นไร และติดอยู่ที่กายเราจนถึงตอนนี้ ก็อาจจะทำให้ผิวเสียไปบ้าง” “ฉากหลังของนักสักลายไม่ได้แบ่งแยกว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีหรือไม่ดี การสักลายไม่ใช่เป็นที่แพร่หลายกันแค่ในกลุ่มนักเลงอันธพาลเท่านั้น คุณค่ารสนิยมทางสุนทรียภาพก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์เรานับวันก็เริ่มเอาจริงเอาจังมากขึ้น แล้วก็ไม่มีผิวที่มากมายพอที่จะให้เราละเลงได้พอ คุณดูที่บนผิวของพวกเขาสิ บางคนก็ไม่ได้สักเพราะอยากจะสักจริงๆ ไม่ได้มีศิลปะเหมือนเมื่อก่อน คนที่สนิทสนมอยู่ข้างกาย เพื่อน รวมถึงตัวเอง มักจะสักให้กันจนทำลายผิวไปหลายครั้งกว่าจะฝึกได้สำเร็จ” ลู่อวี่ตั้งใจฟังอย่างซาบซึ้ง ในขณะที่่กู้เฟิงเล่าเรื่องราวเหล่านี้ บ่งบอกถึงความรู้สึกที่ถอดถอนใจเกี่ยวกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากอยู่ตลอดเวลา เขาหันหน้าไปมองกู้เฟิงที่อยู่ข้างๆ จ้องมองไปที่ดวงตาของเขา กู้เฟิงมองไปที่ถนนด้านหน้าตลอด สลับกับการเหลือบสายตามองที่กระจกหลัง ลู่อวี่เอ่ยถามต่อ “ เสี่ยวเป่ยบอกว่าคุณเคยเรียนมหาลัย คุณเรียนอะไรหรอ?” กู้เฟิงตอบ “ “ภาพวาดวิวจีนโบราณ” วาดลายสักกับภาพวาดวิวจีนโบราณ ทั้งสองแขนงนี้ฟังไปแล้วจะรู้สึกขัดแย้งๆกันแปลกๆ กู้เฟิงเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เอ่ยขึ้น “ “คนฮ่องกงมักจะบอกให้ผมเรียนวาดภาพ ก่อนจะเรียนมหาลัยก็วาดอยู่แล้ว ถ้าวาดภาพไม่เป็นก็สักลายไม่ได้ การสักลายก็เป็นการวาดภาพเช่นเดียวกัน เป็นอีกรูปแบบหนึ่งแค่นั้นเอง” วันนี้กู้เฟิงพูดเยอะมาก ลู่อวี๋ค่อยๆถูกเขาดึงดูดให้หลงไปตามแล้ว กู้เฟิงบอกว่าหลังจากที่เขาเรียนจบเขาได้เดินทางไปที่ต่างๆมากมายหลายแห่ง ไปญี่ปุ่น ไปอินเดีย ไปไต้หวัน ที่อเมริกาเขตนั้นมีคนผิวดำมากมาย และหลังๆลู่อวี่ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดี  เขานั่งฟังเงียบๆไม่ได้ขัดเขาใดๆ ชอบฟังเขาเล่าเรื่อยๆแบบนี้ ฟังประสบการณ์ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของเขา .... ต่อมากู้เฟิงยิ้มๆและหันกลับมาถามเขา “ “ คุณครูลู่ยังอยากฟังต่อไหม?” ความอยากรู้อยากเห็นของลู่อวี่ถูกกู้เฟิงเปิดประเด็นนำไปนานแล้ว ในใจตอนนี้มันพรั่งพรูเต็มอก เขามองไปที่กู้เฟิง ปฏิกิริยาร่างกายมันพุ่งพ่านมากกว่าปกติ ยิ่งอยากจะรู้จักเขาให้มากขึ้นกว่านี้ จะได้รู้จักกันชิดใกล้กว่านี้ ลู่อวี่ก็ยิ้มเช่นเดียวกัน เอามือถูไปถูมาที่ใต้ก้นขวด และเอ่ยถามขึ้น “ “ยังอยากฟังอีกสิ...คุณเคยมีแฟนไหม .....
已经是最新一章了
加载中