ตอนที่ 9   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 9
ตอนที่ 9 เช้าวันนี้มีคนไปแจ้งว่าเจอศพคนตายถูกทิ้งไว้ที่ชานเมือง หน้าทั้งหน้าถูกลอกออกไปจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร ศาลจึงสั่งการให้คนไปตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเสร็จก็พบว่าผู้ตายคือจองหงวนนามว่า'ซูเหิน'ที่เพิ่งรับตำแหน่งไป สักพักก็มีชายคนหนึ่งมายอมรับว่าเป็นคนลงมือฆ่าเองกับมือ เหตุที่ฆ่าเพราะความริษยา ซูเหินได้รับตำแหน่งแต่ผู้ฆ่ากับสอบไม่ผ่าน ภูคาที่ว่าก็คือคนที่มอบคฤหัสถ์ให้ซูเหินเงินเอง ทีแรกผู้คนต่างก็คิดว่าเขาเป็นคนรักเพื่อนจึงมอบคฤหาสน์หลังนี้ให้ซูเหินแต่ใครจะรู้ว่าเขาเป็นคนใจร้ายอำมหิตขนาดนี้ เนื่องจากผู้ต้องหาและหลักฐานครบ คดีนี้จึงได้ปิดลงในทันที แม้ว่าจองหงวนจะถูกลอบฆ่า แต่คนก็ต่างคิดว่าเป็นแค้นส่วนตัวของเพื่อนเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวังหลวงโดยตรง ฮ่องเต้ทำได้เพียงถอนหายใจที่อุตส่าห์ชื่นชมวิชาความรู้ของเขาแต่กลับต้องมาตายแบบนี้ ทุกเรื่องมีการเปลี่ยนผันก็เหมือนลมที่เปลี่ยนทิศ แม้แต่ข่าวลือในโรงน้ำชาก็เปลี่ยนไปทุกวัน ซูเหินเป็นเพียงจองหงวนผู้ล่วงลับที่ไม่มีเส้นสายไม่มีความดีความชอบอะไรเลย ซึ่งคดีก็ถูกปิดไปแล้ว สุดท้ายเรื่องนี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กที่ผู้คนต่างก็ลืมกันไปและไม่มีการสนใจใดๆอีกเลย จะมีก็แต่อู๋เทียนหยุและเชี้ยวเฟิงหลินสองคนเท่านั้น เชี้ยวเฟิงหลินและอู๋เทียนหยุที่ยืนฟังรายงานของเหล่าขุนนางในห้องโถงพระราชวัง หันมามองตากัน ต่างฝ่ายก็ต่างคิด แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องในคืนนั้นเลย เพราะว่าทั้งคู่รู้ดีว่าซูเหินที่เชิญทั้งคู่ไปร่วมงานคือตัวปลอม พอเรื่องบานปลายก็รีบค่าปิดปากแล้วปิดคดีทันที พอเดินออกจากห้องโถงใหญ่ อู๋เทียนหยุเดินเข้าไปถามเชี้ยวเฟิงหลินทั้งที่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ "ทำไมท่านเชี้ยวไม่รายงานเรื่องคืนนั้นให้ฝ่าบาททราบล่ะ?" "ฝ่าบาทยังเยาว์วัยนัก ใจยังไม่มั่นคงพอแล้วจะรายงานให้รำคาญใจฝ่าบาททำไมกัน" เชี้ยวเฟิงหลินพูดพร้อมกับมองไปที่อู๋เทียนหยุ "ท่านอู๋เองก็ไม่ได้รายงานเช่นกันไม่ใช่หรอ?แล้วท่านได้เบาะแสอะไรจากเรื่องนี้บ้างหรือยัง?" อู๋เทียนหยุยิ้มแล้วมองเข้าไปในนัยตาของเชี้ยวเฟิงหลิน "หรือว่าท่านก็คิดเหมือนข้า?" เชี้ยวเฟิงหลินหัวเราะแล้วมองจ้องไปยังสุดขอบฟ้า "......เพียงแค่เห็นใบไม้ร่วงเพียงใบเดียว ก็รู้ได้ว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังมาเยือน!" ทั้งคู่ต่างก็รู้ว่านี่เป็นเพียงหมากตัวแรกของคนที่คิดไม่ซื่อเหล่านั้น นอกเมืองฉางอัน ในผืนป่าไม้ที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ให้ความร่มรื่น ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยากที่จะมีผู้คนมาอาศัยอยู่ บนหน้าผาอันสูงชัน มีชายสองคนนั่งอยู่บนหลังม้าแล้วทอดสายตามองไปข้างหน้า ชายชุดดำมรกตที่ชายเสื้อถูกลมพัดจนเผยให้เห็นลายปักสีแดงดั่งเลือดในแขนเสื้อ หันกลับไปถามคนที่อยู่ด้านหลัง "เจ้าแน่ใจหรอว่าคือที่นี่?" หลี่ซีตอบ "ใช่ แต่ที่ตั้งที่แน่ชัดข้าเองก็ยังไม่แน่ใจไม่ได้" อู๋เทียนหยุหันกลับมาจัดผมดำเงาของเขาที่ถูกลมพัดจนยุ่งไปหมด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจเล็กน้อย "กลางป่ากลางเขาเนี่ยนะ?" คลื่นที่เกิดเรื่องอู๋เทียนหยุก็รู้ได้ทันทีว่าคงสร้างคุกนั้นไม่ได้สร้างขึ้นมาได้ภายในวันสองวันหรอก แถมกลิ่นเลือดที่ลอยอยู่ในอากาศคืนนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเคยมีคนถูกขังเมื่อไม่นานมานี้ ดูออกชัดเจนว่าคนในคุกถูกย้ายเพื่อวางแผนจับเขาและเชี้ยวเฟิงหลินโดยเฉพาะ แต่ทั้งคู่กลับไปเจอเข้ากับเหล่าผู้คุม และดูจากความวุ่นวายในคุกแล้วแปลว่าบริเวณที่เจอเหล่าผู้คุมอาจจะยังมีคนที่ยังไม่ทันย้ายออกจากที่นั่น และในคืนนั้นเองอู๋เทียนหยุได้สั่งให้หน่วยลับคอยสังเกตการณ์ แล้วได้ความมาว่ามีรถมาหลายคันที่แอบออกจากคฤหัสถ์นั้นแบบลับๆล่อๆ หน่วยรับจึงสะกดรอยตามมาจนถึงหุบเขาแห่งนี้ แต่เนื่องด้วยความมืดในคืนนั้นจึงทำให้สะกดรอยตามมาถึงแค่นี้ หลี่ซีกล่าว "ให้สะกดรอยตามในที่แบบนี้ก็ยากอยู่แล้ว ถ้าอยากสะกดรอยโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ก็คงจะยากกว่า คงต้องระมัดระวังมากกว่านี้" "เจ้าหมายความว่าข้าต้องสั่งคนมาให้มากกว่านี้ แถมยังต้องรออีกเป็นเดือนนั้นรึ?" อู๋เทียนหยุถาม "ใช่" "ยุ่งยากเกินไปแล้ว" อู๋เทียนหยุส่ายหน้าแล้วมองไปยังป่าไม้อันเขียวขจีนั้น "มันเสียเวลามากไป แถมข้ายังเรียกใช้หน่วยลับอย่างอิสระไม่ได้อีก" "ศิษย์พี่คิดจะปล่อยไปงั้นหรอ?" หลี่ซีถาม อู๋เทียนหยุหัวเราะเบาๆ "ถ้าปล่อยไปง่ายขนาดนี้ก็คงไม่ใช่ข้าแล้ว" "แล้วเจ้าคิดจะทำยังไง?" "หลี่ซี" อู๋เทียนหยุเลยหน้ามองท้องฟ้าและเมฆหนาที่กำลังรวมตัว "ฟ้าก็เป็นแบบนี้มาทั้งวันแล้ว สงสัยคงจะมีพายุฝนอีกไม่นาน" "เจ้าหมายความว่า?" หลี่ซีถามอย่างงงๆ "ภูเขาถล่มน้ำป่าไหลหลาก" อู๋เทียนหยุกล่าว "ในเมื่อหาไม่เจองั้นก็ลงมือระเบิดยอดเขานี้ซะ แม้แต่ฟ้ายังเป็นใจให้ข้าขนาดนี้ พอฝนตกเศษดินเสร็จก้อนหินก็จะไหลลงไปทับตาม ใครก็หนีไม่พ้นทั้งนั้น ถือซะว่าลวดฝังไปด้วยละกัน" "แต่ว่า……" หลี่ซีตอบ "คนที่พวกเขาจับตัวไว้ล่ะเขารับ?" "แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ?" อู๋เทียนหยุถามกลับแล้วมองไปทางหลี่ซี "ใครจะรู้ว่าคนที่ถูกขังเป็นใคร อีกอย่างจากเรื่องซูเหิน เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าหากพวกนั้นรู้ว่ากำลังถูกค้นพบ อย่างแรกที่พวกนั้นจะทำคือฆ่าทิ้ง สุดท้ายก็ช่วยออกมาไม่ได้ตามเดิมอยู่ดี" หลี่ซีเงียบ อู๋เทียนหยุพูดต่อ "แม้ฝ่ายกองกำลังจะฟังคำสั่งจากข้า แต่ระเบิดปริมาณเยอะขนาดนี้ถ้ากลัวว่าจะมีคนจับได้ ถ้าจำได้ว่าจางหรงมักใช้อำนาจตำแหน่งกงปู้ซ่างซูของเขาในการซื้อขายผิดกฎหมายบนเรือรัฐอยู่แล้วนี่ เจ้าลองไปทำการแลกเปลี่ยนกับเขาดู" "ขอรับ" หลี่ซีตอบ อู๋เทียนหยุมองหลี่ซีแล้วยิ้มอ่อน "นี่เจ้าหน้าน้ำแข็ง!ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของข้าใช่ไหม?" "เปล่า" หลี่ซีส่ายหน้า อู๋เทียนหยุรู้จักนิสัยของศิษย์น้องตัวเองดี เขาจึงบังคับม้าเดินออกไปแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันที "เรื่องของเชี้ยวเฟิงหลินที่ข้าให้เจ้าไปสืบเป็นยังไงบ้าง?" หลี่ซีเห็นถ้าจึงขี่ม้าตามไปแล้วตอบว่า "ไม่มีวี่แววเลย" "หะ?" อู๋เทียนหยุขมวดคิ้ว หลี่ซีตอบ "ในบันทึกของกองทัพไม่เคยมีชื่อของเชี้ยวเฟิงหลิน พอถามคนที่รู้จักก็ไม่เคยมีใครเคยรู้ว่าเขาเคยเข้าสู่สนามรบเลย" "ตรวจสอบละเอียดหรือยัง?" หัวเทียนถาม "เชี้ยวเฟิงหลินเกิดปีเดียวกับข้า ในตอนที่เขาอายุ 15 คงเป็นช่วงที่ซงหนูยกทัพตีแคว้นด้าเชียเมื่อ 12 ปีก่อน แถมยังไปกับเชี้ยวเจิ้นด้วย ไม่มีชื่อในบันทึกก็ไม่แปลก" "จากการตรวจสอบแล้ว แม่ทัพในตอนนั้นคือเชี้ยวเจิ้นจริง แต่ไม่ว่าจะเป็นการรบครั้งใหญ่หรือการรบปกติก็ไม่มีวี่แววของเชี้ยวเฟิงหลินเลย ลูกชายคนเดียวของแม่ทัพคงไม่ไปอยู่รวมกับทหารชั้นล่างหรอก" อู๋เทียนหยุกล่าว "จากน้ำเสียงของเชี้ยวเฟิงหลินดูเหมือนว่าตอนนั้นเกิดอะไรบางอย่างขึ้น ด้วยอำนาจของเชี้ยวเจิ้นก็สามารถลบชื่อของเชี้ยวเฟิงหลินออกได้อย่างง่ายดาย" "แม้จะเป็นอย่างที่ท่านพูดแต่ในรายชื่อกองทัพที่ไปกับเชี้ยวเจิ้นก็ต้องมีสิ แต่นี่ไม่มีอะไรเลย" "ในบันทึกไม่มี คนนอกไม่รู้ แล้วเจ้าถามโจงเซินดูหรือยัง?" "ถามแล้ว แต่ตอนนั้นโจงเซินเพิ่ง 8 ขวบเองนะ แถมเมืองจิงหลินกลับเมืองฉางอันก็ห่างกันตั้งไกล เขาจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้ยังไง?คนในตระกูลก็ไม่มีใครเคยเอ่ยปากพูดถึง" หลี่ซีพูด "ศิษย์พี่ สิ่งที่เชี้ยวเฟิงหลินพูดอาจจะโกหกก็ได้" อู๋เทียนหยุเงียบ สีหน้าของเชี้ยวเฟิงหลินในตอนนั้นเขาจำได้ดี เหมือนมีเรื่องมากมายในสมองแต่กลับพูดออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงฝืนยิ้ม อู๋เทียนหยุพูดขึ้น "เขาไม่ได้โกหก" "จะรู้ได้ยังไง?" หลี่ซีถาม อู๋เทียนหยุคิดแล้วตอบว่า "ถ้าเกิดเป็นเรื่องโกหกคำโกหกของเชี้ยวเฟิงหลินก็จะถูกเปิดโปงอย่างง่ายดาย ในทางกลับกัน ถักเค้ารู้ว่าถ้าบอกไปแล้วพวกเราก็สืบไม่ได้หาไม่เจอ ก็จะตอบข้าโดยตรง" คำอธิบายของเขาเต็มไปด้วยการอ่านแผน หากเป็นคนอื่นคงต้องนึกอีกนานกว่าจะเข้าใจ หลี่ซีเองก็ไม่รู้จะหาคำไหนมาเปรียบเทียบกับสองคนนี้จริงๆ ได้แต่ตอบออกไปเบาๆว่า "อืม" "แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง แต่ว่า……" กำแพงเมืองฉางอันตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ลมพัดธงให้โบกสะบัดพริ้วไหว เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง เป็นเมืองแห่งความฝันของเหล่านักวิชาการและเหล่าผู้ต้องการหากำไร ยิ่งไปกว่านั้นเมืองนี้เป็นสนามรบอันดุเดือดของเหล่าผู้มีอำนาจ อู๋เทียนหยุยกมุมปากขึ้นแล้วพูดว่า "ข้าและเขายังต้องอยู่สู้กันอีกนาน"
已经是最新一章了
加载中