ตอนที่ 6
ตนที่ 6
ใช่ เฉิงโม่ก็คือไอ้โง่
——ไดอารี่ของนางรวย
แต่หมื่นกว่าหยวน สำหรับเฉิงโม่แล้วมันเยอะ
ด้วยนิสัยขี้สงสัยของเฉิงหนิงหนิง เคยถามถึงตู้หลิงแล้วก็เคยเห็นรูปภาพแล้ว เจ้าตัวเต็มใจไปให้เขาขูดรีดเอง เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด
เขาขับรถกลับอพาร์ทเมนต์เอง อาบน้ำเสร็จก็มาเปิดดูโมเมนต์ในวีแชทอย่างเคยชิน หลังจากทะเลาะกับเฉิงซินเมื่อคืนวาน เขาพบว่าก่อนนอนเฉิงซินโพสต์ในโมเมนต์ เป็นอิโมติคอนของคนโง่
เกินกว่าจะบรรยายได้ เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ใจกล้าบ้าบิ่น แอบด่าเขา
แต่เป็นเพียงการคาดเดา เฉิงโม่ไม่อาจนำเรื่องเล็กๆนี้ไปว่าเธอได้ ในสถานการณ์ปกติ ถ้าไม่มาแตะเส้นที่เขาขีดไว้ เขาจะไม่โต้เถียงกับผู้หญิง นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ของเขากับเฉิงซิน......
ค่อนข้างซับซ้อน
เขาพูดไม่ได้ว่ามันเป็นความซับซ้อนแบบไหน ตามหลักการแล้วเธอดื้อเงียบ นำทางให้เขาเสาะหาความพ่ายแพ้ เขาต้องเป็นคนโกรธสิถึงจะถูก แต่เธอก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดว่าเธอช่วยเขาเต็มที่แล้วจริงๆ ตอนที่เขาไม่มีโอกาส เขามองตาเธอ ความอึมครึมนั้นก็อยู่ในอกเอาออกมาไม่ได้
บางทีมันอาจจะผิดตั้งแต่แรก
——เขาไม่ควรให้เธอมาช่วย
ในห้องนั่งเล่นเปิดเพียงโคมไฟตั้งพื้น แสงไฟสลัวๆ
เฉิงโม่ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง เขาเอนตัวอยู่ด้านหลังโซฟาข้างหน้าต่าง ก้มหน้าเปิดดูโมเมนต์ในวีแชท เขายุ่งมากทุกวัน มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่ผ่อนคลายมากที่สุด แน่นอนว่ารีบเปิดไปที่คนที่น่าสนใจที่สุด
นางรวย: วันนี้แม่นางหยวนคือเจ้านายของฉัน!
แนบรูปมาสองรูป รูปแรกเป็นรูปเด็กน้อยโค้งศีรษะ มีคำว่า “ขอบคุณเจ้านาย” สี่คำสีทองระยิบระยับอยู่บนศีรษะ อีกรูปเป็นรูปที่โอนเงินเข้ามาหนึ่งหมื่นหยวน
ประเด็นหลักคือสวี่หยวนคิดว่าวันนี้เฉิงซินขูดรีดโหดเกินไป ถ้าส่งติ๊บให้สองร้อยหยวนสิบอันคงไม่แสดงถึงการยอมรับได้มากพอ เลยโอนให้เธอหนึ่งหมื่นหยวน เฉิงซินรับมาอย่างมีความสุข บ่งบอกว่าถ้าเขียนบทละครต่อไปไม่ได้แล้ว ก็จะมาเป็นพนักงานร้านเล็กๆของเธอนี่แหละ!
เฉิงโม่มองดูรูปสองรูป มือก็นิ่งไป
สายตากวาดดูที่คอมเมนต์
ตู้หลิง: ถ้ารู้เร็วกว่านี้วันนี้ฉันก็ไปแล้ว!
นางรวยตอบกลับ: ฮี่ๆๆๆ โอกาสไม่ควรปล่อยให้หลุดมือนะจ๊ะ
เพื่อนสนิทพวกเขาที่มีเหมือนกันก็คือพวกนี้แหละ หลักๆจะเป็นกลุ่มผู้กำกับที่สร้างเรื่อง
ผู้กำกับสงคราม แล้วก็นักเขียนบทอีกหลายคน โมเมนต์วีแชทของเธอมีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา เพราะหลายคนไม่เข้าใจทางเดินสมองของเธอ จะถามว่าทำไมด้วยความสงสัยอยู่ตลอด แล้วเธอก็ตอบอย่างให้หน้าด้วย
บางคำถามเฉิงโม่ไม่เห็น แต่เห็นคำตอบของเธอ
นางรวยตอบ: ฉันไม่ได้ขูดรีดนะ การค้าขายเป็นเรื่องอิสระ ฉันไม่ได้บังคับคนซื้อซะหน่อย มาบอกว่าฉันขูดรีดได้ยังไง?
เฉิงโม่หรี่ตาครึ่งหนึ่ง เขาเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่โทรศัพท์หาเฉิงหนิงหนิง เพื่อให้มั่นใจหน่อยว่าเธอไม่ได้จำคนผิด ตอนที่เขาโทรไปหา เฉิงหนิงหนิงกำลังเล่นพับจีอยู่กับคนอื่น ไม่ได้มองดูว่าใครโทรมาก็กดวางทันที
เฉิงโม่ “……”
เขามองดูคำตอบประโยคนั้นของเฉิงซินอีกที
ช่างเถอะ
ในสายตาเธอ เฉิงหนิงหนิงก็เป็นคนรวยที่โง่คนหนึ่ง
เฉิงหนิงหนิงไม่รู้ว่าตัวเองถูกพี่ชายตัวเองสวมเขาว่าเป็น “คนรวยที่โง่คน” เล่นพับจี เช้ามืดนิดๆเตรียมกำลังจะนอนถึงเห็นสายที่ไม่ได้รับ แล้วมองดูเวลาอีกครั้ง ไม่กล้าโทรกลับไปรบกวน
เช้าวันต่อมา เฉิงโม่ก็ไปทำงานที่ซีอัน
บริษัทภาพยนตร์สือกวางจะถ่ายทำที่ซีอัน ดูสถานที่เรียบร้อยแล้ว การออกแบบข้อเสนอและกระดาษเขียนกราฟก็ออกมาหมดแล้ว แต่กระบวนการมีปัญหานิดหน่อย มีบ้านตะปูหนึ่งที่ที่ย้ายไม่ได้ เดิมทีเรื่องที่จะเริ่มทำในตอนแรกก็เลยถูกเลื่อนมาจนถึงตอนนี้
คนที่ดูแลโปรเจ็คนี้คือหลิวโย่วเฟิง เขาไปซีอันมาหลายครั้งแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ เฉิงโม่ทำให้แน่ใจว่าห้ามทำวิธีที่รุนแรงเกินไป อะไรที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็ใช้ แต่ครอบครัวนั้นเรียกราคาที่สูงมาก ได้เหยียบเส้นของเฉิงโม่มาแล้ว
เฉิงโม่ลงจากเครื่องบินมา ผู้รับผิดชอบส่งรถมารับ
เขาพิงอยู่ที่นั่งว่างด้านหลัง ขายาวอ้าออก มองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจ พูดออกมาอย่างไร้สีหน้าท่าทาง “ยังย้ายไม่ได้ใช่ไหม?”
หลิวโย่วเฟิงรีบตอบ “ไม่ได้ครับ พูดยังไงก็ไม่ได้ ต้องให้เงินจำนวนนั้น นั่นมันแพงเกินไปไหม?”
บ้านเล็กๆในพื้นที่แถบชานเมืองที่ทรุดโทรม เงินที่ให้ไปสามารถซื้อห้องชุดสามห้องได้ ยังไม่พอใจอีกหรอ? คงอยากจะฉวยโอกาสรวย หลิวโย่วเฟิงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็โกรธ นานขนาดนี้แล้วยังแก้ปัญหาไม่ได้ เขากลัวว่าประธานเฉิงจะโทษว่าเขาทำงานไม่เป็นไปตามที่หวัง
ในทางตรงกันข้าม ประธานเฉิงไม่ยอมให้เขาใช้วิธีอื่น ไม่อย่างนั้น......
เฉิงโม่พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพูดเสียงเรียบ “นักวางแผนโครงการมาหรือยัง?”
คำพูดนี้เขาพูดกับกาวเยวี่ยน
กาวเยวี่ยนพูด “มาแล้วครับ บอกว่ารอคุณอยู่ที่นั่นแล้ว”
หลิวโย่วเฟิงค่อนข้างกระสับกระส่าย แอบมองเฉิงโม่ เขายังหนุ่มมาก สวมชุดสูทสีดำที่นั่งเอนอยู่เบาะหลังอย่างไม่ใส่ใจ เขาดูชั้นสูงและทำตามอำเภอใจ แต่หลิวโย่วเฟิงรู้ว่าเฉิงโม่มีสไตล์การทำงานที่เฉียบคม และเรื่องที่ชอบทำมากที่สุดก็คือเปลี่ยนคนรับผิดชอบโปรเจ็ค คุณทำไม่ได้ก็ออกไป เปลี่ยนคนไป ไม่มีปัญหา
ตอนนี้ เฉิงบอกว่าอยากให้นักวางแผนเปลี่ยนแผนโครงการ ล้มเลิกบ้านตะปูนั้นไปทันที
รถจอดอยู่ที่หน้าบ้านประตูนั้น เฉิงโม่ค่อยๆปล่อยขาจากการไขว่ห้าง เปิดประตูรถลงจากไป นักวางแผนก็มาต้อนรับ “ประธานเฉิง”
เฉิงโม่เอียงศีรษะ เขายืนมองทางเข้าบ้านประตู้นั้นอย่างเย็นชา “พูดเรื่องแผนโครงการเลย เลี่ยงการวางแผนกับตึกนี้”
พอคนที่ยืนแอบลอบฟังสถานการณ์นี้ได้ยิน ก็นิ่งไปเลย
......ไม่ ไม่ได้มาคุยเรื่องเงินกับพวกเขาหรอกหรอ???
เฉิงโม่สีหน้าเรียบเฉย ก้าวเท้ายาวเข้าไป นักวางแผนได้ทำแผนโครงการหลายชิ้น อยู่ข้างๆเฉิงโม่ เขาร่างสถานที่ไปด้วย แล้วก็พูดเรื่องการก็พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงการไปด้วย
หนึ่งวันก่อนหน้านี้ที่ซีอันหิมะตก ตอนนี้บนพื้นมีโคลน เฉิงโม่เดินไปหนึ่งรอบ รองเท้าหนังแฮดเมดสีดำเปรอะโคลนนิดหน่อย และมันไม่ได้มีผลกระทบต่อความชั้นสูงของเขาเลย
คนที่บ้านตะปูมองดูสถานการณ์นี้อยู่ตลอด ปกติเขาดูข่าว เขาจำได้ว่านี่คือเฉิงโม่ที่เป็น CEO ของบริษัทภาพยนตร์สือกวางได้อยู่แล้ว เขาได้ยินนักวางแผนคุยกับเขาเรื่องการวางแผนโครงการ สีหน้าเขาเรียบนิ่ง “หลังจากกระดาษเขียนกราฟปล่อยออกมา นายติดต่อกับผู้รับผิดชอบทันทีเลยนะ”
นักวางแผนพูด “ครับ”
หลิวโย่วเฟิงถอนหายใจอยู่ข้างเขา ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
นึกว่าจะโดนไล่ออกซะแล้ว
มือซ้ายของเฉิงโม่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยกมือขึ้นนาฬิกาข้อมือ กาวเยวี่ยนอยู่ข้างๆถามขึ้น “ประธานเฉิง ตอนนี้ไปพวกนักแสดงไหมครับ?”
มีภาพยนตร์ที่มาดูวิวและถ่ายทำที่ซีอัน ในเมื่อเฉิงโม่มาแล้วก็ไปดูทีมนักแสดงเสียหน่อย เขากำลังจะยกเท้าขึ้น คนที่อาศัยในบ้านตะปูรีบก้าวเข้ามาหา ยืนยิ้มอย่างรู้สึกผิดต่อหน้าเขา “ประธานเฉิง ให้ผมได้คุยกับคนในบ้านก่อน รู้สึกว่าเงินที่เสนอไปเมื่อคราวที่แล้วมันสมเหตุสมผล พวกเราจะย้าย ย้ายทันที อย่า” พวกเราจะย้าย ย้ายทันที พวกคุณไม่ต้องเปลี่ยนโครงร่างหรอก......”
“หืม?” เฉิงโม่จ้องเขา แล้วพูดอย่างเย็นชา “สมเหตุสมผลที่ไหนล่ะ? ไม่ใช่ว่าครอบครัวนายอยู่มาแล้วสามรุ่นหรอ? เสียดายที่จะขายบ้านหลังนี้”
“ก็จริง” คนที่อาศัยในบ้านตะปูถูกเขามองจนตื่นตระหนก ค่อนข้างวิตกกังวล “แต่จำนวนเงินมันเหมาะสม......พวกเราเห็นด้วยหมดครับ”
พวกเขาคิดจะถ่วง อยากได้เงินเยอะขึ้นอีกนิด ตอนนี้พวกเขาบอกว่าจะเปลี่ยนโครงร่าง งั้นเขาก็จะไม่ได้รับเงินแม้แต่แดงเดียว?
เฉิงโม่มองเขาหนึ่งที น้ำเสียงเย็นชาเป็นพิเศษ “ตอนนี้ไม่ใช่ว่านายจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เป็นฉันที่ไม่เห็นด้วย” เขามองไปที่บ้านตะปูหลังนั้น มุมปากยกขึ้น “ให้บ้านหลังนี้อยู่ตรงนี้ ก็ดูน่าสนใจดีเหมือนกัน ผลกระทบไม่ได้มาก”
พอพูดเสร็จ เขาก็ก้าวเท้ายาวออกไป
ผู้ช่วยกาวเดินตามหลังเขา ในใจก็คิดว่าไม่เห็นประธานเฉิงโกรธขนาดนี้มานานแล้ว
หลิวโย่วเฟิงก็ยังคงไม่วางใจนัก เขามองความคิดของเฉิงโม่ไม่ออก นี่มันต้องเปลี่ยนโครงร่างจริงๆหรอ? เขาเดินตามหลัง แอบดึงกาวเยวี่ยนมาถามเสียงต่ำ “โครงร่างนี้มันเปลี่ยนไม่ง่ายปะ? ตึกนั้นมันอยู่ตรงกลางพอดี ถ้าไม่ทุบออกล่ะก็ ถึงเวลาถ่ายทำมันจะไปโป๊ะในเลนส์กล้องง่ายมากเลยนะ......”
กาวเยวี่ยนยิ้มแล้วพูด “มันมีสิ่งที่เรียกว่าหลังถ่ายทำ ประธานเฉิงน่ะไม่ชอบพวกไร้ยางอายมากที่สุด พวกคนให้เงินแล้วไม่ยอมเอา ก่อนหน้านี้ให้ก็ไม่เอา มากกว่านี้นิดเดียวก็ไม่ให้อีก ปกติเงินชดเชยเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น คนในบ้านตะปูอยากหรือไม่อยากได้ก็แล้วแต่เขา ไม่เห็นด้วยก็เปลี่ยนโครงร่าง อย่าจัดการด้วยวิธีที่ไม่ดี เลี่ยงที่จะให้คนมาแฉแล้วกระทบต่อบริษัท”
หลิวโย่วเฟิงอึ้งไปสักพักแล้วพูดขึ้น “เข้าใจแล้ว”
คนในบ้านตะปูได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำอยู่ด้านหลัง ใบหน้าซีดเผือด รู้สึกเสียใจสิ่งที่ทำลงไป เขามองรถยนต์เพื่อการค้าขับออกไป ก็ยังแข็งทื่ออยู่ที่เดิม——
จะมีผลกระทบไม่มากได้อย่างไรกัน?
ไม่ใช่ว่าตึกนี้ต้องทำลาย ไม่งั้นการถ่ายทำจะโป๊ะไม่ใช่หรอ?
อีกนิดเดียวก็ไม่ให้จริงๆหรอ??
……
ภายในห้องประชุมของบริษัทภาพยนตร์สือกวาง เฉิงซินรายงานหัวข้อที่เลือกออกไป
นักวางแผนดูหนึ่งที แล้วเงยหน้ามองเธอ “ละครย้อนเวลาทะลุมิติ?”
เฉิงซินบอกเขาให้ชัดเจน “เป็นละครข้ามเวลา ทั้งสองอยู่ในยุคที่ต่างกัน”
นักวางแผนขมวดคิ้ว “เธอควรจะเข้าใจด้วยนะว่าประธานเฉิงไม่ชอบแนวนี้ เมื่อหลายปีก่อนประธานเฉิงคนก่อนก็ได้เซ็นสัญญาหลายเรื่อง ต่อมาเมื่อถ่ายทำ ก็ถูกโจมตี สองปีมานี้เลยไม่ได้ทำเรื่องแนวนี้อีก”
เฉิงซินรู้อยู่แล้ว เฉิงโม่ก็เหมือนกับผู้ชายส่วนใหญ่ ภาพยนตร์ที่ชอบก็จะแมนๆ ภาพยนตร์ทหาร ภาพยนตร์สงคราม ภาพยนตร์สืบสวนและอื่นๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นผู้กำกับด้วยตัวเอง ออกแรงทำเรื่อง Counter terrorism
ตั๋วที่ขายได้มากที่สุดของบริษัทภาพยนตร์สือกวางก็เป็นภาพยนตร์แนวนี้ ภาพยนตร์วรรณกรรมหรือภาพยนตร์รักโรแมนติกยอดขายจะธรรมดา
แต่หัวข้อแนวนั้น ในชีวิตนี้เธอเขียนออกมาได้ไม่ดี
เฉิงซินวาดร่างบนกระดาษ แล้วมองไปที่นักวางแผน “นั่นมันสองปีก่อน ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจจะเปลี่ยนความคิดแล้วก็ได้?”
“เธอลองไปคุยกับประธานเฉิงดูได้ เธอสนิทกับเขานี่?” มีคนแอบขำเบาๆ
เฉิงซินเงยหน้ามองหวงซืออี้ พูดอย่างไม่แสดงสีหน้า “คุณเอาไปลองคุยต่อหน้าประธานเฉิงดู”
หวงซืออี้พูดด้วยใบหน้าอึมครึม “ใครจะไปเหมือนเธอตั้งแต่แรก มีธุระหรือไม่มีธุระก็ขึ้นไปข้างบนได้ ไปตีสนิทหรืออะไร......” เธอพูดอย่างทิ่มแทงใจขึ้นว่า “ประธานเฉิงน่ะให้หน้าแต่ตู้หลิง ไม่ใช่ฉัน”
ภายในกลุ่มเล็กๆ เฉิงซินไม่ถูกกับหวงซืออี้มากที่สุด ทุกครั้งที่ประชุมจะต้องมีปากเสียงกัน ประสบการณ์เธอมีมากกว่าเฉิงซิน มีภาพยนตร์ที่ได้รับการยอมรับหนึ่งถึงสองเรื่อง
สีหน้าเฉิงซินเปลี่ยนเล็กน้อย โกรธจนจะบ้าตายอยู่แล้ว เธอวางมือซ้ายลงบนโต๊ะด้วยท่าทีเดิม ในมือถือโทรศัพท์อยู่ แล้วก้มหน้าลง เริ่มจะพิมพ์ต๊อกแต๊ก “ตอนนี้ฉันกำลังถามประธานเฉิงว่าเป็นแบบนั้นไหม”
หวงซืออี้ไม่ได้โต้กลับไปชั่วขณะ มองไปที่โทรศัพท์ของเธอ แล้วพูดขึ้นอย่างสับสน “อะไรนะ?”
เฉิงซินพิมพ์อย่างรวดเร็ว ก้มหน้าพูดขึ้น “อ๋อ ฉันบอกว่าฉันถามประธานเฉิงว่าเขาเป็นแบบที่เธอพูดไหม”
สีหน้าหวงซืออี้ซีดเผือด รีบลุกขึ้นมาพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ใส่ใจภาพลักษณ์ เธอจะแย่งโทรศัพท์ของเฉิงซินมา “อย่าส่งนะ!”
ทะเลาะกันอย่างเงียบๆ......
หรือต้องรายงานความผิดไหม?
หรือต้องบอกต่อหน้า???
เฉิงซินจับโทรศัพท์ลงแล้วหลบออกมา จากนั้นก็ก้มหน้ามองโทรศัพท์ เธอยิ้มหวานพูด “ส่งไปแล้วล่ะ”