ตอนที่59 จิตคำสาปของจ้าวซิ้ว   1/    
已经是第一章了
ตอนที่59 จิตคำสาปของจ้าวซิ้ว
ตอนที่59 จิตคำสาปของจ้าวซิ้ว ฉันยืนอยู่ข้างหม้อปรุงยาที่มีความสูงไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่อยู่สักพักเมื่อเห็นว่าเทียนปูหยู่ไม่ได้ขยับเข้ามาหาฉันก็หันกลับไปมองเขาเล็กน้อยและพบว่าในมือของเขาถือดาบยาวเอาไว้อีกทั้งยังอยู่ในท่าทางเดียวกับคนที่ฉันห่างออกมาไม่เปลี่ยนฉันจึงตะโกนออกไปด้วยความรู้สึกละอายในใจ “เทียนปูหยู่ฉันขยับมันไม่ได้......” เทียนปูหยู่มองมาที่ฉันเล็กน้อยในระหว่างที่เขากำลังจะเดินเข้ามาใครจะรู้ว่าเพียงการขยับตัวเมื่อสักครู่เขาจะยืนไม่มั่นคงจะล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง! ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาเขาเพื่อที่จะรับตัวของเขาเอาไว้ก่อนที่จะล้มลงที่พื้นแต่ว่าแน่นอนว่าฉันรู้ดีพวกเราอยู่ห่างกันกว่า4-5เมตรแถมฉันยังเป็นเพียงคนธรรมดาความคิดนั้นไม่อาจจะเป็นจริงได้ แต่ยังดีที่ก่อนจะล้มลงไปที่พื้นเทียนปูหยู่พยายามสุดกำลังปักดาบยาวเข้าที่หินบนพื้นแขนของเขาสั่นเทาขึ้นเบาๆเพราะใช้กำลังอย่างรุนแรงสุดท้ายเขาก็สามารถอาศัยดาบเล่มนั้นในการพยุงตัวเองไว้ได้ ฉันรีบร้อนอยากจะตรวจสอบบาดแผลของเขาแต่ว่าอย่างไรเทียนปูหยู่ก็ไม่ใช่คนแม้ว่าฉันจะเรียนการรักษาคนมามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาฉันตรวจสอบอยู่สักพักภายนอกของเขาไม่มีอะไรผิดปกติฉันถึงได้สติกลับมานี่ไม่ใช่ร่างจริงของเขาแน่นอนว่าบาดแผลไม่มีทางปรากฏออกมาให้เห็น เขาตบลงที่หลังของฉันเบาๆเพื่อปลอบประโลมหลังจากนั้นก็ฝืนตัวลุกขึ้นมาฉันรีบเข้าไปพยุงตัวเขาและเดินเข้าไปที่ข้างหม้อปรุงยาด้วยกัน ครึ่งร่างของเทียนปูหยู่พิงอยู่บนตัวฉันแต่ว่าฉันก็ยังไม่ได้สัมผัสถึงน้ำหนักของเขาเสียเท่าไหร่หลังจากนั้นเขาก็ยกดาบขึ้นตวัดลงไปเป็นแนวนอนตามหม้อปรุงยาทั้งหกเพื่อทำให้พวกมันแตกทลายออกมา ฉันรู้สึกเสียดายขึ้นมาเพราะว่าดูจากการแต่งกายของนักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นแล้วเขาก็ต้องเป็นคนในยุคก่อนสมัยยุคหมิงอย่างแน่นอนพวกหม้อปรุงยาเหล่านั้นก็ถือได้ว่าเป็นโบราณวัตถุ......แต่ว่าพอคิดไปถึงว่าภายในนั้นต่างก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้มาฉันก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอีกแล้ว ผลปรากฏว่าเมื่อหม้อปรุงยาแตกออกทีละใบแล้วแม้แต่ฝาก็ยังแตกจากตรงกลางร้าวไปทั่วเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นมามันก็แตกกระจายออกไปรอบทิศภายในหม้อปรุงยาบรรจุไปด้วยสิ่งที่ประกายแสงสีฟ้าราวกับผลึกหยาดน้ำฉันมองไปด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะเผลอเหม่อลอยออกไป “สิ่งเหล่านี้คือจิตคำสาป” ฉันมองไปยังจิตคำสาปที่มีอยู่เต็มหม้อปรุงยาทั้งหกมันมากมายจนไม่อาจจะนับได้ภายในใจของฉันสั่นไหวขึ้นมาทันที___นักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นทำร้ายคนไปเท่าไหร่กันแน่ถึงได้สามารถรวบรวมเอาไว้ได้มากขนาดนี้...... แขนยาวๆของเทียนปูหยู่พาดลงมาที่บ่าของฉันดาบยาวในมืออีกข้างของเขาค่อยๆหายไปหลังจากนั้นเขาก็ยกมือหนึ่งขึ้นมากวาดไปทางหม้อปรุงยาที่แตกออกจากนั้นพวกจิตคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆทยอยบินออกมาจากหม้อปรุงยามาเรียงอยู่ที่ด้านหน้าของเทียนปูหยู่ราวกับได้รับคำสั่ง เขาจ้องมองนิ่งไปยังจิตคำสาปที่มีจำนวนมากมายจนฉันนับไม่ถ้วนตรงหน้าตั้งแต่ต้นไปถึงปลายหลังจากนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นสิ่งที่เหมือนกับเปลวไฟที่ฉันไม่อาจจะอธิบายลักษณะได้ปรากฏขึ้นมาก่อนที่จะถูกโยนไปยังจิตคำสาปเหล่านั้น หลังจากนั้นพวกจิตวิญญาณก็ค่อยๆถูกเผามอดไหม้ไปดั่งรวงข้าวที่ถูกโยนเข้าสู่กองไฟเปลวไฟสีฟ้าที่มีขนาดเส้นผ่าสูตรกลางเกิน2เมตรเผาไหม้อย่างรุนแรงอยู่ที่กลางอากาศบ้างก็มีเสียงร้องโอดครวญออกมาจากภายในเมื่อฉันได้ยินแล้วก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาและมุดตัวลงไปในอ้อมอกของเทียนปูหยู่อย่างไม่ทันรู้ตัว “ข้าเพียงปล่อยพลังช่วยให้พวกเขาได้ไปเกิดใหม่ในเร็ววันเท่านั้น” ดูเหมือนว่าเทียนปูหยู่จะเห็นว่าฉันเริ่มจะทนไม่ได้แล้วถึงได้อธิบายออกมา แต่ว่าหลังจากที่ฉันได้รู้ความจริงฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย ไม่นานนักเหล่าจิตคำสาปจำนวนมากมายเหล่านั้นก็ถูกเทียนปูหยู่จัดการไปจนหมดและในตอนนั้นเขาถึงได้ก้มลงมาพูดกับฉัน:“ไม่พบจิตคำสาปของจ้าวซิ้ว” หลังจากนั้นฉันก็ได้สติขึ้นมาเป้าหมายที่พวกเรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาช่วยเหลือคนอื่น...... “แล้วนักบวชคนนั้นล่ะ?พวกเราพาตัวเขาออกมาถามไหม?” เทียนปูหยู่มองมายังใบหน้าไร้เดียงสาของฉันก่อนจะอดถอนหายใจออกมาไม่ได้เขาจึงพูดออกมาเบาๆ:“สลายหายไปแล้ว” ฉันรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาหนึ่งเป็นเพราะหาจิตคำสาปของจ้าวซิ้วไม่พบ ทั้งยังไม่พบร่างของจ้าวซิ้วด้วยแบบนี้พวกเราก็เดินทางกันมาเสียเที่ยวเหรอ? ส่วนเหตุผลที่สองก็เป็นเพราะนักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นเขาพยายามที่จะเป็นอมตะมาตลอดชีวิตแต่ว่าในยามมีชีวิตอยู่กลับถูกคนหลอกเข้าทำให้จิตวิญญาณของตัวเองถูกกักขังอยู่ที่นี่ไม่อาจจะหนีออกไปไหนแต่ว่าการตายของเขาก็ยังไม่อาจแก้ไขหลังจากที่ตายไปแล้วก็ยังคงรวบรวมจิตคำสาปต่อไปสุดท้ายถึงได้ต้องสูญสลายไปแบบนี้ เมื่อเห็นว่าฉันไม่พูดอะไรออกมาแล้วเทียนปูหยู่ก้มลงมาถาม:“เป็นอันใด?เจ้าสงสารเขาหรือ?หรือรู้สึกว่าข้าโหดร้ายเกินไป?” ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆเดิมทีคนแบบนี้ก็ไม่ควรค่าต่อการเห็นใจถ้าฉันเห็นใจเขาก็จะไม่เหมือนอย่างชาวนากับงูเห่าเหรอ?อย่างไรเรื่องการสูญสลายหายไปนี้บางทีการที่เขาหายใจอาจจะเป็นเรื่องดีต่อโลกใบนี้แล้ว ฉันส่งยิ้มให้เทียนปูหยู่และตอบกลับไปอย่างสบายๆ:“ไม่มีอะไรหรอกฉันก็แค่รู้สึกผิดหวังที่ยังจัดการเรื่องของจ้าวซิ้วไม่ได้เท่านั้นเอง” “ร่างของจ้าวซิ้วไม่ได้อยู่ที่นี่เฉินน่อเจ้าตามข้ากลับไปเถอะ” ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไปเทียนปูหยู่ก็รั้งเอวของฉันเข้าไป หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกเพียงโลกตรงหน้าหมุนวนไปหมดสีสันที่คุ้นเคยมากมายผ่นหน้าของฉันไปแต่ฉันกลับมองไม่ออกว่าคืออะไร จนกระทั่งเทียนปูหยู่หยุดลงและสองขาของฉันสัมผัสกับพื้นจริงๆอีกครั้ง ฉันถึงได้วางใจและแอบดีใจขึ้นมา ที่เมื่อสักครู่ตัวเองไม่“เมาเครื่อง”​ไป ฉันพักไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติกลับมาว่าพวกเราออกมาจากบ่อน้ำนั่นแล้ว ซูหลินนั่งอยู่ด้านบนไม่รู้เรื่องสถานการณ์ข้างในและไม่รู้ว่าจะสามารถทำอะไรได้เขาจึงกำลังเดินไปมาอย่างร้อนรนอยู่ที่ปากบ่อเมื่อเห็นพวกเราขึ้นมาแล้วเขาก็สบายใจขึ้นก่อนจะรีบร้อนวิ่งเข้ามาหาและถามถึงสถานการณ์กับฉัน เขาลากฉันออกไปไกลในระยะหนึ่งราวกับพยายามที่จะเว้นระยะออกมาจากเทียนปูหยู่ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้อย่างไร้น้ำตาขึ้นมาและทำได้เพียงกระตุกตัวเขาจากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่ได้สนใจอะไร:“พวกเราเป็นคนธรรมดาแต่เขาเป็นผีนะแม้ว่าจะวิ่งห่างออกไปไกลแค่ไหนถ้าเขาอยากจะแอบฟังคุณคิดว่าจะซ่อนได้หรือไง?” ซูหลินก้มหน้าลงลอบขมวดคิ้วขึ้นหลังจากนั้นก็โบกมือขึ้นมาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น“ช่างเถอะ”หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเปิดปากพูดถามสถานการณ์ด้านล่างกับฉัน ฉันเล่าเรื่องราวคร่าวๆให้เขาฟังในใจอดที่จะรู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้ แน่นอนว่าซูหลินเองก็รู้สึกไม่ดีนักเขานั่งลงที่พื้นก่อนจะเอาบุหรี่ออกมาจากที่อกแต่ว่าเขาหาไปทั่วกระเป๋าทั้งตัวของเขาแต่ก็หาไฟแช็กไม่เจอสุดท้ายก็ได้แต่มองบุหรี่ในมือของตัวเองด้วยความมึนงงอยู่สักพักและเก็บมันกลับไปด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก ซูหลินนั่งยองๆอยู่ที่พื้นสักพักฉันเองก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ในตอนนั้นเองซูหลินหันหน้ามาหาฉันคิ้วข้างหนึ่งของเขาค่อยๆเลิกขึ้นก่อนจะถามขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์เสียเท่าไหร่:“เอายังไง?กลับเหรอ?” ฉันยักไหล่กลับไปก่อนจะมองไปยังเทียนปูหยู่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง:“ช่วยไม่ได้กลับเถอะ” ตลอดทางซูหลินไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเมื่อกลับมาถึงบ้านเขาก็เข้าไปในห้องหนังสือโดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อยฉันพยายามที่จะเปิดประตูแต่ก็พบว่าเขาล็อคเอาไว้ไม่รู้ว่ากำลังค้นหาอะไรอยู่ภายใน ในช่วงระยะนี้จ้าวซิ้วไม่ได้มาที่นี่อีกไม่รู้ว่าเป็นเพราะเทียนปูหยู่อยู่ข้างกายฉันมาตลอดหรือเปล่า เพราะว่าเดิมท่างกายของเทียนปูหยู่มีอาการบาดเจ็บรวมกับการต่อสู้ครั้งใหญ่กับนักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นทำให้อาการบาดเจ็บของเขาหนักขึ้นไปอีกแต่ว่าเพราะกังวลว่าจ้าวซิ้วจะกลับมาแก้แค้นหลายวันที่ผ่านมานี้เทียนปูหยู่จึงคอยอยู่เคียงข้างฉันไม่ห่างไปแม้แต่น้อยแต่ว่าในเวลาส่วนมากก็หมดไปกับการนั่งพักรักษาอยู่เฉยๆเสียมากกว่า วันนี้ฉันกำลังช่วยคุณปู่ของซูหลินทำความสะอาดตัวบ้านอยู่แต่อยู่ๆซูหลินกลับปรากฏตัวออกมาจากห้องหนังสือ ฉันมองไปที่เขาด้วยความตกใจเวลาผ่านไป3วันแล้วนอกจากอาหารทั้งสามมื้อเวลาตลอดวันแม้แต่ยามนอนเขาก็คลุกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือเดิมทีก็ไม่เคยออกมาแต่วันนี้กลับรีบร้อนพุ่งออกมาเสียอย่างนั้น “เฉินน่อ!แย่แล้วแย่แล้ว!” ฉันมองไปยังใบหน้าตกใจสับสนของซูหลินก่อนจะรีบโยนไม้กวาดไปข้างๆและวิ่งเข้าไปหาเขาเทียนปูหยู่ตามมาที่ด้านหลังโดยไม่พูดอะไรออกมา “สามวันที่ผ่านมานี้ฉันใช้ไปกับการตรวจดูหนังสือโบราณและพบวิธีการใช้จิตคำสาปสร้างความอมตะที่พวกเธอบอกว่านักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นใช้แล้วแต่ว่ดูเหมือนวิธีการนี้จะยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จบันทึกในประวัติศาสตร์ทั้งหมดนั้นหากไม่ใช่เพราะพบว่าวิธีการนี้โหดเหี้ยมเกินไปจนล้มเลิกกลางคันก็เป็นเพราะถูกบังคับให้เลิก......” ดูเหมือนว่าซูหลินจะทุ่มเทกับการค้นหามากทำให้เขาไม่ได้ดูแลตัวเองริมฝีปากของเขาแห้งผากเนื่องจากอาหารขาดน้ำ ฉันรีบรืนน้ำส่งให้เขาแล้วรอฟังเขาพูดต่อ เขาไม่ได้สนใจจะดื่มน้ำและผลักแก้วในมือของฉันไปอีกฝั่งจากนั้นก็พูดต่อ:“ตั้งแต่ที่พวกเธอออกมาฉันก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเพราะว่าระดับของนักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นไม่ต่างจากเทียนปูหยู่นักหรือแม้แต่สามารถทำให้เทียนปูหยู่บาดเจ็บได้ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางที่จะไม่สามารถจับจิตคำสาปของจ้าวซิ้วไม่ได้สิ” เมื่อซูหลินพูดแบบนี้ออกมาดูเหมือนว่าอยู่ๆในหัวของฉันจะคิดอะไรออกมาได้แววตาเองก็ประกายออกมา ไม่แปลกเลยว่าทำไมหลังจากกลับมาแล้วฉันก็มักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆอยู่แต่ไม่รู้ว่าทำไมแม้ฉันจะพูดอย่างหนักแต่ก็ไม่รู้ถึงจุดนี้ เมื่อถูกซูหลินย้ำเตือนเข้าในที่สุดฉันก็เข้าใจขึ้นมาในตอนที่จ้าวซิ้วเพิ่งตายเดิมทีเธอก็เป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนธรรมดาแม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถต่อกรกับเทียนปูหยู่ได้แล้วในตอนนั้นเธอสามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของนักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นได้อย่างไร? ฉันมองไปที่ซูหลินด้วยความไม่เข้าใจซูหลินยื่นนิ้วหนึ่งออกมาสั่นไหวไปก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ:“นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะพูดให้กระจ่าง!” ฉันหันไปสบตากับเทียนปูหยู่ก่อนจะมองไปที่ซูหลินทั้งคู่ “ในตอนที่ยังมีชีวิตจ้าวซิ้วถูกรังแกอยู่ตลอดอีกทั้งยังค่อนข้างอิจฉาริษยาดังนั้นหลังจากที่เธอตายไปแล้วความแค้นจึงมีมากมายและในตอนที่ความแค้นกลายเป็นจิตคำสาปขั้นตอนนี้จะเพิ่มทวีเข้าไปอีกหลายสิบหลายร้อยหรืออาจจะหลายพันเท่ามันต่างก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของวิญญาณในยามเอ่ยสร้างจิตคำสาป” นับได้ว่าฉันเข้าใจความหมายของซูหลินหรือก็สามารถบอกได้ว่าในตอนที่จ้าวซิ้วตายเดิมทีเธอก็มีความแค้นมากกว่าคนปกติอยู่แล้วยิ่งเมื่อรวมกับผลพลังของนักบวชลัทธิเต๋ากลายเป็นจิตคำสาปจิตคำสาปนี้จึงมีความแกร่งกล้ากว่าทั่วไปเล็กน้อยไม่สิไม่น่าจะเพียงเล็กน้อยซูหลินเพิ่งพูดไปว่าพลังนั้นสามารถเพิ่มขึ้นไปได้กว่าพันเท่า เห็นได้ชัดว่าเพราะความแค้นที่หนาแน่นแต่เดิมของเธอทำให้จิตคำสาปของจ้าวซิ้วยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก...... แต่ว่าฉันก็เกิดสงสัยขึ้นมาอีก:แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับการที่พวกเราหาจิตคำสาปของจ้าวซิ้วไม่พบกัน?
已经是最新一章了
加载中