ตอนที่ 8
ตอนที่ 8
ลายแตกบนกำแพงค่อยๆขยายใหญ่เจอกำแพงกลมกลายเป็นทางเดินเล็กๆทางหนึ่ง ที่มือของเชี้ยวเฟิงหลินเหมือนถืออะไรบางอย่างไว้ แต่เชี้ยวเฟิงหลินก็รีบซ่อนกลับไปในแขนเสื้อทันที แม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีแต่อู๋เทียนหยุก็เห็นเต็มตา เชี้ยวเฟิงหลินหยิบโคมไฟจากข้างกำแพงแล้วไปยุงให้อู๋เทียนหยุลุกขึ้น
อู๋เทียนหยุลองขยับร่างกายแล้วลุกขึ้น ในใจก็แอบนินทาการพันแผลของเชี้ยวเฟิงหลินที่แข็งกระด้าง สายตาของเขามองไปที่แขนเสื้อของเชี้ยวเฟิงหลิน "จากกำลังภายในของท่าน ถ้าคิดว่าท่านคงสังเกตเห็นผู้คุมคนนั้นตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่?"
เชี้ยวเฟิงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม "ใช่"
"แล้วทำไมท่านถึงไม่พูดออกมาตั้งแต่แรก ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?"
เชี้ยวเฟิงหลินส่ายหน้าไปมา "ไม่ว่าข้าคิดจะทำอะไร ตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้ว"
เชี้ยวเฟิงหลินแสดงฝีมือออกมาน้อยมาก ตัวแทนจะไม่อาจวัดระดับวิทยายุทธของเขาได้ ยิ่งดูจากการพูดจากับเขาแล้วก็ยิ่งดูอะไรไม่ออก อู๋เทียนหยุครุ่นคิดไปพักนึงแล้วพูดว่า "ระหว่างทางมันน่าเบื่อ เราสองคนหาอะไรคุยกันแล้วเดินไปด้วยคงจะดีกว่า"
เชี้ยวเฟิงหลินเดินต่อไปและไม่สนใจคำพูดของอู๋เทียนหยุ
อู๋เทียนหยุหยุดยืนพิงกำแพงหินแล้วพูดขึ้นว่า "โอ๊ยยยย!ข้าปวดแผลจังเลย"
เชี้ยวเฟิงหลินหันกลับไปอย่างใจเย็นแล้วพูดขึ้นว่า "ท่านอู๋ นี่ท่านจะให้ข้าไปอุ้มท่านงั้นหรอ?"
"เปล่า" อู๋เทียนหยุตอบ "ท่านคุยกับข้าบ้างก็พอ" ยังไม่ทันที่เชี้ยวเฟิงหลินจะตอบอะไรอู๋เทียนหยุก็รีบพูดแทรกต่อ "อย่างน้อยก็เบี่ยงเบนความสนใจจากแผลข้าได้บ้าง ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลง"
เชี้ยวเฟิงหลินถามกลับ "ท่านอู๋คิดว่าท่านและข้ามีเรื่องอะไรให้คุยกันได้บ้างล่ะ?"
อู๋เทียนหยุยิ้มแล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านและข้าเรามาแลกกันถามดีกว่า"
"......" เชี้ยวเฟิงหลินถอนหายใจ "แล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบความจริงมันจะมีประโยชน์อะไร?"
"ก็แค่คุยให้หายเบื่อเท่านั้นเอง" อู๋เทียนหยุเดินไปยืนข้างเชี้ยวเฟิงหลินแล้วพูดว่า "อยากรู้ว่าจริงหรือไม่ก็ต้องพิจารณาเอาเอง อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายไม่พูดความจริงงั้นก็แปลว่าเขากำลังหยุดเรื่องคำถามนั้น?" อู๋เทียนหยุมองไปที่เชี้ยวเฟิงหลิน
เชี้ยวเฟิงหลินถอนหายใจแล้วเดินต่อไป "ท่านอยากถามอะไรก็ถามมา"
อู๋เทียนหยุเดินตาม "ท่านเชี้ยวดูเป็นคนเรียบร้อยไม่คิดว่าท่านเองก็พกดาบไว้ในแขนเสื้อด้วย ข้าไม่เคยได้ยินว่าท่านรู้วิชาวิทยายุทธมาก่อน"
แสงโคมไฟที่ริบหรี่และทางเดินที่แคบ ทำให้เชี้ยวเฟิงหลินสัมผัสได้ถึงลมหายใจอ่อนอ่อนของคนที่เดินตามหลัง เชี้ยวเฟิงหลินจึงหันไปตอบว่า "ไม่ลึกลับซับซ้อนอย่างที่ท่านคิดหรอก ก็แค่ความเคยชินตั้งแต่สมัยเด็กเท่านั้น"
"ตอนข้าอายุ 15 ข้าเคยออกรบกับพ่อ" เชี้ยวเฟิงหลินกล่าว
อู๋เทียนหยุมีสีหน้าที่หวนนึกถึงความหลังของเชี้ยวเฟิงหลินที่ยากจะอธิบาย แสงไฟในทางเดินเริ่มมืดจนแค่จะดูไม่ออกว่าเขาพูดจริงหรือหลอกกันแน่
เชี้ยวเฟิงหลินเล่าต่อ "ตั้งแต่นั้นมาท่านพ่อก็ไม่เคยอนุญาตให้ข้าใช้กำลัง ท่านอยากให้ข้าเป็นขุนนางพลเรือน เมืองฉางอันในสมัยก่อนไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนั้นในเมืองมักเกิดความวุ่นวาย ข้าเองก็ยังเด็กชอบเผลอใช้กำลัง พอท่านพ่อรู้เข้าจึงสั่งให้ข้าสวมชุดขาวตลอด ถ้าหากวันใดที่ท่านเห็นว่าเสื้อเปื้อนเลือดหรือรู้ว่าข้าใช้กำลัง ท่านก็จะลงโทษข้าด้วยการคุกเข่าในห้องโถง พอคุกเข่าบ่อยขึ้นก็เริ่มเรียนรู้การใช้ดาบในแขนเสื้อโดยไม่ต้องใช้กำลัง ท่านพ่อเองก็จะไม่รู้ จึงทำให้ข้าไม่ถูกลงโทษอีกเลย"
"เป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งนัก" อู๋เทียนหยุมองหน้าเชี้ยวเฟิงหลิน "ดูเหมือนว่าท่านในตอนเด็กน่ารักกว่าตอนนี้เยอะเลย"
คำพูดของอู๋เทียนหยุทำให้เชี้ยวเฟิงหลินหัวเราะเล็กน้อย
"ทำไมท่านพ่อของท่านถึงได้ห้ามไม่ให้ท่านใช้กำลังล่ะ?" อู๋เทียนหยุถามต่อ
เชี้ยวเฟิงหลินหันกลับไปมองแล้วพูดว่า "นี่เป็นคำถามข้อที่ 2 แล้วนะ"
อู๋เทียนหยุทำท่าเชิญให้เชี้ยวเฟิงหลินถาม เชี้ยวเฟิงหลินจึงถามขึ้นว่า "ด้วยอำนาจและฐานะของท่านในตอนนี้แล้ว ทำไมท่านถึงไม่รับครอบครัวของท่านมาอยู่ด้วยล่ะ?"
สีหน้าของอู๋เทียนหยุเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แววตาของเขากลับแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด "ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่อาจารย์เก็บมาเลี้ยง ไม่มีครอบครัวหรอก"
เชี้ยวเฟิงหลินพยักหน้าเข้าใจแล้วกล่าวขอโทษ
เชี้ยวเฟิงหลินจำครั้งแรกที่เจอกับอู๋เทียนหยุได้ดี ชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยที่แคว้นด้าเชียรบกับซงหนู เขาผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามรบ ศัตรูต่างก็พากันตีทับกลับถิ่น เหล่าขุนนางก็ต่างเกรงกลัวความน่าเกรงขามของเขา เขาผู้ไม่เคยกลัวและไม่สนใจคำประนามของคนอื่น แถมยังยิ้มรับอย่างหน้าตาเฉย ผู้ที่ชอบแสดงความเย็นชาและความน่ากลัวต่อหน้าผู้คน
ในตอนที่ท่านพ่อของเชี้ยวเฟิงหลิน แม่ทัพ'เชี้ยวเจิ้น'ยังอยู่ ก็เคยสังเกตเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วบอกกับเชี้ยวเฟิงหลินว่า 'ชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา'
เชี้ยวเฟิงหลินเองก็คิดเช่นนั้นจึงได้ใช้คนไปสืบประวัติของเขา แต่กว่าจะได้ความก็ปาไปตั้งครึ่งปี
เมืองเหลียงโจวมีตระกูลอู๋ผู้มั่งคั่งอยู่ตระกูลหนึ่ง รู้จักกับเหล่าจอมยุทธ์ทั่วทั้งยุทธภพ ถือได้ว่าเป็นครอบครัวผู้สูงศักดิ์เลยก็ว่าได้ เมื่อครั้งซงหนูบุกเข้าไปเข่นฆ่าผู้คนในเมือง ตระกูลอู๋ก็โดนฆ่าล้างตระกูลไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าอู๋เทียนหยุรอดมาได้ยังไง ได้ยินเพียงแค่ว่า ในคืนที่เหน็บหนาวคืนหนึ่ง มีเด็กที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูสำนักหมอ เด็กที่ีว่านั่นก็คือท่านอู๋ไท่เว่ยที่หยิ่งยโสผู้นี้
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบคำถามนี้สักเท่าไหร่
"ตาข้าบ้างล่ะ ข้าขอถามคำถามเดิม ทำไมท่านพ่อของท่านจึงไม่ยอมให้ท่านใช้กำลังล่ะ?" อู๋เทียนหยุถาม
เชี้ยวเฟิงหลินตั้งสติแล้วตอบเสียงเบาไปว่า "คงเป็นเพราะ…...ไม่ชอบให้ข้าฆ่าคน"
ยังไม่ทันที่อู๋เทียนหยุจะพูดอะไร เชี้ยวเฟิงหลินก็ชิงพูดขึ้น "ถึงแล้ว"
ทั้งคู่หยุดเดิน เชี้ยวเฟิงหลินหันไปมองหน้าอู๋เทียนหยุแล้วยื่นโคมไฟให้อู๋เทียนหยุ พร้อมกับกดไปที่ปุ่มเปิดประตู เสียงเปิดประตูดังขึ้น แสงสว่างเล็ดลอดผ่านมาจากอีกฟากของประตู ทั้งคู่กระพริบตาเพื่อปรับให้ชินกับแสง
หลังจากลืมตาขึ้นก็เจอห้องไม้เก่าๆ ตู้ไม้เก่าๆและเอกสารต่างๆ ที่แท้ก็เป็นห้องหนังสือเอง ทั้งคู่เดินออกมาจากประตูเห็นเพียงหนังสือตู้ไม้ที่เรียงกันเป็นระเบียบ
อู๋เทียนหยุหันไปสำรวจรอบๆแล้วหันไปยิ้มให้กับเชี้ยวเฟิงหลิน "ไปเถอะ!ไปหาหมอซูเหินกัน"
หลังจากเดินออกจากห้องหนังสือ ทั้งคู่ก็เดินผ่านเฉลียงในสวน เสียงบรรเลงเพลงในงานเลี้ยงจบลงได้สักพักแล้ว ทั้งคู่เข้าไปในคุกนั้นนานพอควร เหล่าสาวใช้เร่งเก็บอาหารจานชามอย่างคล่องแคล่ว
เชี้ยวเฟิงหลินเรียกสาวใช้คนหนึ่งมาถาม "แม่นาง เจ้านายเจ้าอยู่ที่ไหน?"
สาวใช้อายุน้อยเงยหน้ามองทั้งคู่อย่างแรกๆกลัวๆแล้วตอบไปว่า "ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ"
"แล้วงานเลี้ยงจบลงเมื่อไหร่?"
สาวใช้ตัวสั่นแรงขึ้น "10 กว่านาทีที่แล้วเจ้าค่ะ" สาวใช้พูดต่อ "ข้าเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา ท่านอย่าถามอะไรข้าอีกเลยนะเจ้าคะ"
เชี้ยวเฟิงหลินปล่อยสาวใช้ไปแล้วหันไปมองอู๋เทียนหยุ "เมื่อกี้ข้าได้ยินเสียงจากทางนี้" อู๋เทียนหยุพูดแล้วชี้ไปทางด้านขวา
ที่นั่นเป็นสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ต่างๆนานา ใต้แสงจันทร์สาดส่อง เผยให้เห็นเงาคนคู่หนึ่ง
"ดอกนี้หรือว่าดอกนี้?" จางหรงชี้ไปที่ดอกพุดซ้อนแล้วหันกลับไปถามหญิงสาวที่ยืนหัวเราะแต่ไม่ยอมตอบ แต่จางหรงกลับทำท่าเหมือนได้ยินคำตอบจากหญิงสาวยังไงอย่างนั้น "งั้นก็ตามที่เจ้าชอบแล้วกัน" จางหรงเด็ดดอกพุดซ้อนที่ขาวราวหิมะมายื่นให้หญิงสาวกับมือ
กงปู่ซ่างซูจางหรงสะบัดเสื้อผ้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาเจอกับอู๋เทียนหยุและเชี้ยวเฟิงหลิน จึงรีบก้มคำนับ "สวัสดีขอรับท่านอู๋ ท่านเชี้ยว"
อู๋เทียนหยุและเชี้ยวเฟิงหลินเดินเข้าไปใกล้ หญิงสาวรีบหนีไปอยู่ด้านหลังของจางหรงทันที นางยื่นหน้าอกมามองทั้งคู่ด้วยความกลัว จางหรงหันกลับไปกุมมือนางแล้วพูดว่า "อาซิ้วเจ้าไม่ต้องกลัวนะ" อาซิ้วก้มหน้ากำมือจางหรงแน่นด้วยความกลัว
จางหรงรีบกล่าวขอโทษ "ฮูหยินข้าเป็นคนขี้กลัว ท่านทั้งสองอย่าได้ถือโทษนางเลยนะขอรับ"
"ไม่เป็นไร" เชี้ยวเฟิงหลินยิ้ม
"ซูเหินอยู่ไหน?" อู๋เทียนหยุถามออกไปตามตรง
"ข้าน้อยมิทราบขอรับ" จางหรงส่ายหัว "สงสัยจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เมื่อกี้มีคนใช้มารายงานอะไรบางอย่างกับเขา พอรายงานเสร็จเขาก็มีท่าทีตื่นเต้นแล้วรีบประกาศจบงานเลี้ยง ฮูหยินของข้าไม่ค่อยได้ออกบ้าน เห็นว่าที่นี่แปลกตาดี ข้าจึงขอเดินดูรอบๆ พอเขาอนุญาตเสร็จก็เดินหายไปเลย" จางหรงชี้ไปที่ที่แห่งนึง "เหมือนว่าเขาจะเดินไปทางทิศนั้น หากท่านทั้งสองอยากพบเขาก็ลองไปที่นั่นดู"
ทางที่จางหรงชี้คือห้องหนังสือ ซึ่งตอนที่ทั้งคู่ออกมาก็ไม่มีใครอยู่เลย
อู๋เทียนหยุพูดด้วยรอยยิ้ม "ไม่ล่ะข้าแค่อยากกล่าวลาเขาเท่านั้น" อู๋เทียนหยุหันไปมองเชี้ยวเฟิงหลิน "ดูเหมือนว่าวันนี้คงไม่มีดวงได้เจอ"
เชี้ยวเฟิงหลินยิ้มรับ
ในเมื่อเขาหนีไปแล้วทั้งคู่จึงกล่าวลาจางหรงแล้วจากไป บัดนี้นอกคฤหาสน์เหลือรถม้าอยู่เพียงไม่กี่คัน
"อู๋เทียนหยุ" เชี้ยวเฟิงหลินเรียกไล่หลังมา
อู๋เทียนหยุหันกลับไปมอง "หืม?"
เชี้ยวเฟิงหลินเพิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปที่เขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า "ยังไงครั้งนี้ท่านก็ช่วยข้าไว้...ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกข้าหวังว่าท่านคงจะไม่ทำแบบนี้อีก เพราะถ้าดูแลตัวเองได้"
อู๋เทียนหยุตอบรับแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ดูเหมือนว่าการกล่าวขอบคุณกับคนอย่างข้าจะทำให้ท่านเชี้ยวผู้ซื่อตรงอึดอัดแฮะ!"
เชี้ยวเฟิงหลินนิ่งแล้วพูดขึ้นว่า "ข้าซึ้งใจยิ่งนัก หากว่าวันหลังท่านมีเรื่องที่ต้องการให้ข้าช่วย ข้าก็จะช่วยท่านเต็มที่แน่นอน"
อู๋เทียนหยุจับไหล่ที่เป็นแผลเบาๆแล้วหันไปพูดกับเชี้ยวเฟิงหลินว่า "ข้าว่าไม่ต้องรอวันหลังหรอก วันนี้เลยละกัน เพราะบรรยากาศดีใช้ได้"
อู๋เทียนหยุแตะไปที่แก้มของเขาเองแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ "ท่านหอมแก้มข้าทีนึง บุญคุณครั้งนี้ข้าก็จะถือว่าท่านได้คืนแล้ว"
"......" เชี้ยวเฟิงหลินยืนขมวดคิ้ว
อู๋เทียนหยุรีบทำท่าปวดแผล ก้มหน้ากุมไหล่ตัวเองแล้วทำสีหน้าจะร้องไห้ทันที "โอ๊ยยยย ข้าปวดแผล"
"......ท่านอู๋"
"เหมือนว่าแผลจะลึกไปโดนกระดูก...ให้ตายเถอะ!"
".......อู๋เทียนหยุ" เชี้ยวเฟิงหลินกดเสียงต่ำ
อู๋เทียนหยุแอบไงหน้ามองเชี้ยวเฟิงหลินแล้วเผลอหัวเราะออกมา "ช่างเถอะ!ถ้าไม่แกล้งท่านแล้วก็ได้" อู๋เทียนหยุพูดต่อ "ถ้าท่านยิ้มให้ข้า ข้าก็จะถือว่าท่านคืนหนี้แล้วละกัน แต่ข้าไม่รับยิ้มจอมปลอมที่ท่านชอบทำนะ ข้าขอยิ้มแบบ……" อู๋เทียนหยุคิดหาคำเปรียบเทียบ "ยิ้มแบบที่ท่านยิ้มให้กับความโง่ของโจงเซินละกัน ยิ้มแบบจริงใจมันคงไม่ยากสำหรับท่านหรอกใช่ไหม?"
"ข้าไม่เคยยิ้มให้กับความโง่ของเขา" เชี้ยวเฟิงหลินตอบแล้วมองไปที่อู๋เทียนหยุ แต่สีหน้าของอู๋เทียนหยุดูจริงจังอย่างน่าตกใจ
เชี้ยวเฟิงหลินยืนมองอู๋เทียนหยุอยู่พักนึง แล้วค่อยๆเคลียร์ยิ้มอันอ่อนโยนนั้นออกมา ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนหวานอ่อนโยน
อู๋เทียนหยุมองเขาจนสติหลุดลอยไป แสงโคมไฟจากคฤหาสน์ส่องผ่านตัวของเชี้ยวเฟิงหลิน เรากับว่าส่องออกมาจากตัวเขายังไงยังงั้น ทำให้อู๋เทียนหยุรู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
"เหมือนว่าท่านจะต่างจากที่ข้าคิดนะ" เชี้ยวเฟิงหลินกล่าว
อู๋เทียนหยุยักคิ้วแล้วพูดว่า "ฟังดูแล้วไม่ค่อยเหมือนคำชมสักเท่าไหร่นะ"
"งั้นหรอ?" เชี้ยวเฟิงหลินยิ้มแล้วมองไปที่รถม้าด้านหลัง "นี่ก็ดึกมากแล้วข้าลาล่ะ"
หลี่ซีที่ยืนรออยู่ข้างรถม้า พอเห็นอู๋เทียนหยุเดินมาจึงรีบเดินเข้าไปถาม "เกิดอะไรขึ้น?"
อู๋เทียนหยุเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หลี่ซีฟังคร่าวๆ หลี่ซีเงียบไปสักพักแล้วพยายามทำหน้าตาแบบอื่นที่นอกเหนือจากหน้าตายให้อู๋เทียนหยุดู แต่ก็ทำไม่สำเร็จ "นี่ศิษย์พี่ ท่านโดนยิงที่ไหล่หรือสมองกันแน่?"
อู๋เทียนหยุทำตาขวางใส่หลี่ซี
"เจ้าคิดแบบนั้นกับเชี้ยวเฟิงหลินจริงๆหรอ?" หลี่ซีถาม
"เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรอ?" อู๋เทียนหยุยิ้มด้วยสายตาเย็นชา "เจ้าคิดว่าเชี้ยวเฟิงหลินเป็นคนยังไงกันแน่?ที่บอกว่าติดหนี้บุญคุณข้ามันเป็นเพียงข้ออ้างที่เอาไว้วัดใจค่าเท่านั้นแหละ กว่าข้าจะทำให้เขาไว้ใจข้าได้ ถ้าต้องใช้ตัวบังธนูเชียวนะ จะให้ทิ้งโอกาสครั้งนี้ไปฟรีๆได้ยังไง?"
"แล้วคำขอของท่านทำให้ได้ความอะไรบ้างล่ะ?" หลี่ซีถาม
อู๋เทียนหยุมองออกไปยังท้องฟ้าแล้วพูดขึ้นว่า "ข้ารู้สึกว่าเวลาที่เขายิ้มก็น่ารักดี"
"......"