บทที่ 3 คนใบ้
บทที่ 3 คนใบ้
วันที่สองคือวันศุกร์
เมื่อเกวลินดื่มนมจนหมด พ่อจะเข้ามาตรวจดวงตาของเธอเสมอ แล้วกล่าวว่า“พ่อน่าจะกลับมาทำอาหารให้พวกเราได้แค่ในช่วงวันหยุดแล้วนะ ตอนนี้งานวิจัยยุ่งมาก ลินกับอนัททานข้าวที่โรงเรียนแทนได้ไหม”
อนัทตอบกลับเพียงอือ
เกวลินพยักหน้า
พ่อกล่าวอีกว่า“อนัทดูแลลินดีดีด้วยนะ รู้ไหม เธอเป็นพี่สาวของลูก ดวงตาก็ยังไม่ดี พวกลูกอยู่ชั้นปีเดียวกัน อย่าให้ใครมารังแกเธอล่ะ”
อนัทกล่าว“เธอไม่ได้การให้ผมดูแลหรอก”
“ลูกคนนี้นี่...”
พ่อรู้สึกอับอาย จึงลากเกวลินออกมา แล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิด“ลิน อย่าไปใส่ใจเขาเลยนะ”
เกวลินกล่าวอย่างยิ้มๆ“ไม่เป็นไรค่ะ อนัทก็แค่คนปากแข็งแต่ใจดี”
พ่อรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่“พ่อรบกวนหนูเรื่องหนึ่งสิ”
“เมื่อวานอลิสาไม่ได้กลับมา เธอบอกนอนที่บ้านเพื่อน เธอโตแล้ว บางเรื่องพ่อก็เข้าไปดูแลไม่ได้ พ่อกลัวว่าตอนเธออยู่ที่โรงเรียน...” เขานิ่งไป ก่อนจะถอนหายใจเมื่อนึกถึงลูกสาว“พ่อกลัวว่าเธอจะมีความรักแล้วเดินออกนอกลู่นอกทาง หนูเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง ช่วยสั่งสอนเธอหน่อยนะ”
เกวลินยังคงจดจำเรื่องในชีวิตที่แล้วที่อลิสาปล่อยให้เธอตายไปได้
หากไม่ใช่เพราะอลิสาปล่อยเชือกเส้นนั้น เธอก็คงไม่ตาย แต่อย่างไร เธอลงไปเสี่ยงอันตรายเพื่อหาตัวน้องชายที่หายตัวไปในแผ่นดินถล่มนั่น เธอจึงไม่เข้าใจว่าอลิสาปล่อยเชือกเพราะอะไรกัน แต่มันยังคงเป็นหนามตำใจเธออยู่เสมอ
แต่เมื่อสบตากับชายชราที่ต้องรับผิดชอบทั้งบรรดาลูกๆและหนี้สิน เกวลินเองก็ไม่อยากพูดอะไรไป จึงพยักหน้าในท้ายที่สุด
เกวลินและอนัทคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังเดินตามกันไปโรงเรียน
พวกเขาเรียนชั้นม.5ที่โรงเรียนครีสเตียนพยาราม เกวลินอยู่ห้องหนึ่ง อนัทอยู่ห้องสอง
ทั้งสองคนต่างเป็นอันดับหนึ่งของห้อง
เกวลินจ้องมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม หลังจากโดนเผา เป็นอนัทและพ่อที่ยังคอยอยู่ดูแลเธอ พวกเขาไม่เคยปล่อยมือจากเธอเลย
แผ่นหลังของอนัทค่อยๆไกลออกไป เป็นเวลานานก่อนที่จะข้ามถนน เขาหันหลังกลับมามองเกวลิน หยุดฝีเท้าลง แล้วรอเธออยู่เงียบๆ
ทั้งสองมาถึงโรงเรียนพร้อมกันตอนเจ็ดโมงสี่สิบห้านาที แล้วก็แยกย้ายเข้าห้องเรียนของตัวเองไปอย่างเงียบๆ
เพียงเกวลินเข้าห้องมา เพื่อนในห้องต่างพากันทักทายเธอ
“อรุณสวัสดิ์ เกวลิน”
“อรุณสวัสดิ์”
ปีนี้เกวลินเป็นตัวแทนภาษาอังกฤษของห้อง
ทุกคนต่างรู้เรื่องความโชคร้ายของครอบครัวเธอ ประสบอุบัติเหตุพร้อมกับแม่ แม่จากไปส่วนเธอเสียการมองเห็น แต่เพราะคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่ยอดเยี่ยม โรงเรียนมัธยมต้นเดิมจึงส่งมาโรงเรียนครีสเตียนพยาราม ผลลัพธ์คือสอบได้ที่หนึ่งในทุกครั้ง นอกจากครั้งที่ขาดไปต้องเข้ารับการผ่าตัด ถือได้ว่าเป็นต้นแบบที่ดี
ดังนั้นถึงเธอจะใช้ไม้เท้าและสวมแว่นตาดำ แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะเธอ และเป็นมิตรกับเธอตั้งแต่แรกเจอ
คนข้างๆเธอคือผู้ชายที่ใส่แว่นตา มีท่าทางขี้อาย ไม่คุยกับใครในห้อง อ่านหนังสืออย่างหนัก แต่คะแนนกลับไม่สูงขึ้นเลย
แต่ผู้หญิงที่อยู่โต๊ะข้างหน้าหันกลับมามองเธอด้วยความตื่นเต้น“ลิน เธอมาแล้ว”
เกวลินแย้มยิ้ม รู้สึกคิดถึง น้ำเสียงนั้นอบอุ่นราวกับลมเดือนสาม“พิมพ์ภา”
พิมพ์ภาปล่อยให้เธอลูบผมที่โดนลมพัดจนยุ่งไป อดที่จะกล่าวกับเกวลินเสียงเบาไม่ได้“ลิน เธออย่าลืมยื่นขอทุนนะ ใบสมัครออกมาแล้ว” เธอรู้ว่าสถานะทางบ้านของเกวลินไม่ค่อยดี ปวดใจกับเด็กสาวที่โชคร้ายคนนี้เหมือนกัน
“โอเค”
คาบแรกคือครูที่ปรึกษาชื่อครูหลิน เธอเป็นครูสอนวิชาวรรณกรรม ดูทรงคุณวุฒิมาก
เกวลินตั้งใจฟังเนื้อหาที่เข้าใจอยู่แล้ว และตั้งใจจดอย่างช้าๆ
เธอจับปากกาในมืออย่างไม่คุ้นเคย แต่ก็ดูตั้งใจมาก
เอกชัย เด็กชายที่นั่งข้างกันอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอเขียนอะไรบ้าง เขากระหายใคร่รู้ ร้อนใจอยู่มากที่คะแนนไม่ขยับขึ้นเลย พอดีที่ข้างกายเขาคืออันดับหนึ่ง เขาจึงอาศัย“ครูพักลักจำ” อยู่เสมอๆ
เกวลินสังเกตถึงสายตาของเขา จึงขยับสมุดไปให้
นิสัยที่อ่อนโยนของเธอมันทำให้เต๋ารู้สึกไม่ดี ในใจของเขาคิด ว่าไม่แปลกใจที่ทุกคนจะมองว่าเกวลินเป็นคนดี เธออ่อนโยนและน่ารักจริงๆ
คาบแรกจบไป เกวลินเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศของตอนม.ปลายได้อีกครั้ง
ปีนี้โรงเรียนครีสเตียนพยารามเพราะไม่มีงบ โต๊ะและพัดลมจึงเป็นของเก่า เก้าอี้เองก็ไม่แข็งแรง แค่ขยับก็มีเสียงแล้ว
ของใหม่ในห้องเรียนมีเพียงสิ่งเดียวนั่นคือกระดานดำที่เป็นสื่อการสอน
โชคดีที่อยู่ในฤดูใบไม้ร่วงจึงไม่จำเป็นต้องใช้พัดลม แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความแตกต่าง
วิทยาลัยอโศกศิลย์ที่อยู่ข้างๆได้ติดเครื่องปรับอากาศมานานแล้ว
พวกเขาต่างได้รับความสะดวกสบาย หน้าร้อนที่ร้อนมาก หน้าหนาวก็หนาวมากของพวกเขา ก็ไม่ใช้อะไรอื่นมาปรับปรุง
คนรวยกับคนจนนั้นมีความแตกต่างที่ใหญ่มาก
คาบแรกหมดไป ภายในโรงเรียนก็เกิดเรื่องขึ้น
ด้านนอกเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ เกวลินนั่งอยู่ที่ของตัวเอง ผ่านไปครู่พิมพ์ภาก็เข้ามา ใบหน้าแสดงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด“พรพิมนต์ห้องสิบสี่จะไปวิทยาลัยอโศกศิลย์ที่อยู่ข้างๆ เธอจะไม่เข้าเรียนแล้ว เธอลองเดาดูว่าเพราะอะไรกัน”
ใจของเกวลินเต้นผิดจังหวะไป
เพราะอะไร จะเป็นเพราะอะไรได้กัน แน่นอนว่าต้องเพราะนรวิทย์อยู่แล้ว
ทันใดนั้นพิมพ์ภาก็กล่าวขึ้นมา“เธอไปเพราะผู้ชายคนหนึ่งในวิทยาลัยอโศกศิลย์ เธอดูเธอคนนั้นที่ทำตัวสูงส่งมาตลอด แล้วได้ชื่อว่าเป็นดาวของโรงเรียน ใครจะไปคิดกัน ว่าตอนนี้จะไปหาเรื่องกับผู้หญิงของวิทยาลัยอโศกศิลย์ที่เข้าหาแฟนเธอกัน น่าขำนะว่าไหม”
นิครีนที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ได้ยินเช่นกัน จึงเอ่ยแทรกขึ้นมา“ก็เพราะว่าผู้ชายคนนั้นมีอำนาจมากไง”
ข่าวที่ถูกปิดไว้ของโรงเรียนครีสเตียนพยาราม นรวิทย์เข้ามาเรียนโรงเรียนเฉพาะทางวิทยาลัยอโศกศิลย์ในเดือนกันยายน มีชื่อเสียงมากในทางนั้น แต่นักเรียนที่ดีของโรงเรียนครีสเตียนพยารามกลับมีน้อยคนนักที่รู้จักเขา
พิมพ์ภากรอกตากลับ มันเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักเรียนเรียนดีที่อยู่เหนือกว่า“เก่งขนาดไหนเชี่ยว เป็นเทพเลยหรือไม่”
นิครีนยักไหล่“ก็ใกล้จะเป็นเทพแล้วแหละ เธอรู้จักบริษัทแอมเวย์พาสจำกัดไหมล่ะ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นั่นแหละตระกูลเขา”
พิมพ์ภา“...บ้าจริง”
นิครีนนั้นถือเป็นแหล่งข่าวชั้นดี จึงกล่าวออกไปอย่างอดไม่อยู่“อาทิตย์ที่แล้วเขาต่อยอาจารย์ที่ปรึกษาของห้องตัวเองจนเข้าโรงพยาบาลไป ตอนนี้ยังอยู่ที่โรงเรียนอย่างสงบดีอยู่เลย คนแบบนี้ ถ้าพรพิมนต์จะสนใจก็ไม่แปลก”
ช่วงเวลาวัยรุ่น ความอวดดีก็เป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง
เพื่อนร่วมห้องต่างเข้ามารุมล้อม“เขาต่อยครูทำไมกัน”
“อำนาจบาตรใหญ่เหลือเกิน ครูยังกล้าต่อย”
“มีเงินเลยไม่สนก็ได้หรือ อวดดีไปแล้ว ต้องโดนสังคมสั่งสอนเข้าสักวัน”
“จะไปสนอะไรกัน ไม่พยายามก็ใช้มรดกของที่บ้านได้ต่อ”
กลุ่มคนยังคงกล่าวแซะอย่างขบขันไปเรื่อย
เสียงออดดังขึ้น แต่เกวลินกลับลุกขึ้นยืน
พิมพ์ภาถามอย่างเร่งรีบ“ลิน เธอจะไปไหนกัน”
เกวลินหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่เดิมเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับเธอเลย แต่เธอรู้ ว่าตอนนี้ดาวโรงเรียนอย่างพรพิมนต์กำลังไปหาใคร น้องสาวของเธออลิสาเป็นแน่
เธอไม่ได้อยากยุ่งกับอลิสาแล้ว แต่คำพูดของพ่อเมื่อเช้าก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ
พ่อแก่แล้ว ร่างกายนับวันยิ่งแย่ ตอนที่ทำงานที่ห้องทดลองก็ไม่ได้ระวังอะไร รังสีพวกนั้นมันทำร้ายเขาได้ ทั้งชีวิตของเขากังวลแค่เรื่องลูกๆเท่านั้น พูดได้เลยว่าเขาจะทำเพื่อเกวลินจนวันตาย
เกวลินหันกลับมา กล่าวกับพิมพ์ภาว่า“ฉันรู้สึกไม่สบายตัวเลย เธอช่วยฉันลาครูให้ทีได้ไหม”
พิมพ์ภารีบพยักหน้า
เกวลินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้ว แต่รปภ.กลับไม่ให้เธอออกไป น้อยครั้งที่เธอจะโกหก แต่เพราะต้องเข้าเผชิญกับสิ่งที่ขว้างทางไว้อยู่นี้ เธอชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง“คุณอาคะ หนูไม่เจ็บที่ตาค่ะ”
รปภ.รู้จักเธอ เด็กหญิงที่น่ารักและเป็นแรงบันดาลที่มีชื่อเสียงภายในโรงเรียน จึงรีบปล่อยเธอไปทันที
วิทยาลัยอโศกศิลย์ที่อยู่ข้างๆนั้นดีกว่า เพราะประตูเข้าไร้คนคุม ตอนที่เกวลินเดินมาถึงหน้าประตูม.5ห้องแปด ในห้องเรียนก็มีเสียงดังขึ้นมา
พรพิมนต์ไม่ได้มาคนเดียว แต่เธอยังพากลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องมาอีกด้วย
อลิสาเองก็เป็นคนหัวแข็ง เกวลินเดินเข้าไปได้ยินเธอกล่าวว่า“แกเป็นแฟนของนรวิทย์แล้วอย่างไร ใครๆเขาก็รู้ว่าวันเกิดแกเมื่อวันก่อน เขาไม่ไป แล้วทิ้งไว้แค่กระเป๋าเงิน”
พรพิมนต์เชื่อมั่นในตัวเองมาก จึงสู้ไม่ถอยเช่นกัน“เขาจะสนหรือไม่สนฉัน ฉันก็ยังได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเขา แกโตมาแบบไหนกันถึงได้จะมาแย่งแฟนคนอื่น ที่บ้านไม่ได้สั่งสอนหรือ”
ผู้คนด้านข้างต่างส่งเสียงเชียร์
ทั้งหมดเพื่อจะแหกหน้ามือที่สาม และเพื่อคนที่มีอำนาจอย่างนรวิทย์ มันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
ตอนที่เกวลินเดินเข้าไป สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่เธอ
คนตาบอดคนนี้ต่างสะดุดตาทุกคน เธอแหวกผ่านกลุ่มคนไป ลากอลิสาที่กำลังจะด่าทอกลับออกไปข้างนอกห้องเรียน อลิสาโมโห“พี่มาทำอะไร ฉันจัดการเองได้ กลับไปอ่านหนังสือของพี่นู่น”
สายตาที่มองมาของทุกคนทำให้อลิสาอับอาย เหมือนกำลังบอกว่า เธอมีพี่สาวเป็นคนตาบอด
สีหน้าของเกวลินเรียบนิ่ง“เมื่อเช้าพ่อบอกกับฉัน เขากังวลกับเธอมาก เขาเลี้ยงพวกเรามาอย่างยากลำบากนะ”
อลิสาขมวดคิ้ว ยังต้องการที่จะแย้งกลับ
“หากเธอชนะพรพิมนต์ แล้วคนอื่นจะคิดกับเธออย่างไร นรวิทย์ไม่สนใจพรพิมนต์ แล้วจะมาสนใจเธอหรือ” เกวลินกล่าว“เรื่องที่เธอให้ฉันมาดีดเปียโนแทน นี่เพื่อนเธอรู้ไหม เธอแน่ใจใช่ไหมว่ามันจะไม่หลุดไป”
อลิสาชะงักนิ่งไป
เมื่อวานเย็นเธอไม่ได้กลับบ้าน หลายๆคนเห็นว่าเธอไปหานรวิทย์ ราวกับเวทมนต์ เช้าวันที่สองจึงมีข่าวลือว่านรวิทย์ชอบเธอจนพาเธอออกเที่ยวแล้วค้างคืนด้วยกัน เธอไม่ได้แย้งอะไร สุดท้ายพรพิมนต์จึงปรี่มาหาเธอ
อลิสากล่าวอย่างลังเล“พวกเธอคงไม่ได้พูดออกไปหรอก” แต่สุดท้ายด้วยจิตสำนึกที่มีอยู่ในใจ เธอจึงกลับไปหยุดเรื่องทั้งหมดนั้น กล่าวกับพรพิมนต์ว่า“นั่นแค่ข่าวลือ เมื่อวานฉันนอนที่บ้านกรวิกา เธอเป็นพยานได้”
กรวิกาพยักหน้า
“นั่นสิ แกก็ต้องมองตัวเองบ้างนะ” พรพิมนต์กล่าวเยาะเย้ย ก่อนจะหยุดลง
ตอนที่ออกมาพรพิมนต์ตั้งใจมองไปที่เกวลินที่อยู่ข้างนอกห้อง เธอรู้จักเด็กคนนี้ นักเรียนอันดับหนึ่งของสายชั้น เกวลินห้องหนึ่ง ดวงตาไม่ปรกติ
เกวลินและอลิสารู้จักกันอย่างนั้นหรือ
อลิสาไม่ได้มีท่าทางเหมือนในชีวิตครั้งก่อนแม้แต่น้อย ไม่ได้ทะเลาะกับพรพิมนต์เพื่อรักษาหน้าแล้ว
สีหน้าของอลิสาย่ำแย่“พี่รีบกลับไปเถอะ เรื่องดีดเปียโนก็อย่าให้ใครรู้ด้วย”
เกวลินหันกลับลงตึกไป“ฉันรู้แล้ว” จุดประสงค์ของเธอและอลิสาไม่เหมือนกัน แต่ที่เหมือนกันคือไม่ต้องการให้นรวิทย์รู้ว่าคนที่ดีดเปียโนนั้นคือเธอเอง
บรรยากาศโรงเรียนในเดือนตุลาคมเริ่มเย็นลง
สภาพแวดล้อมของโรงเรียนเฉพาะทางดีกว่าโรงเรียนครีสเตียนพยารามเป็นเท่าตัว ตึกเรียนและอุปกรณ์เป็นของที่ทันสมัย มีหญ้าเขียวชอุ่ม โรงเรียนกว้างใหญ่ เมื่อเอามาเทียบกับโรงเรียนครีสเตียนพยารามแล้วก็ดูมืดมนไปทันที
เธอลงจากตึก เดินไปตามทางเพื่อรีบกลับไปเข้าเรียน
ลูกบาสกระแทกเข้าที่ต้นการบูรแล้วเฉียดผ่านหูของเธอไป
ด้านดรุนนีคิ้วเริ่มขมวด“โดนคนหรือ”
พี่ใหญ่อย่างนรวิทย์ไม่ขยับ อรุณเดทจึงวิ่งไปดู เมื่อเห็นเป็นเกวลินก็รีบหันมาบอก“พี่วิทย์ เป็นนักเรียนตาบอดคนเมื่อวาน”
สายตาของนรวิทย์มองตามไป
เกวลินชะงัก แล้วเดินออกไปนอกโรงเรียน
นรวิทย์รับลูกต่อจากดรุนนี แล้วทุ่มลูกบาสออกไป ลูกบอลกระแทกลงที่ตรงข้างหน้าของเกวลิน กระเด้งออกไปไกล จนเธอต้องหยุดเท้าลง
นรวิทย์ล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อ เขาใส่ชุดกีฬาเบอร์ห้า ตัวสูงขายาว ใช้เวลาเดินไปแค่สองนาทีเท่านั้น
เขาใช้เท้าเหยียบที่ลูกบอล แล้วยิ้มเย็น“นักเรียน เธอมองเห็นอย่างนั้นหรือ”
ไม่อย่างนั้นจะหยุดทำไม คนตาบอดรับรู้ถึงอันตรายได้ที่ไหนกัน
เขาเดินเข้าไปใกล้ แม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่เพราะออกกำลังกาย ผมเงินนั้นจึงมีเหงื่อชื้นอยู่ บนตึกทะเลาะกันเพราะเขาแรงขนาดไหน เขากลับไม่สนใจเลย
เกวลินหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาสูงตั้ง187 สูงกว่าเธอไปตั้งยี่สิบเจ็ดเซนติเมตร ก้มหน้ามามองเธอแบบนี้ดูข่มขู่อยู่ในที
ในตอนที่มือของเขายื่นมาจะดึงแว่นตาดำของเธอ เธอตกใจจนใช้ไม้เท้าขึ้นมาปัดมือของเขา
ไม้เท้านั้นทำมาจากไม้เนื้อแข็ง เสียงชนกับกระดูกทำให้ทุกคนต่างเย็นยะเยือก
คนที่อยู่ในสนามต่างชะงักนิ่ง
บนหน้าของนรวิทย์ไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว เขากล่าว“กูไม่มีกฎไม่ตีผู้หญิงหรอกนะ”
อรุณเดทรีบเข้ามาดึงนรวิทย์“พี่วิทย์ ช่างมันเถอะ เธอเป็นคนตาบอดนะ มันน่าจะแค่บังเอิญโดนเท่านั้นแหละ”
นรวิทย์เป็นโรคชอบใช้ความรุนแรง มันเป็นอาการป่วยที่ควบคุมไม่ได้
ไม่มีใครกล้าไปกระตุ้นเขาทั้งนั้น อรุณเดทเมื่อเห็นว่าหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มแล้ว ก็ไม่กล้าดึงอีก
เกวลินเองก็รู้
บรรยากาศเงียบไปนาน
เกวลินรู้สึกกลัว ก้มหัวต่ำแล้วกล่าวเสียงเบา“ขอโทษด้วยนะ ตาของฉันมันโดนแสงไม่ได้” น้ำเสียงอ่อนนุ่ม เหมือนกับลมอ่อนๆที่พัดรอบเจียงหนาน ทั้งใสและหวาน
นรวิทย์สติหลุดไปชั่วขณะ
จนเขาดึงสติได้ เธอก็เดินไปไกลแล้ว
เดินไปอย่างทุลักทุเล เชื่อแล้วที่เขากล้าตีคนจริงๆ
ฤดูใบไม้ร่วงในเดือนสิบ แผ่นหลังในชุดนักเรียนสีฟ้าของเธอดูบอบบางน่าทะนุถนอม
อรุณเดทกล่าวอย่างเหม่อลอย“ไม่ได้เป็นคนใบ้นี่” เสียงยังน่าฟังอีกด้วย หวานจนถึงกระดูก ไม่ได้เกินไป มันหวานอย่างที่ไม่เคยเจอ
นรวิทย์ก้มมองแขนของตัวเอง ที่แดงเป็นปื้น
ไม้เท้าเวรนั่นตีเจ็บฉิบหาย
ชั่วครู่ดรุนนีเดินเข้ามาถาม“พี่วิทย์ จะไปดึงแว่นตาดำของเธอทำไม”
เขาไม่ได้ยินที่นรวิทย์บอกว่าเกวลินไม่ได้ตาบอด แล้วพูดต่อโดยอ้างอิงจากที่ตัวรู้เท่านั้น“เธอเป็นคนตาบอดนะ ถ้าดึงออกมาแล้วมันไม่มีลูกตาพี่จะทำอย่างไรกัน” ไม่ว่าเปล่าเขายังทำท่าควักตาออกมาด้วย โคตรน่ากลัว จนไม่กล้ามอง
นรวิทย์ไม่ได้กล่าวอะไร
เขามองเธอที่เดินออกไปไกลแล้ว ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงนึกถึงสตรอว์เบอร์รี่กล่องนั้นแย่งมา
ไม่ได้เป็นใบ้ แล้วทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงไม่ยอมพูดกับเขากัน ดูถูกคนวิทยาลัยอโศกศิลย์แบบพวกเขาหรือ
เขาลูบแขนของตัวเอง ระยำจริง กล้าดีอย่างไรกัน เป็นผู้หญิงที่เหมือนกับแม่ของเขา กับเขาคนที่มีอำนาจอยู่ในมือ
เธอล่ะ คนตาบอดที่ดวงตามีปัญหาคนหนึ่ง เอาอะไรมามามองว่าตัวเองสูงส่งกัน