ตอนที่11 ยากที่จะกลับจวน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่11 ยากที่จะกลับจวน
ต๭นที่11 ยากที่จะกลับจวน ครั้นเมี่ยวฝูได้ยินจึงคิดเล่นละคร หันร่างกลับแสร้งทำเป็นสุขุมพิจารณาเยาเนี่ยอย่างละเอียด พลันถอนหายใจหนักอึ้ง ลูบใต้คางราวกับลังเลอะไรบางอย่าง “การพบเจ้าเป็นเพราะพวกเรามีโชคชะตา ข้าบอกได้ไม่มาก ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย ยามนี้เจ้าเผชิญกับแสงทมิฬ ภัยพิบัติที่ยากจะหลบเลี่ยง ถ้าหากเจ้าเชื่อข้า ข้าจะแบกรับความเสี่ยงช่วยเจ้าคลี่คลาย เจ้าเพียงจำเป็นจะต้องใจคอกว้างขวางสักหน่อย ข้าจะทำการกราบไหว้ต่อพระพุทธองค์แทนเจ้าเพื่อช่วยให้เจ้าสามารถผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ แต่ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อถือคลี่คลายหายนะ ภายในสามวันดวงเจ้าคงถึงคราวยากจะพ้นเคราะห์” ยามนี้เยาเนี่ยมองเมี่ยวฝูด้วยความตื่นตระหนก ร่องรอยความกังวลปรากฏอยู่ในดวงตา “ความหมายของเจ้าคือ ข้าจะต้องจ่ายเงินเพื่อขจัดหายนะ โดยอาศัยเจ้ากราบไหว้พระพุทธองค์ให้ข้าจึงจะสามารถคลี่คลายคราวเคราห์นี้ไปได้ เช่นนั้นต้องใช้กี่ตำลึงเงินกันเล่า?” เมื่อเยาเนี่ยกล่าวจบ ดวงตากลับเผยความร้าย เขาต้องการกราบไหว้พระพุทธองค์ก็สมควรไปวัดสิ จะต้องตามหานางทำไมกัน?” เมี่ยวฝูวางมาดนิ่งขรึมพลางกล่าวด้วยใบหน้าอันหนักแน่น “มากน้อยขึ้นอยู่กับน้ำใจเจ้า ให้มากข้าก็คลี่คลายได้ไว วางใจเถิดมีข้าออกโรง สามารถขจัดคราวเคราะห์เลือดตกยางออกของเจ้าได้แน่นอน หลังจากนี้ภูตผีปีศาจล้วนมิอาจกล่ำกลายเจ้า” หลังจากเยาเนี่ยได้ใคร่ครวญจึงพยักหน้าถี่ๆ ควักตั๋วเงินออกมาห้าใบ “ขอถามห้าร้อยตำลึงนี่พอหรือไม่?” เมี่ยวฝูคิดไม่ถึงว่าเยาเนี่ยจะเป็นหมูในอวยเช่นนี้ อีกทั้งยังหยิบจ่ายอย่างมือเติบ นางชำเลืองมองเขาอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นจึงหยิบตั๋วเงินหนึ่งใบออกมาจากมือเขา “หนึ่งร้อยตำลึงก็เพียงพอ มากไปข้ามิอาจรับไหว” สิ่งที่นางทำเป็นธุรกิจหลอกลวงผู้คน เพียงแค่ต้องการแก้ขัดอย่างเร่งด่วนหนึ่งถึงสองร้อยตำลึงก็พอ มากไปนางเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะหลอกลวง ในขณะเดียวกันนางก็ให้สัญญาอยู่ภายในใจ ร้อยตำลึงนี้นับว่านางยืมเขา วันหน้าหากนางมีเงินจะต้องจ่ายคืนเขาเป็นสองเท่า จากนั้นเมี่ยวฝูกัดปลายนิ้ว นำเลือดจากปลายนิ้วของนางหยดลงบนศีรษะของเยาเนี่ย หลังจากนั้นเริ่มอ่านมนต์หกตัวอักษรต่อเยาเนี่ย เยาเนี่ยฟังไม่เข้าใจว่าเมี่ยวฝูกำลังท่องอะไร ด้วยเข้าใจว่านางกำลังท่องคำสาปแช่งแปลกๆ ดวงตาเรียวเล็กอันงดงามของเขาหรี่เล็กลงอย่างเงียบๆ รอยยิ้มเยาะหยันเผยที่มุมมาก สตรีผู้นี้ร้ายกาจเสียจริง พูดว่าจะกัดนิ้วก็กัด นักแสดงผู้ร้ายกาจดีแท้ หลังจากเมี่ยวฝูท่องภาษาอังกฤษออกมาเป็นชุด พลันพยักหน้ากับเยาเนี่ยด้วยความเคร่งขรึม “ข้าได้ช่วยท่านขจัดคราวเคราะห์สำเร็จแล้ว ยามนี้ท่านปลอดภัยสงบสุขยิ่ง คุณชาย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน หากมีวาสนาค่อยพบกัน” ไม่หนีตอนนี้จะหนีตอนไหน หรือหากรอให้เยาเนี่ยรู้ตัวขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้นก็ชิ่งไม่รอดแล้ว เมี่ยวฝูแอบชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่เห็นความเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้งในดวงตาของเยาเนี่ย ที่ทิ้งความสนใจไว้บางอย่างบนตัวนาง หลังจากที่ทะลุผ่านตรอกเล็กๆ เมี่ยวฝูก็รอฝานหลิงมาสมทบ นางนำตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงโยนใส่ “ไปซื้อไก่ย่างมาสักตัว หลังจากนั้นไปซื้อยาจินชวงกับผ้าโปร่งที่ร้านยา แล้วซื้อยาระบายกับยาสมุนไพรจำนวนหนึ่งมาด้วย” เมื่อเห็นเงินหนึ่งร้อยตำลึง ฝานหลิงถลนตาด้วยความตกใจ “คุณหนูจะเทพเกินไปแล้ว ท่านไปได้เงินมาจากที่ใด หรือว่า….จะขโมยมา ฮูหยินผู้เฒ่าเคยสั่งสอนพวกเราไว้ ใช่ว่าพวกเราจะควรขโมยมา….” คุณหนูเจ้าคล้ายพวกลักไก่ขโมยหมา(ทำผิดศีลธรรม)มากนักหรือไง? นี่คนเขาเต็มใจให้ข้าต่างหาก เจ้ารีบไปซื้อมาซะ” ลักไก่ขโมยหมาน่ะไม่มี มีแต่หลอกล่อฉ้อโกงเงินก็เท่านั้น ขณะที่ฝานหลิงเต็มไปด้วยความสงสัย ก็เร่งรีบไปซื้อของเหล่านี้มาอย่างรวดเร็ว เมี่ยวฝูนำเงินที่เหลือสอดเก็บไว้กับตัว ป้วนเปี้ยนหาตรอกเล็กๆกับฝานหลิงเพื่อทานไก่ย่างที่ซื้อมา ฝานหลิงไม่ได้ทานไก่ย่างมานานนับปี ด้วยความอู้ฟู่ของเมี่ยวฝูในวันนี้จึงได้ทานเข้าไปเต็มปากเต็มคำ น้ำมันไหลเยิ้มเต็มกระพุ้งแก้มแถมกลืนโดยแทบไม่ต้องเคี้ยว “ไก่ย่างรสชาติดียิ่ง สมกับเป็นฝีมือของจ้าวซื่อ ให้ซื้อมาอีกตัวบ่าวก็ยังกินไหว เพียงแต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงให้บ่าวซื้อยาระบายมาด้วย? เถ้าแก่ร้านขายยามองบ่าวด้วยความสงสัย บ่าวจึงรีบบอกไปว่าระยะนี้บ่าวท้องผูก เขาจึงยอมขายให้กับบ่าว” เมี่ยวฝูฉีกขาไก่ชิ้นหนึ่งเข้าปากด้วยท่วงท่าสง่างาม แล้วทานอย่างละเมียดละไม ดวงตาจ้องมองไปยังแสงอาทิตย์ระยับบนท้องฟ้า “เจ้าไม่ต้องใส่ใจ พวกเราเหลือน่องไก่ไว้หนึ่งชิ้น เจ้าเก็บไว้ให้ดีอย่าให้ผู้ใดพบ” ฝานหลิงพยักหน้าด้วยใบหน้าทึมทื่อ คุณในยามนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าแผนการ อีกทั้งยังมีความสามารถแสดงปาหี่ธรรมดาให้เปลี่ยนเป็นตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง คุณหนูกล่าวถูก นางจำเป็นจะต้องปกป้องน่องไก่นี่ไว้ให้ดี อย่าให้หวางมามาชาวป่าผู้นั้นฉวยแย่งไป ไม่นานเมี่ยวฝูกับฝานหลิงก็ทานกันจนอิ่ม ระหว่างทางกลับบ้านนั้นพวกนางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าที่เบื้องหลังมีดวงตาเสน่ห์คู่หนึ่งกำลังจับจ้องพวกนาง สายตาคู่นั้นติดตามไปจนถึงจวนแม่ทัพ เพียงไม่นานพวกนานก็มาถึงจวนแม่ทัพ เมื่อถึงหน้าประตู เมี่ยวฝูก็มองเห็นบรรดาคุณชายคุณหนูที่แต่งกายงดงามยืนอยู่บริเวณนั้น เมื่อฝานหลิงเห็นก็คว้าข้อมือเมี่ยวฝูไว้อย่างตื่นตระหนก คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่กับคุณหนูห้ารออยู่ตรงนั้น พวกเขาใช่ว่ากำลังจงใจรอคุณหนู ต้องการจะให้คุณหนูวุ่นวายหรือไม่เจ้าคะ? “เจ้าอย่าได้กลัว มีข้าอยู่” เมี่ยวฝูตีมือฝานหลิงเบาๆเป็นการปลอบใจ ดวงตาเบิกกว้างพลันมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความเยือกเย็นทิ่มแทง ใบหน้านิ่งเรียบ สายตาต้อนรับอย่างเย็นชา เมื่อเห็นเมี่ยวฝูนายบ่าวกลับจวน ใบหน้าคุณหนูห้าซ่างกวนหนิงเจินโปรยยิ้มเหยียดหยัน “โอ้ คุณหนูใหญ่ที่หายตัวไปของพวกเราในที่สุดก็ยินดีกลับจวนแล้ว ยังจำได้อยู่หรือว่านี่เป็นบ้านเจ้า? ทำไมไม่ตกตายข้างนอกเสียล่ะ หรือที่กลับมานี่เป็นเพราะบุรุษชาวป่าไม่เอาเจ้าแล้วจึงมาพึ่งพาท่านพ่อท่านแม่อีก” ซ่างกวนหนิงเจินเป็นน้องสาวคนที่สามของซ่างกวนปี้หรง นอกจากพวกนางสองพี่น้องยังมีคุณชายใหญ่ซ่างกวนเลี่ย สามคนพี่น้องล้วนกำเนิดจากภรรยารองซูยิ่งเสว่ แต่ไรมาพวกนางรังแกเมี่ยวฝูมิใช่น้อย เมื่อเมี่ยวฝูมองพวกนาง ในดวงตาพลันสาดประกายความเกลียดชังอย่างล้ำลึก บุตรภรรยารองรังแกบุตรภรรยาเอกเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ตั้งแต่วัยเยาว์เมี่ยวฝูได้รับการดูถูกด่าทอเป็นประจำคล้ายกับการทานข้าว ในอดีตแค่เห็นพวกนางก็ตกใจจนไม่กล้ากลับบ้าน แต่ครั้งนี้นางเงยหน้าอย่างภาคภูมิ ต้อนรับการเสียดสีเยาะเย้ยด้วยสายตาอันเย็นเยียบ นางเปรียบเทียบเสื้อผ้าของนางกับพวกซ่างกวนหนิงเจินอยู่ชั่วครู่ ซ่างกวนหนิงเจินสวมชุดผ้าไหมแพร บนศีรษะสวมเครื่องประดับราคาแพง แทบจะประโคมเครื่องประดับทุกชิ้นกองไว้บนหัว แต่งกายคล้ายนกยูงรำแพนอวดความเย่อหยิ่ง แต่นางกลับแต่งกายชุดฤดูหนาวด้วยผ้าทอหยาบ ใบหน้าจืดชืด หากไม่รู้คงเข้าใจว่านางเป็นสาวรับใช้ของพวกนางเป็นแน่ ไม่สิ ภายใต้การหักเงินเข้ากระเป๋าตนเองของฮูหยินใหญ่ ระดับการกินอยู่รวมถึงเครื่องแต่งกายของนางยังไม่อาจสู้คนรับใช้ในจวน คล้ายกับเด็กสาวหยาบกร้านที่ต้องขอข้าวนอกบ้าน ซ่างกวนหมิงวุ่นวายกับการนำทัพทำศึกสงคราม น้อยครั้งที่จะมาพบเห็น อีกทั้งยังไม่เคยมาที่บ้านเพื่อเยี่ยมนาง ถึงแม้ว่าจะเห็นเขาก็ไม่อาจโทษฮูหยินใหญ่ที่หักเงินค่าดำรงชีพของนาง แต่คงจะโทษที่นางทั้งสกปรกและอัปลักษณ์ ทำให้แม่ทัพใหญ่อย่างเขาต้องขายหน้า ช่างเป็นบิดาที่จิตใจคับแคบและไร้เมตตาเสียจริง โบราณกล่าวได้ถูก มีแม่เลี้ยงย่อมมีพ่อเลี้ยง (เปรียบว่าเมื่อแม่แม่เลี้ยง พ่อมักจะเชื่อฟังแม่เลี้ยง ยอมตามใจแม่เลี้ยง โดยไม่สนคนอื่น) เห็นเมี่ยวฝูไม่เอ่ยวาจา อีกทั้งยังใช้สายตาจ้องมองตนอย่างเย็นชา ซ่างกวนเจินหนิงผู้หยิ่งยโสมาตลอดไหนเลยจะทนได้ นางจ้องด้วยความโกรธขึ้ง กล่าวด่าทออย่างแสบสัน “นี่ เจ้าขยะ ข้าคุณหนูพูดกับเจ้าแล้วเจ้าหูหนวกหรือไร? เจ้าไม่มีตาดูหรือ ถึงไม่เห็นว่าข้าคุณหนูกับคุณชายใหญ่ยืนอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบเข้ามาคำนับพวกข้าอีก” 
已经是最新一章了
加载中