บทที่ 15 ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่   1/    
已经是第一章了
บทที่ 15 ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่
บ๗ที่ 15 ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่ เถียนจิ้งโทรหาเถียนต้าตงอยู่ตั้งสามครั้งกว่าเขาจะรับสาย “ฮัลโหล….” แค่เสียงแหบแห้งของพี่ชายเพียงพยางค์เดียว เถียนจิ้งก็รับรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ที่เมืองนอกของพี่ชายไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก เธอถามเขาออกไปด้วยความกังวล “พี่ชาย พี่เป็นอะไรไปน่ะ? ทำไมเสียงดูเหนื่อยล้าขนาดนั้น?” ทันทีที่เถียนต้าตงได้ยินเสียงของน้องสาว ก็อึ้งไปสองวินาที ถึงจะตอบว่า “จิ้งจิ้ง พี่ไม่ได้เป็นอะไร สบายดีมาก” เถียนจิ้งจิ้งยังคงถามต่อด้วยความกังวล “พี่ชาย รูปที่พี่ส่งมาให้แม่ดูฉันเห็นแล้วนะ พวกเรารู้สึกว่าสีหน้าของพี่ดูไมค่อยดีเท่าไหร่ อยู่ที่นั่นพี่สบายดีจริงๆเหรอ?” เถียนต้าตงยิ้มเบาๆ เสียงยังคงแหบแห้งอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าไม่ได้ดูเหนื่อยล้าเหมือนเมื่อกี้แล้ว “ยัยน้องสาวซื่อบื้อของพี่ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่สบายดีมากๆ ที่สีหน้าไม่ค่อยดี ก็คงเพราะว่าพอถึงมหาลัยแล้วมีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะมาก เหนื่อยกับการออกแบบทั้งคืน อาจจะต้องรออีกซักพักให้ปรับตัวกับที่นี่ได้” เถียนจิ้งคิดอยู่ครู่นึงก็คลี่ยิ้มออกมา “โอเค พี่บอกว่าสบายดีก็สบายดี แต่สิ่งที่ฉันอยากบอกพี่ก็คือ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้สนับสนุนให้พี่ไปทำตามฝัน แต่ว่าฉันสนับสนุนพี่ตลอดนะ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ฉันกับแม่ใหญ่ก็จะสนับสนุนพี่ ถ้าเกิดว่าอยู่ที่นั่นแล้วเจอปัญหาอะไรก็ตาม พวกเราก็จะช่วยเหลือพี่ให้ถึงที่สุด”ถ้ามองจากมุมของเธอ ทุกๆคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองอยากทำ การที่พี่ชายไปทำตามฝันของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรเลย ในอีกฝั่งของมหาสมุทร เธอไม่สามารถเห็นได้ว่า หลังจากเธอพูดประโยคเมื่อกี้ออกไป ใบหน้าของพี่ชายก็เต็มไปด้วยความละอายใจ เขาเงียบอยู่หลายวินาที ก่อนจะตอบอย่างซึ้งใจว่า “จิ้งจิ้ง ขอบคุณมากนะ พี่โชคดีมากที่มีน้องสาวที่ความคิดดีแบบเธอ ตอนที่พี่ไม่อยู่บ้าน ฝากดูแลแม่ด้วยนะ” เถียนจิ้งยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน “ดูเกรงใจเข้าสิ ฟังแล้วอารมณ์เสีย อยู่เมืองนอกอย่ามัวแต่เป็นหนอนหนังสือนะ ในฐานะที่ฉันได้เลือดพ่อมาเต็มๆ จึงขอบ่นอะไรแทนเขาหน่อย เรื่องการมีทายาทสืบต่อตระกูลเถียนของเราเนี่ยก็ต้องเป็นหน้าที่ของพี่นะ แล้วอีกอย่างอายุพี่ก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว รีบหาแฟน แต่งงาน มีลูก เข้าใจไหม?” เธอเลียนแบบสำเนียงของพ่อได้เหมือนเป๊ะ เถียนต้าตงหัวเราะออกมา แล้วเสียงแหบแห้งของเขาก็ตอบกลับมาเบาๆ “เข้าใจครับเข้าใจ ผมจะรีบมีให้เร็วที่สุดนะ” พอได้ยินน้ำเสียงที่เริ่มเปลี่ยนไปของพี่ชาย ดวงตาของเถียนจิ้งก็เริ่มเป็นประกายขึ้นมา “มีเป้าหมายแล้วเหรอ?” เถียนต้าตงตอบแบบไม่ต้องคิด “ใช่” เป้าหมาย มีมาตั้งนานแล้ว เถียนจิ้งยิ้มอย่างมีความสุข แล้วเธอก็พูดจาหยอกล้อว่า “งั้นก็ต้องพยายามหน่อยนะ จีบผู้หญิงเนี่ย ถ้าเจอปัญหาเมื่อไหร่ อนุญาตให้รบกวนฉันได้ตลอดเวลา ฉันEQสูงจะตาย จะจัดการสิ่งที่มากีดขวางเส้นทางความรักของพี่ชายให้ราบคาบ!” เถียนต้าตงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “โอเค พี่จะพยายามเต็มที่ เดี๋ยวครั้งหน้ากลับประเทศไป จะพาพี่สะใภ้ไปแนะนำให้รู้จัก” “ดีมาก” “ใช่สิ แล้วเธอสบายดีไหม? ซูยี่ดีกับเธอไหม?” “สบายดี เมื่อคืนมีงานข้อตกลงลูกผู้ชาย อบรมเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก”กับพี่ชายแล้วนั้น เถียนจิ้งไม่เคยปิดบังอะไรเลย พอเถียนต้าตงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจ “ถ้างั้นก็ดีแล้ว พี่จะได้สบายใจ” สองพี่น้องคุยกันต่ออีกซักพักก็วางสาย เถียนต้าตงที่อยู่ที่ฝรั่งเศส หลังจากวางสายแล้วนั้น สีหน้าที่เขาพยายามซ่อนไว้เมื่อกี้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาถอนหายใจยาว เขานั่งอยู่ที่โถงทางเดินของโรงพยาบาล เอาศอกค้ำไว้ที่หัวเข่าพร้อมเอามือสองข้างปิดหน้าอย่างละอายใจ ไม่ว่าจะพยายามกดความรู้สึกไว้ยังไงก็กดไว้ไม่ได้” เถียนจิ้งกลับมาที่ห้องรับแขก แล้วก็นั่งคุยกับหยูจิงหยิงอยู่นาน ช่วยพูดเรื่องพี่ชายให้เธอสบายใจ พอแม่ใหญ่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกวางใจ ซูยี่คุยกับเถียนโม่เชียนอยู่ในห้องอ่านหนังสือจนถึงเวลาอาหารกลางวัน เถียนโม่เชียนเดินลงมาจากชั้นบนด้วยสีหน้าสบายใจ สภาพจิตใจของเขาแตกต่างจากตัวเองเมื่อสองชั่วโมงก่อนอย่างกับคนละคน เถียนจิ้งแค่มองก็รู้แล้วว่าทั้งสองคนน่าจะเจรจากันได้อย่างราบรื่น เธอมองไปที่ผู้ชายที่ยืนสูงตระหง่านดูเคร่งขรึมที่อยู่ข้างๆ ความซาบซึ้งใจปรากฏออกมาทางสายตาของเธอ ซูยี่รับรู้ถึงความรู้สึกของเธอ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ดึงเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างเป็นสุภาพบุรุษ พอเถียนโม่เชียนกับหยูจิงหยิงเห็นการกระทำของซูยี่เมื่อกี้นี้ก็ยิ้มออกมา แต่เหอลี่หย่าที่เห็นดังนั้น สายตาก็เต็มไปด้วยความชัง แต่ว่าเธอก็สามารถซ่อนสีหน้าได้อย่างไว แล้วก็ยิ้มต้อนรับให้ทุกคนมาทานข้าว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ได้ถือว่าอบอุ่นและกลมกลืนขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ถือว่ากระอักกระอ่วนเท่าไหร่ เถียนโม่เชียนพยายามทำให้บรรยากาศคึกคัก โดยการหาเรื่องมาชวนซูยี่คุย ถึงแม้ว่าซูยี่จะไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่ก็ตอบกลับอย่างมีมารยาทตลอด หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เถียนโม่เชียนก็รู้สึกดีกับลูกเขยคนนี้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ ระหว่างทางกลับบ้าน ซูยี่กับเถียนจิ้งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ทั้งสองคนนั่งห่างกัน แล้วก็ต่างมองดูวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ผ่านไปซักพัก เถียนจิ้งก็ทำลายความเงียบ เธอเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา รู้สึกว่าอะไรที่ควรจะแสดงออก ก็ควรแสดงออกมา “คุณซูคะ ขอบคุณเรื่องกู้ธนาคารด้วยนะ” ในตอนนี้ เธอแสดงความรู้สึกขอบคุณออกมาจากใจจริง ขอบคุณที่คุณซูให้เกียรติเธอ แถมยังออกปากจะช่วยเหลือเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ซูยี่เหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เถียนจิ้งรออยู่ซักพัก แล้วก็ดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ “คุณซูคะ? ฉันพูดกับคุณอยู่ ได้ยินไหม?” ทันใดนั้นซูยี่ก็ได้สติกลับมา ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเหมือนถูกเมฆปกคลุมอยู่ ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมามองเถียนจิ้งด้วยสายตาอึมครึมและบอบช้ำ เถียนจิ้งใจสั่น เธอเสียวสันหลังวาบ สายตานี้ของเขามันน่ากลัวเกินไปแล้ว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้สังเกตอะไรต่อ สายตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม นิ้วของเธอยังคงจับอยู่ที่แขนเสื้อของเขาอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาที่สดใสของเธอเต็มไปด้วยความสับสน หลังจากนั้น ซูยี่ก็ยื่นมือไปกุมมือของเธอไว้ ราวกับว่าต้องการปลอบให้เธอหายตกใจ แล้วก็เอ่ยออกมานิ่งๆด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก” เถียนจิ้งมองตาเขา ราวกับว่าต้องการหาสายตาเมื่อกี้นี้ แต่ว่า ตอนนี้สายตาของเขากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ราวกับว่าสายตาที่อึมครึมน่ากลัวเมื่อกี้เป็นเพียงแค่ภาพหลอนเท่านั้น เธอยังคงสงสัย เมื่อกี้เขากำลังคิดอะไรอยู่กันนะ? เมื่ออดีตเขาเคยผ่านอะไรมาถึงได้ปรากฏออกมาทางสายตาแบบนั้น? อากาศช่วงต้นฤดูร้อนจะเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย ตอนเช้าก็แดดออก แต่ว่าตอนนี้ อยู่ดีๆท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆครึ้ม ปัง วินาทีต่อมาก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่น อากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้น่ากลัวมาก แถมยังมีเสียงฟ้าร้องทะลุเมฆครึ้มออกมาอีก เถียนจิ้งยังไม่ทันจะได้มีปฏิกิริยาอะไร อยู่ๆผู้ชายด้านข้างก็ดึงเธอไปกอดไว้ในอ้อมอกอย่างแน่น แล้วก็พูดกระซิบออกมาเบาๆว่า “ไม่ต้องกลัว...ผมอยู่นี่”
已经是最新一章了
加载中