ตอนที่ 2 คนคุ้มกันฮัวมู่หลาน
1/
ตอนที่ 2 คนคุ้มกันฮัวมู่หลาน
ยอดหญิงฮัวมู่หลาน
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 2 คนคุ้มกันฮัวมู่หลาน
ตอนที่ 2 คนคุ้มกันฮัวมู่หลาน บางครั้งเฮ่อมู่หลันก็สงสัยว่าฮัวมู่หลานใช่เพราะถูกกระตุ้นรุนแรงจนหายไปหรือเปล่า จากแม่ทัพที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่ สามารถชี้นิ้วคุมกองทัพทหารม้าเรือนหมื่น เมื่อกลับสู่หมู่บ้านกลับกลายเป็นสตรีแก่ที่ต้องอาศัยการทาบทามถึงจะแต่งออกไปได้ หากเปลี่ยนเป็นนาง นางก็คงทนสภาพจิตใจที่ตกต่ำลงเช่นนี้ไม่ไหวแน่ โดยเฉพาะเมื่อนางที่เคยอ่านชีวประวัติของ “ท่านแม่ทัพฮัว” จึงทราบว่าฮัวมู่หลานผู้นี้คือวีรสตรีแห่งจักรวรรดิอย่างแท้จริง นางมีนิสัยเด็ดเดี่ยวห้าวหาญทั้งยังเป็นความหวังสูงสุดของทัพ นางอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แม้สหายที่สนิทสนมอายุไล่เลี่ยกันกับนางก็แต่งภรรยามีลูกเป็นโขยงแล้ว แต่เพราะนางยืนหยัดในเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองจึงไม่เคยนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านบอกแก่สหายเหล่านั้น อ้างอิงตามนิสัยเดิมของฮัวมู่หลาน นางคงจะยอมทนรับคำตำหนิเงียบๆอยู่ผู้เดียวโดยที่ไม่เอาปัญหาไปเดือดร้อนใครกระมัง อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสิ่งที่นางต้องการ ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องสังหารคนอีก แต่ถึงอย่างนั้น ยามนี้นางแค่ใช้ชีวิตแทนฮัวมู่หลานเพียงชั่วระยะหนึ่งยังรู้สึกไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้ หากว่านางประสบกับชีวิตที่ฮัวมู่หลานเจอมาทั้งชีวิตล่ะ ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นจะเข้มเข็มจนเปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึกงั้นรึ? หากสหายในอดีตของนางเหล่านั้นรู้ว่าชีวิตที่นี่ของนางเป็นแบบนี้พวกเขาจะคิดอย่างไรกัน? นางฝันถึงชีวิตที่สงบสุขแต่สุดท้ายดันลงเอยเป็นแบบนี้ไปเสียได้ ไม่มีดอกไม้ ไม่มีเสียงปรบมือ มีแค่ปัญหาที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เกรงว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้ฮัวมู่หลานจึงไม่ติดต่อเพื่อนฝูงเลยสักคน ทำเพียงใช้ชีวิตเงียบๆอยู่ที่นี่ต่อไป แม้จะเป็นเช่นนี้ชีวิตสงบสุขของนางก็ทุกทำลายไปเสียแล้ว ถูกคนในหมู่บ้านเรียกขานราวกับเป็นสัตว์ประหลาด ของรางวัลและผ้าพับที่ได้บำเหน็จจากฮ่องเต้ก็ผู้อื่นจ้องอยากได้ กระทำจนชีวิตของสตรีอายุมากเช่นนางคล้ายเป็นบาปประการหนึ่ง ฮัวมู่หลานจะไม่ปวดใจได้หรือ? เฮ่อมู่หลันก็ไม่กล้าคิด แต่ก็อดคิดไม่ได้ หมู่บ้านหลิวจี๋ห่างจากหมู่บ้านหยิงโกวของฮัวมู่หลานไปไม่ไกลนัก ทว่าจำกัดความคำว่า ‘ไม่ไกล’ นี้เป็นข้อจำกัดที่เอ่ยถึงการเดินด้วยเท้า ฉะนั้นกว่านางจะเดินถึงทางที่หมายก็กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว เรื่องนี้ทำให้เฮ่อมู่หลันรู้สึกสงสัยถึงเหตุผลที่คนตระกูลหลิวส่งแม่สื่อมา กล้าวิ่งมาสู่ขอฮัวมู่หลานผู้มี “ร่างสันกำยำ” ไปเป็นภรรยารองถึงหมู่บ้านข้างๆ ยิ่งกว่านั้นยังกล่าวว่าจะยกทรัพย์สินทั้งหมดในบ้านมาเป็นของสินสอดอีกด้วย บ้านของเจ้าหนุ่มตระกูลหลิวนั้นอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านหลิวจี๋ เดินลัดเลาะไปตามเส้นถนนประเดี๋ยวเดียวก็ถึง เฮ่อมู่หลันกวาดสายตามองท้องทุ่งนา ทั้งที่ถึงฤดูหนาวแล้วกลับยังไม่เก็บซากต้นข้าวที่เฉาตายแล้วออกไป ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะอะไร ขี้เกียจ? มือเท้าพิการ? บ้านตระกูลหลิวมีขนาดใหญ่นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เปล่าแผ่ขยายกว้างออกไปอีก ฉับพลันเฮ่อมู่หลันได้ยินเสียงร้องของผู้ชายผ่านลอดออกมาจากกำแพงที่สานขึ้นจากไม้ไผ่ เสียงนั้นร้องอย่างตื่นตระหนกทั้งนี้ยังมีเสียงร้องไห้เบาๆปะปนออกมาด้วย “ฆ่าคนแล้ว! ฆ่าคนแล้ว!” “ต้าหลางตระกูลฮัว วันนี้ดูท่าว่าโชคไม่ดี ไม่สู้พวกเรามาวันอื่น...” ป้าหวางชะงักปลายเท้าลง ครั้นได้ยินเสียงก็อยากเข้าไปลาก “ฮัวเก้อหู่” ผู้นั้นให้จากมา เฮ่อมู่หลันย่นคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย นางกำลังอยากเห็นว่าเจ้าหนุ่มตระกูลหลิวนั่นเป็นคนเช่นไร กล่าวกันว่า*มาก่อนล่วงหน้ามิสู้มาได้เวลาพอดี... ยามนี้ไม่ดูแล้วจะให้ดูเวลาไหน? เฮ่อมู่หลันฉุดป้าหวางให้เดินต่อเข้าไปข้างใน ที่หน้าประตูบ้านตระกูลหลิวมีชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งในมือถือกระบองไม้กำลังยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ที่ด้านหน้าประตู เมื่อเห็นบุรุษชาวเซียนเป่ยเดินเข้ามาพวกเขาก็ตะลึงเล็กน้อยจากนั้นค่อยร้องขึ้นเสียงดังว่า “ตระกูลหลิวกำลังจัดการเรื่องภายในบ้าน คนนอกจงถอยไป! โอรสสวรรค์มีคำสั่ง หากไม่มีเหตุอันใดห้ามมิให้คนเซียนเป่ยรบกวนชาวฮั่น!” “ผู้ใดสนว่าเจ้ากำลังจัดการเรื่องภายในบ้าน ข้าก็แค่มาดูเรื่องรื่นเริงเท่านั้น” เฮ่อมู่หลันยื่นศีรษะเข้าไปมองข้างใน ไม่รู้เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่ขาดสารอาหารหรืออย่างไร ชาวบ้านทั้งชายและหญิงจึงตัวไม่ค่อยสูงนัก ผู้ชายสูงร้อยเจ็ดสิบเซ็นก็ถือว่ารูปร่างสูงใหญ่มากแล้ว ที่พบเห็นได้ทั่วไปคือร้อยหกสิบห้าถึงร้อยหกสิบแปด รูปร่างอย่างฮัวมู่หลานหากเทียบกันในหมู่บุรุษแล้วนับว่าอยู่ในเกณฑ์กลางค่อนไปทางสูงด้วยซ้ำ ยามเมื่อเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นจึงไม่ได้ดูเสียเปรียบกว่าแต่อย่างใด ยามนี้นางยืนอยู่ด้านนอกแต่ก็เห็นเหตุการณ์ภายในได้อย่างชัดเจน ครั้นเมื่อได้เห็นเฮ่อมู่หลันก็ทนต่อไปไม่ไหว! ด้านในมีชายใบหน้าหย่อนยานดุดันผู้หนึ่งกำลังดึงตัวเด็กชายอายุราวเจ็ดแปดขวบออกมาเตรียมจะใช้กระบองไม้ตีเขา! เวลาเดียวกันนั้นบริเวณหน้าก็บ้านมีชายอ่อนแอร่างผอมบางผู้หนึ่งถูกมัดติดไว้กับต้นไม้ใหญ่ ดวงตาเบิกมองไปทางเด็กน้อยที่ถูกลากออมาจากในบ้าน “หยุดมือ!” “บอกแล้วว่าเข้าไปไม่ได้!” กลุ่มคนที่อารักขาอยู่หน้าประตูเห็นชาวเซียนเป่ยกระโจนเข้าไปข้างในจึงใช้กระบองไม้ฟาดไปที่เฮ่อมู่หลัน ทางป้าหวางเห็นเหตุการณ์ไม่เข้าทีก็รีบเผ่นหนีออกไป เฮ่อมู่หลันยื่นมือไปจับข้อมือผู้ชายคนนั้น ออกแรงเพียงนิดเดียวก็สกัดฝ่ามือที่อีกฝ่ายใช้แรงทั้งหมดสะบัดท่อนไม้ใส่นางไว้ได้ คนผู้นั้นทำหน้าคล้ายกำลังใกล้จะถูกตัดไหล่ก็ไม่ปาน อีกคนอยากจะขยับกระบองด้วยเช่นกันแต่หลังจากเห็นสหายคุกเข่าลงบนพื้นร้องครวญครางเสียงแหลมอย่างน่าสมเพช จึงไม่กล้าขยับตัวอีก เฮ่อมู่หลันแม้อยากคิดบัญชีกับคนใช้อาวุธกับตนแต่ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือการจัดการชายคนที่ต้องการจะตีเด็ก นางสะบัดร่างที่อยู่ในมือไปอีกทาง ใช้เพียงแรงเบาๆดันประตูรั้วไม้ไผ่ให้เปิดออกคล้ายกับว่ามันเป็นหัววัวที่เอียงกระเท่เร่ ด้วยเหตุนี้เฮ่อมู่หลันจึงถลันเข้าไปภายในจนได้ ออกแรงดึงเด็กชายที่ถูกเตะไปหลายทีเข้าไปกอดไว้ในอกตน “เจ้าคือ...” ชายใบหน้าหย่อนยานผู้นั้นกวาดสายตามองการแต่งกายของเฮ่อมู่หลัน ปากมิได้เอ่ยถ้อยคำบ้าระห่ำออกมา กลับทำแค่จ้องชายอ่อนแอร่างผอมบางบนต้นไม้ “ได้ยินว่าเจ้าอยากจะแต่งกับ “แม่ทัพหญิง” ที่อยู่หมู่บ้านข้างๆเป็นภรรยา ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงเช่นนั้นกระมัง? ทำไมเล่า เพื่อที่จะต่อกรกับข้า เจ้ายอมแม้แต่แต่ง...แต่ง...” ชายผู้นั้นเบนสายตามองมายังเฮ่อมู่หลันก่อนจะกลืนคำว่า “พยัคฆ์สาว” ลงท้องไป “วันนี้ข้าจะบอกเจ้า แต่งใครเข้ามาก็เท่านั้น! ข้ามีโฉนดเรือนแห่งนี้เป็นของข้า เจ้ารีบไสหัวไปเสีย!” เฮ่อมู่หลันกอดเด็กชายที่ถูกทำให้ตื่นตกใจคนนั้น ในใจพอคาดเดาเหตุการณ์ได้คร่าวๆแล้ว ความขัดแย้งระหว่างคนทั่วไปนั้นไม่ใช่เรื่องทรัพย์ก็เป็นเรื่องรัก ชายผู้นี้เกรงว่าเพราะได้โฉนดมาไว้ในมือแล้วจึงยึดเอาบ้านของผู้อื่นไปเป็นของตนแน่ๆ แม้นางจะเห็นใจชายที่ถูกมัดกับต้นไม้คนนั้นแต่นี่เป็นเรื่องของผู้อื่น นางไม่ใช่ทั้งหัวหน้าหมู่บ้านทั้งยังไม่ใช่เจ้าหน้าที่กรม จะช่วยก็คงช่วยไม่ได้ สามารถปกป้องไม่ให้เด็กน้อยคนนี้โดนตีได้ก็ว่าถือว่ามีคุณธรรมแล้ว เฮ่อมู่หลันเขม่นกวาดสายตามองชายผู้นั้น รู้สึกว่าคำกล่าวที่ว่าเห็นความคิดตัวเองเป็นใหญ่นั้นไม่ผิดไปสักนิด “วันนี้ข้ามาหาเขาเพราะมีธุระ หากเจ้าต้องการสะสางบุญคุณความแค้นวันหน้าค่อยว่ากันใหม่ เด็กชายผู้นั้นไร้ซึ่งความผิด เจ้ารังแกเขานับเป็นตัวอะไรได้!” “เจ้าเด็กนี่อีกนิดเดียวเกือบเผาบ้านข้าเสียวอดวาย ข้าตีเขาสักหน่อยจะเป็นไรไป! หากวันนี้ลูกข้าถูกไฟคลอกตายเจ้าเด็กนั่นก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” ชายผู้นั้นคำรามเสียงเย็นออกมาหนึ่งคำ ไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยสักนิด เฮ่อมู่หลันมองเด็กน้อยในอ้อมกอด ไม่อยากเชื่อว่าเด็กน้อยท่าทางขลาดเขลาอย่างนี้กล้าทำเรื่องแบบนั้น เด็กน้อยผู้นี้ตกใจจนขวัญกระเจิงซุกศีรษะซ่อนอยู่ใต้อ้อมกอดของนาง ยามนี้ใบหน้าของเขาเลอะไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกมาบัดนี้ยังเปรอะติดเสื้อนอกของนางเสียเต็มไปหมดอีก ทำให้นางรู้สึกอึดอัดงุ่นง่านไปชั่วขณะ ที่แท้ไม่ว่าจะยุคโบราณหรือปัจจุบันนางก็ทำใจชอบเด็กไม่ลงเสียทีแฮะ ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมอวี๋เหลียงถึงทนอยู่กลางวงล้อมเด็ก ๆได้ทุกวัน เฮ่อมู่หลันอุ้มเด็กน้อยไปทางต้นไม้ใหญ่ วางเด็กลงแล้วยื่นมือไปตัดเชือกป่านที่มัดชายหนุ่มตระกูลหลิวไว้ ยามเชือกขาดก็ได้ยินเสียงกัดฟันดัง “กึด” มาจากชายใบหน้าหย่อนยานผู้นั้น ยิ่งเห็นคนของตนกุมข้อมือร้องครวญอยู่หน้าประตูเขาก็จากไปอย่างไม่เต็มใจ เขาคือชาวฮั่น ในเมื่อมีเหตุผลย่อมไม่ต่อกรกับทหารชาวเซียนเป่ย เหล่าทหารที่ดูแลปกปักรักษาแผ่นดินต้าเว่ยทั้งหกหากไม่ใช่อดีตทาสในเผ่าเซียนเป่ยชั้นสูงก็เป็นลูกหลานของชาวฮั่นจงเอวี๋ยนอันแข็งแกร่ง ได้ยินว่าบิดาของฮัวมู่หลานเป็นทหารที่อพยพมาจากหวยสู้ ยามนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าบุรุษตรงหน้ามีที่มาอย่างไร แต่เห็นฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดา เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ผู้เป็นเลิศย่อมต้องรู้จักดูสถานการณ์ ยังไงเสียต่อให้เกิดอะไรขึ้นตระกูลหลิวก็หนีเขาไม่รอด เฮ่อมู่หลันทิ้งเชือกในมือ ใช้สายตาเย็นชามองชายผู้นั้นกับกลุ่มคนจากไป กฎของโลกนี้ก็คือข่มเหงคนดีหวาดกลัวคนเลว ทุกที่ล้วนเป็นเช่นนี้จะยุคโบราณหรือปัจจุบันก็เหมือนกัน นางควรขอบคุณตัวเองที่มาอยู่ในร่างของฮัวมู่หลานที่แข็งแรงไร้เทียมทานที่สมบูรณ์แบบทั้งบุ๋นและบู๊แถมยังเหลือความทรงจำเอาไว้อีก ไม่อย่างนั้นต่อให้นางจะอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งก็คงทำไม่ได้ เฮ่อมู่หลันช่วยเหลือตระกูลหลิวทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่จึงได้รับคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจจากพวกเขา เดิมเฮ่อมู่หลันมาเพื่อถามไถ่สถานการณ์ของเจ้าหนุ่มตระกูลหลิว มาคราวนี้ดูท่าว่าตระกูลหลิวไม่เพียงไม่เหมาะสม แม้แต่ตัวเจ้าบ่าวยังเป็นเพียงแค่ไก่อ่อนตัวหนึ่งเท่านั้น ตระกูลของเขายามนี้มีปัญหาพัวพันเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สิน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางเป็นเพียงคนที่มาอาศัยร่าง ต่อให้เป็นฮัวมู่หลานเองก็ไม่มีทางชอบผู้ชายคนนี้แน่ นางยืนรับการกราบไหว้คารวะจากชายหนุ่มร่างอ่อนแออยู่ภายในสวน ทั้งรับฟังเรื่องราวคร่าวๆโดยสังเขป เจ้าหนุ่มตระกูลหลิวเป็นบุตรคนเดียว มารดาของเขาสิ้นอายุขัยตอนเขาอายุเก้าขวบ ส่วนฝั่งบิดาที่ไม่ได้แต่งงานใหม่ก็เลี้ยงดูประคับประคองเขาจนเติบใหญ่ ต่อมาป่วยเป็นโรคร้าย เขาเสียเงินทองไปไม่น้อยเพื่อเชิญ “หมอชื่อดัง” มารักษาแต่สุดท้ายบิดาก็ถึงแก่กรรมไปในที่สุด เพราะต้องดูแลบิดาที่ป่วยหนัก จึงไม่มีกำลังพอจะไปปลูกนาด้วยตนเอง บิดาของเขาจึงยกที่นาไร่นั้นให้ญาติที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันเช่ายืม หรือก็คือชายหน้ายานผู้นั้นนั่นล่ะ ผลผลิตออกมาปันสัดส่วนคือฝั่งนั้นได้แปดในสิบส่วน ส่วนเจ้าของที่ได้สองในสิบ นอกจากนี้ค่าเช่ายืมก็ไม่ได้สูงแค่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตก็พอแล้ว หลังจากบิดาถึงแก่กรรมเขาก็ต้องการรับไร่นาแปลงนั้นคืน กลับพบว่าสัญญาเช่ายืมนั้นกลายเป็นสัญญาขายไปเสียแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงสัญญาเช่า ตัวเขาเองไม่นำพายังจูงญาติพี่น้องไปร้องโวยวายเสียหลายครั้ง ชายหน้าย่นผู้นั้นย่อมเตรียมการรอรับมือไว้อยู่แล้ว ในบ้านก็มีผู้ช่วยอยู่ สองบ้านต่อกรกันมาสามสี่ครั้งแต่เจ้าหนุ่มตระกูลหลิวสู้ก็ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ฟากภรรยาทนเสียงทะเลาะไม่ไหวจึงหนีไปเหลือเขาดูแลลูกทั้งสองคนเพียงเดียว ทั้งยังต้องเดินทางไปที่นู่นที่นี่เพื่อร้องเรียนเสาะหาหนทางนำแปลงนาของตนกลับคืน เพียงแต่อีกฝ่ายมีโฉนดสัญญาครบครัน ปีนั้นที่บิดาของเขาทำสัญญาคือสัญญาอะไรแน่ไม่มีใครรู้ชัด คนกลางที่ช่วยทั้งสองทำสัญญาก็ย้ายบ้านไปตั้งนานแล้วไม่มีใครรู้ว่าเขาย้ายไปไหน คนในตระกูลหลิวเคยให้ความช่วยเหลือเขาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็แพ้กลับมาทุกคราเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไร้หนทางแก้ไขสุดท้ายจึงไม่ช่วยอีก “ดังนั้นกล่าวได้ว่าบิดาของเจ้าไม่รู้หนังสือ ตัวเจ้าไม่รู้หนังสือ ทั้งบ้านเจ้าก็ไม่มีใครรู้หนังสืองั้นรึ?” เฮ่อมู่หลันยืนอยู่กลางสวนมองดูบุตรชายและบุตรสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขา โดนเอาเปรียบถึงขั้นนี้แล้วแต่ยังไม่ยอมให้ลูกๆเรียนหนังสือกลับเลี้ยงดูจนปล่อยให้ไปวางเพลิงบ้านผู้อื่นอย่างนั้นเรอะ? “ชาวบ้านอย่างพวกเราต่อให้รู้หนังสือไปก็ไม่ได้ใช้....” คนตระกูลหลิวเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “พวกเราหาใช่ตระกูลสูงส่งอะไร รู้หนังสือก็เป็นขุนนางไม่ได้ ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายมากมาย ไม่สามารถเทียบกับตระกูลขุนนางได้หรอก” เวลานี้ยังไม่มีการสอบจักรวรรดิ ประชาชนทั่วไปรู้หนังสือก็ถือว่าไม่มีประโยชน์จริงดั่งเขาว่านั่นแหละ ‘ดีมาก ทั้งบ้านไม่มีใครรู้หนังสือ’ แม้แต่อักษรสักตัวยังไม่รู้จักยังกล้าลงชื่อในใบสัญญาสุ่มสี่สุ่มห้า พอโดนเอาเปรียบคิดจะใช้กำลังเอาที่คืนเกรงว่าต่อให้รู้ว่าในมืออีกฝ่ายมีโฉนดก็ไม่สน ผลปรากฎว่าแม้แต่ใช้กำลังก็ยังสู้ผู้อื่นไม่ได้ เฮ่อมู่หลันผงกหัวอย่างเข้าใจ “ดังนั้นเจ้าอยากแต่งญาติผู้น้องของข้าเพราะว่านาง...ตีคนเป็นงั้นรึ?” เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเฮ่อมู่หลันจะไม่คิดเช่นนี้ก็ไม่ได้ “ย่อมไม่ใช่เพราะเหตุนั้น! ข้าเพียงแต่คิดว่าสตรีอุปนิสัยเข้มแข็งย่อมไม่ถูกผู้อื่นทำให้ตื่นตกใจได้โดยง่าย หากข้าผู้นี้สอดมือไปถูกเรื่องร้ายเข้าหากแต่บุตรชายและบุตรสาวของข้าสามารถซ่อนอยู่เบื้องหลังของนาง ข้าก็สามารถวางใจได้” ..... ไม่สู้บอกว่านางต่อยตีเก่งยังดีเสียกว่า พูดมากค่อนวัน ที่แท้ก็แค่อยากแต่งฮัวมู่หลานไปเป็นคนคุ้มกันใช่หรือไม่!?
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 2 คนคุ้มกันฮัวมู่หลาน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A