ตอนที่ 4 มู่หลานจับโจร   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 4 มู่หลานจับโจร
ตอนที่ 4 มู่หลานจับโจร บุตรสาวตระกูลอูอิ่นมีความรู้สึกต่อฮัวมู่หลานชนิดที่ทั้งเคารพทั้งหวาดกลัวและทั้งหวาดกลัวทั้งเดียดฉันท์ อารมณ์ความรู้สึกวุ่นวายซับซ้อนตีกันไปหมด ถึงแม้นางไม่ใช่คนเซียนเป่ยแท้ๆ แต่เนื่องจากเซียนเป่ยมีบุรุษเยอะสตรีน้อย ดังนั้นฐานะสตรีจึงได้รับการยกย่อง ทั้งนางยังมีบุรุษมาติดตามอยู่ไม่น้อย ในจำนวนผู้คนมากมายเหล่านั้นคนที่นางเลือกก็คือตระกูลฮัว เหตุผลคือเพราะกิ่งก้านที่แผ่ขยายทางตระกูลฮัวล้วนเป็นทหารและเมื่อยามนี้โอรสสวรรค์สายเลือดเซียนเป่ยก็เป็นกำชัยในศึกสงครามมาหลายปีติดต่อกัน ให้ความสำคัญต่อวิทยายุทธอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ตระกูลฮัวที่อาศัยอยู่ในหวยสู้จึงได้รับความเคารพยิ่งนัก ฝังซื่อจึงยอมแต่งเข้ามา ผลคือเมื่อแต่งเข้ามาแล้วกลับพบว่าสามีบ้านตนไม่อาจเข้าร่วมกองทัพได้ เพราะฮัวหูมีบุตรชายได้เข้าร่วมไปแล้ว ตระกูลจำเป็นต้องเหลือผู้สืบสกุลไว้หนึ่งคน นอกจากนี้กิ่งไม้หลักของตระกูลฮัวล้วนอาศัยอยู่ที่หวยสู้ มีเพียงครอบครัวฝั่งสายนี้เท่านั้นที่จากแผ่นดินหลักมายังตำบลเหลียง กลายเป็นทหารริมเขตชายแดนในหมู่ทหาร ทั้งยังทำหน้าที่ทหารฝ่ายเก็บเกี่ยวเสบียงอย่างเต็มรูปแบบ ชาวเซียนเป่ยให้ความสำคัญกับวีรบุรุษอย่างมาก แม้ลูกชายคนรองตระกูลฮัวยังไม่ส่งข่าวคราวมา แต่ญาติสนิทอย่างฮัวเก้อหู่บางคราก็กลับมาบ้านเดิมเพื่อกระซิบบอกถึงสถานการณ์คร่าวๆช่วงนี้ของ “ฮัวมู่หลาน” ให้ผู้เฒ่าทั้งสองฟัง ตามคำบรรยายของเขา ฮัวมู่หลันก็คือคนประเภท*หนึ่งคนตั้งด่านขวาง หมื่นคนไร้ทางฝ่า มีทั้งสติปัญญาและแผนการครบครันในคนผู้เดียว เป็นบุรุษที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ บางครั้งฝังซื่อเกลียดที่ตนไม่อาจแต่งให้กับฮัวมู่หลานผู้นี้แต่ดันแต่งให้ฮัวมู่โทวสามีคนปัจจุบันของตน มู่หลานในภาษาเซียนเป่ยมีความหมายคือ “อุดมสมบูรณ์” เป็นชื่อคล้ายกับชื่อฮัวฝูกุ้ยหรือหวังฝูกุ้ยของชาวฮั่น สตรีหรือบุรุษล้วนตั้งชื่อเช่นนี้ได้ ชื่อของมู่โทวเสียอีกที่แปลในภาษาเซียนเป่ยได้ว่า “กล้าหาญ” การที่นางแต่งให้กับฮัวมู่โทวถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองชื่อแซ่เสียจริง เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรฝังซื่อก็ไม่เคยคิดว่า “บุตรชายคนรอง” ตระกูลฮัวผู้กล้าในหมู่ทหารทั้งปวงจะกลายเป็นสตรีไปได้ เมื่อปีก่อน “บุตรชายคนรอง” ตระกูลฮัวยอมปลดเกราะหวนสู้ไร่นาทั้งยังมีสหายช่วยนำขบวนขนชุด “จิ่นอีหวนสู่บ้านเกิด” ที่ได้รับประทานจากโอรสสวรรค์อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องซุบซิบซึ่งกล่าวถึงการ “ออกรบแทนบิดา” แพร่ออกมา เวลานั้นฝังซื่อถึงรู้ว่าบุตรชายคนรองที่ตนเคารพบูชากลายเป็นพี่สะใภ้รองไปเสียแล้ว เรื่องนี้ทำลายฝันกลางวันของนางแตกดังโผละ แม้ว่าฮัวมู่หลานยังคงเป็นฮัวมู่หลานคนนั้น แม้ว่ายามเมื่อฮัวมู่หลานกลับมาแล้วกตัญญูต่อบิดามารดามาก มีความรักใคร่ปกป้องน้องชาย แต่พละกำลังที่เต็มเปี่ยมและความห้าวหาญที่เป็นคุณสมบัติของบุรุษเมื่อมาอยู่ในร่างของฮัวมู่หลานแล้วฝังซื่อทำใจยอมรับไม่ได้อย่างแท้จริง เหมือนกับว่าวันหนึ่งคนที่นางบุคคลที่นางเทิดทูนบูชาเดินมาบอกว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น ฝังซื่อไม่รู้ว่าควรแก้ไขความรู้สึกนี้ของตัวเองอย่างไรดี บวกกับเมื่อหลังจากเฮ่อมู่หลันทะลุมิติมาก็กลับมาเริ่มสวมชุดบุรุษอีกครั้งยิ่งทำให้ฝังซื่อที่ในใจมีความรู้สึกเหมือน “ลุงแก่ๆ” กำลังแอบดูฮัวมู่หลานอยู่เสมอมารู้สึกอับอาย ดังนั้นเอกลักษณ์ “ไม่เหมือนสตรี” ของนางล้วนเป็นบาปอย่างหนึ่งที่ทำให้ฝังซื่อยิ่งรู้สึกบิดเบี้ยวไปอีก ทั้งหมดนี้เฮ่อมู่หลันย่อมไม่รู้ . ในสายตานางฝังซื่อก็แค่ภรรยาที่รู้สึกโมโหพี่สะใภ้ที่ชอบใช้ให้สามีของนางทำนั่นทำนี่ให้ก็เท่านั้น ถ้าหากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากเดือดร้อนฮัวเสี่ยวตี้เท่าไหร่นักหรอก ใครใช้ให้พอนางมาถึงที่นี่ก็เป็นเหมือนกับคนตาบอดกันเล่า เฮ่อมู่หลันยกถังน้ำกลับไปสองถัง เดินไปหลังเรือนใช้ผ้านุ่มเช็ดทำความสะอาดอ่างไม้ใบใหญ่ที่อยู่ที่นั่นจากนั้นก็ลากมันเข้ามา นางเทน้ำร้อนลงไปในถังแล้วจึงกลับหันกายกลับออกไปตักน้ำเย็นจากโอ่งเก็บน้ำที่ฮัวเสี่ยวตี้ช่วยเติมให้ด้านนอกสองถังกลับเข้าไป ครั้นเมื่อได้อุณหภูมิพอเหมาะแล้วจึงเปลื้องเสื้อบนร่างเริ่มต้นอาบน้ำ แม้จะกล่าวว่าอาบน้ำแต่แท้จริงแล้วแทบไม่ต่างอะไรกับการอาบน้ำด้วยแช่ ตัวเฮ่อมู่หลันเองสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยไม่เคยอาบน้ำแบบนี้สักครั้ง เมื่อมาถึงที่นี่การแช่น้ำจึงเป็นสิ่งที่นางปรารถนาถึงอย่างมาก นางคาดเดาเอาว่าพวกฮัวเสี่ยวตี้เดือนอาบน้ำไม่ถึงหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ เพราะเส้นผมของพวกเขาตั้งแต่เช้าจรดเย็นล้วนมันเยิ้ม หยวนซื่อค่อนข้างรักสะอาด นางเคยเห็นหยวนซื่อหวีผมหลังอาบน้ำเสร็จด้วย แต่คนอื่น ๆ... มีอยู่ครั้งหนึ่งนางเห็นฝังซื่อใช้ผงแป้งชนิดหนึ่งเทลงบนผมของฮัวเสี่ยวตี้ใช้นิ้วสางให้ละเอียดหนึ่งรอบ รอจนเส้นผมดูดซับน้ำมันก็ค่อยตบๆออก จากนั้นฮัวเสี่ยวตี้ก็ใช้วิธีนี้เรื่อยมา ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากถึงเพียงนั้น ไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่มีบ่อน้ำเสียหน่อย! ต้มน้ำมีอะไรลำบากนักรึ? อย่าบอกนะว่าหาบน้ำถือเป็นเรื่องลำบากเกินไป? อย่างนั้นก็เรียกนางสิ! นางยินดีช่วยพวกเขาอยู่แล้ว แม้แต่ตอนนี้นางยังมีพละกำลังเหลือเฟือเลย! นางเดาเอาว่าที่ถูกฝังซื่อรังเกียจก็เพราะสามสี่วันนางต้องสระผมหนึ่งครั้ง ทั้งฮัวเสี่ยวตี้ก็เป็นคนต้มน้ำเสียทุกรอบไป แม้แต่ฮัวฟู่ฮัวหมู่ยังคิดว่านางพิถีพิถันเกินไป หยวนซื่อถึงขั้นเคยบอกเป็นนัยๆกับนางมารอบหนึ่ง ดังนั้นเฮ่อมู่หลันจึงเปลี่ยนมาเป็นอาบน้ำสระผมหนึ่งสัปดาห์ละครั้ง ดีที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ไม่อย่างนั้นนางคงทนตัวเองไม่ได้แน่ๆ มีแค่บางครั้งที่นางรู้สึกเส้นผมสกปรกจนดูไม่ได้จึงค่อยสวมหมวกหนังของเซียนเป่ยเพื่อปิดบัง ในห้องนอน เฮ่อมู่หลันกำลังแช่น้ำพลางใช้ผ้าเนื้อหยาบขัดถูตามร่างกาย พอเห็นร่างกายที่สวยงามเต็มไปด้วยพละกำลังของฮัวมู่หลานก็อดถอนใจอย่างชื่นชมออกมาไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะทางกายภาพของบุรุษและสตรีมีความแตกต่างกัน บางทีอาจเป็นเพราะที่ฮัวมู่หลานฝึกอยู่สม่ำเสมอเป็นออกกำลังกายแบบ ‘แอโรบิก’ ไม่ใช่แบบ ‘ฝึกอาวุธ’ ดังนั้นกล้ามเนื้อของนางจึงมีเส้นกล้ามที่มีการเฉลี่ยตัวลงตัวสวยงาม ทุกมัดกล้ามเนื้อต่างดูแข็งแรงแต่ไม่ถึงขั้นปรากฎเส้นเลือดชวนขวัญเสียแบบนั้น เพราะหลายปีมานี้นางอยู่ที่ทะเลทรายที่ตั้งอยู่เขตนอกของโม่เป่ยได้รับทั้งลมทั้งแดดมานาน สีผิวแน่นอนว่าต้องไม่ละเอียดมาก สีผิวยามนี้ใกล้เคียงกับสีแทนเปลือกข้าว แต่สีผิวแบบนี้ก็เข้ากันได้ดีกับร่างกายที่มีกล้ามเนื้อเช่นนี้แล้ว แต่ว่า หน้าอกล่ะ.... เรื่องนั้น... ... กล้ามเนื้อท้องของฮัวมู่หลานสวยจริงๆ ยังมีกล้ามเป็นรูปเลขสิบเอ็ดอาราบิกอีกด้วย เหอๆๆๆๆๆๆ บนกล้ามเนื้อลำสั่นสวยงามของร่างนี้ยังมียังมีบาดแผลมากมาย วัดจากร่องรอยของบาดคาดว่าคงผ่านมานานมากแล้ว หรืออย่างน้อย ๆประมาณสี่ห้าปีที่ผ่านมานี้ฮัวมู่หลานก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลย แต่ลองคิดอีกทีตอนที่เข้าไปเป็นทหารผู้น้อยแรกๆย่อมต้องได้รับบาดเจ็บแน่ ฮัวมู่หลานเป็นทหารม้า พอได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นย่อมต้องมีคนในปกครองที่มีทั้งบุ๋นและบู๊สมบูรณ์แบบ ดังนั้นเหตุที่ต้องรับบาดเจ็บก็น้อยลงตาไปด้วย อีกอย่างเพราะเป็นสตรีจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เฮ่อมู่หลันใช้ผ้าเช็ดบริเวณซี่โครง ไหล่รวมไปถึงจุดที่เคยมีบาดแผลอย่างปวดใจ ด้านหนึ่งก็สงสัยว่านางได้รับบาดเจ็บมากมายขนาดนี้ทำอย่างไรถึงปิดบังฐานะของตัวเองต่อหน้าผู้คนตั้งมากมายได้ อีกด้านก็คิดว่าที่นางยอมขายแรงกายเช่นนี้ก็เพราะคอยจ้องโอกาสหาทางออกจากกองทัพแต่ก็ไม่สามารถบอกให้ใครเข้าใจถึงความคิดนี้ได้ วีรบุรุษก็คือวีรบุรุษ ถ้าหากคนทั่วไปเข้าใจฮัวมู่หลานก็คงไม่ใช่วีรสตรีหญิงแล้วล่ะ ตอนที่เฮ่อมู่หลันกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นมือก็ขยับเช็ดถูร่างกายไปพลางก็ได้ยินเสียง “ตึงตัง” หนักๆดังมาจากไหนไม่รู้ ฉับพลันนั้นตัวของเฮ่อมู่หลันก็แข็งค้างกลั้นหายใจรอฟังใหม่ชัดๆ รอจนแน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากคลังเก็บสมบัติเฮ่อมู่หลันก็อดเผยรอยยิ้มเย็นออกมาไม่ได้ รีบเช็ดกายให้แห้ง คว้าชุดกางเกงสีขาวมาสวมอย่างลวกๆ กำกำปั้นขึ้นมาจนเกิดเป็นเสียงกร๊อบแกร๊บจากนั้นก็อ้อมจากเรือนนอนตัวเองไปยังคลังเก็บสมบัติ หัวขโมยเหล่านี้เกรงว่าคงไม่ทราบว่าคลังเก็บสมบัติอยู่ติดกับเรือนของฮัวมู่หลาน ทั้งตอนที่นางอาศัยอยู่ในกองทัพมาหลายปีก็ฝึกระวังภัยมานานแทบจะเรียกได้ว่าชั้นหนึ่งทีเดียว ทำให้ต่อให้จะเป็นเสียงลมพัดใบหญ้าเบาๆก็สามารถปลุกให้นางตื่นได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้าพวกหัวขโมยพวกนี้ที่ทำเสียงดังเอะอะซะใหญ่โตเลย สมควรตาย หัวขโมยกลุ่มนี้กล้ามาย่ำเล่นที่สวนบ้านนางสามสี่รอบได้แล้วกระมัง! ก่อนหน้านี้ที่จับได้เป็นเพราะนางออกจากบ้านตอนเช้าไปสำรวจดูเลยทำพวกนั้นตกใจหายกระเจิงไปจนหมด เหลือทิ้งไว้แต่หนังสือแสดงตนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “นักพเนจรตำบลเหลียง” ตอนที่ฮัวมู่หลานกลับมายังหมู่บ้านก็ได้นำเอารางวัลที่ฮ่องเต้โถ้ป๋าทาวประทานให้กลับมาด้วย ในยุคเป่ยเว่ยตอนต้น เมืองและตำบลเล็ก ๆ แถบภาคใต้นั้นยังไม่มีการใช้เหรียญกษาปณ์หรือของจำพวกเงินทองแดงเหล่านี้ ส่วนมากนิยมใช้ผ้าแพรธัญพืชในการแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นส่วนใหญ่ ชาวฮั่นด้วยกันยามซื้อของล้ำค่านิยมใช้ทองเป็นของแลกเปลี่ยน ดังนั้นเมื่อฮัวมู่หลานกับสหายร่วมสมรภูมิรบของนางขนของมากลับมาย่อมต้องเตะตาคนมากมาย ที่นี่มีนักพเนจรอยู่ไม่น้อย สมัยนี้ยังไม่มีธนาคาร แล้วก็ไม่มีตู้นิรภัย ฮัวมู่หลานที่ขนของมากมายพวกนี้กลับมาจึงทำได้เพียงวางมันไว้ที่บ้าน ตอนหลังมีการซ่อมแซมห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่งนางจึงเสนอความคิดให้สร้างให้เป็นห้องที่แข็งแรงขึ้นแล้วก็ล็อกด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่สี่ห้าตัวเอาไว้สำหรับเป็นที่เก็บของ ที่จริงแล้วข้างในคลังสมบัตินั้นมีแต่พวกเมล็ดธัญพืชเท่านั้น ส่วนของล้ำค่านางได้ย้ายไปเก็บไว้ใต้เตียงอุ่นที่ห้องตัวเองตั้งนานแล้ว เหล่านักพเนจรในสมัยนี้กับ “หัวขโมย” ในนิยายยุคหลังจากนี้ไม่ค่อยเหมือนสักเท่าไหร่ พวกเขาบ้างมาเพื่อขโมยของ บ้างมาเพื่อลอบสังหาร แล้วก็มีบ้างบางกลุ่มที่รับเงินไปเพื่อช่วยเหลือผู้ลำบาก มีกลิ่นอายคล้ายพวกมาเฟีย หัวขโมยพวกนี้มีตั้งแต่รวมกลุ่มเป็นสำนัก แล้วมีที่ทำงานคนเดียวด้วยเช่นกัน คนเหล่านี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาถึงก็ฆ่าคนก็มี พบเจอได้มากแถบภาคเหนือ ชุมชนที่ชาวเซียนเป่ยกับชาวฮั่นอาศัยอยู่ร่วมกันในสมัยต้าเว่ย นักพเนจรส่วนมากจะเป็นชาวฮั่น มีบางคนที่มองชาวเซียนเป่ยเป็นศัตรู มุ่งเป้าที่ชาวเซียนเป่ยโดยเฉพาะ ทั้งขโมยของและฆ่าคน ถูกนับถือว่าเป็น “ผู้กล้า” เกรงว่าคนเหล่านี้คงเห็นฮัวมู่หลานเป็นแค่สตรีเพศอ่อนแอผู้หนึ่งอีกทั้งยังเป็นชาวเซียนเป่ย จึงมาเพื่อ “ปล้นคนรวยช่วยคนจน” ส่วนที่ปล้นไปเอาไปช่วยคนจนจริงรึไม่เรื่องก็ไม่อาจรู้ได้ เดาเอาว่าคนพวกนี้คงจ้องนางมานานแล้ว พอเห็นนางหาบน้ำกลับเข้าไปอาบจึงฉวยโอกาสนี้เข้ามาก่อเหตุ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าประสาทหูของฮัวมู่หลานอ่อนไหวเพียงใด แล้วก็คิดไม่ถึงว่าเฮ่อมู่หลันที่สวมชุดออกมาลวกๆออกมาทั้งอย่างนั้นไม่ได้รู้สึกอับอายอะไรเลยสักนิด กลับกันยังทำให้เร็วขึ้นมากอีกด้วย มากไปกว่านั้นคลังสมบัติกับเรือนนอนยังเชื่อมกัน แค่ภายนอกดูเหมือนเป็นคนละห้อง พวกเขาคงล้วนคิดไม่ถึงข้อนี้แน่ เฮ่อมู่หลันเดินผ่านห้องนอนไปยังห้องสมบัติ ยืนใบหน้าไร้ความรู้สึกภายในห้อง รอกลุ่มขโมยที่เรียกตัวเองว่า “นักพเนจร” ใช้ชะแลงหรือทักษะสะเดาะกุญแจเปิดประตูใหญ่คลังสมบัติของนาง ด้านหลังนางมีกล่องใบใหญ่อยู่เจ็ดใบเบียดกันแน่นอยู่ในห้อง ในกล่องมีพับผ้าที่เคยตัดออกมาทำเป็นเสื้อแล้วเก็บไว้อยู่หลายพับ แล้วก็ยังมีธัญพืชจำนวนหนึ่ง ตอนนี้เป็นต้นฤดูหนาวสวมแค่ชุดตัวเดียวเฮ่อมู่หลันจึงรู้สึกหนาวขึ้นมา ทั้งยังพ่วงอารมณ์เบื่อหน่ายอีกด้วย นางเป็นหมอนิติเวชทำงานอยู่ในหน่วยอาชญากรรม เห็นผู้ต้องหาที่สถานีตำรวจมาหลายรูปแบบ มีหัวหน้าขโมยบางคนใช้เวลาแค่สามสี่วินาทีก็สามารถสะเดาะกุญแจประตูกันขโมยได้แล้ว เพราะงั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแม่กุญแจง่ายๆในยุคโบราณแบบนี้เลย ผลคือนางรอ*จับตะพาบในไหมาหลายนาทีแล้วแต่เจ้าหัวขโมยเฮงซวยพวกนั้นยังวุ่นวายอยู่ที่หน้าประตูอยู่เลย “นักพเนจร” อะไรกัน เรียกเสียดูดีเชียว! แค่แม่กุญแจอันเดียวยังเปิดไม่ได้ ผ่านไปราวห้านาทีแม่กุญแจทั้งหมดก็ถูกปลดออกในที่สุด ประตูคลังสมบัติอ้าออกเล็กน้อย เฮ่อมู่หลันยืนซ่อนอยู่ตรงตำแหน่งที่มีเงาทับซ้อน คาดว่าชายร่างผอมชาวฮั่นที่เป็นหัวหน้าคนนั้นคงไม่ทันเห็นนาง เขาแอบย่องเข้ามาภายใน ส่วนด้านนอกมีเงารางๆสามารถดูออกว่ายังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีก ไม่ว่าใครก็ย่อมดูออกว่าของที่ล้ำค่าที่สุดในห้องนี้คือกล่องพวกนั้น หลังจากชายร่างผอมเข้ามาในห้องก็กวาดสายตามองรอบหนึ่งจากนั้นก็เรียกให้พวกที่เหลือตามเข้ามา กลุ่มคนสี่ห้าคนโห่ร้องเบาๆอย่างยินดีจากนั้นก็รีบพุ่งตัวไปยังข้างกล่อง รอจนพวกเขาลงมือเคลื่อนย้ายกลับพบว่าแม้แต่กล่องที่เล็กที่สุดก็ยังไม่ยอมขยับ ภายในห้องที่ปกคลุมด้วยความมืดจนมองไม่เห็นนิ้วมือของตัวเองเช่นนี้ แน่นอนว่าคนมาขโมยของบ้านผู้อื่นอย่างพวกเขาย่อมไม่กล้าจุดไฟให้ความสว่างมั่วซั่ว คนห้าคนช่วยกันยกกล่องที่ใหญ่ที่สุดเป็นกล่องแรกเมื่อพบว่าไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันได้ก็ร้องประโยค “แปลกๆ” ออกมาประโยคหนึ่งจากนั้นก็เปลี่ยนจุดหมายไปยังกล่องที่เล็กที่สุด เฮ่อมู่หลันยืนอยู่ด้านหลังกล่องพวกนั้น พอพวกเขาคิดจะขนใบไหนนางก็จะยื่นมือไปกดกล่องนั้นไว้ ร่างนี้ของฮัวมู่หลานแน่นอนว่าต้องมีความมหัศจรรย์จำพวกมีพละพลังมากแตกต่างจากคนทั่วไป ขอแค่นางใช้มือกดกล่องเอาไว้แม้แต่แรงของบุรุษวัยฉกรรจ์ห้าคนก็ไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้ คนเหล่านั้นลองหลายๆครั้งเข้าในใจก็เริ่มเกิดความกลัว ชายร่างผอมผู้นั้นคลับคล้ายว่าตนเห็นอะไรบางอย่างก็เอ่ยเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา “พี่พี่พี่พี่พี่พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เมื่อเมื่อเมื่อเมื่อกี้ข้าว่าเหมือนเหมือนเหมือนเห็นมือคน...” “เจ้าเจ้าเจ้าเจ้าอย่าอย่าอย่าทำให้กลัว...” พี่ใหญ่ฟันบนล่างกระทบกันดังกึกๆ “พวกพวกพวกพวกเรางัดงัดงัดกุญแจเข้ามา เจ้าฮัวฮัวฮัวผู้นั้นกำลังอาบน้ำอยู่...” “แต่ข้าข้าเห็นมีมีมีมีคนจริงจริงจริงนะนะนะนะ....” เฮ่อมู่หลันยืนอยู่ตรงมุมขวาของพวกเขา ได้ยินพวกเขาเดี๋ยวเอ่ยถึงมือเดี๋ยวเอ่ยตัวคนก็กลั้นขำเสียจนปวดท้องไปหมด นางเอื้อมไปยีผมตัวเองให้ยุ่งเล็กน้อยจากนั้นก็ย้ายไปยืนตัวตรงอยู่ข้างๆกล่อง มองดูพวกเขาหูหนวกตาบอดปลุกปั่นกันต่อไป “พี่พี่พี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าฮัวมู่หลานสังหารคนมาไม่น้อย หรือว่ากล่องจะของของของของไม่สะอาด...” เขาด้านหนึ่งพูดด้านดึงคบไฟออกมากจากอกเสื้อ “อย่างอย่างไรเสียพวกเราก็ก็ก็ก็ย้ายของพวกพวกพวกนี้ไม่ได้ ไม่สู้เปิดเปิดเปิดดูดีกว่า ไม่แน่ว่าเพราะของข้างในเยอะจึงหนักหนักหนักหนักถึงเพียงนี้....” “จุดจุดจุดจุดจุดฟะไฟ...” หัวขโมยพวกนั้นสุมปรึกษากันเสร็จ คนผู้หนึ่งที่ผอมที่สุดในกลุ่มก็ดึงจุกคบเพลิงออก ส่วนอีกคนก็นำก้อนหินไฟออกมาตีกระทบกันจนเกิดเป็นประกายไฟจากนั้นก็ดึงคบเพลิงเข้าไปจุด พอเปลวไฟสะเก็ดเล็กๆ สว่างวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง ทุกคนที่อยู่ในนั้นก็สังเกตเห็นร่างร่างหนึ่งในชุดสีขาวตลอดทั้งตัว เส้นผมยาวพันกันยุ่งเหยิง “พี่พี่พี่พี่พี่พี่....ข้าข้าข้า...” “อย่าพูดมาก ต้องเป็นเพราะตาฝาดแน่!” หัวหน้าขโมยสกัดความกลัวเอาไว้ “รีบจุดไฟ!” คนมากขนาดนี้ยังตาฝาดพร้อมกันได้อีกงั้นเรอะ? คนที่เหลือสบตากันอลหม่าน ขืนร่างสั่นเทาราวกับใบไม้ต้องลมของตัวเองกลับไปจุดไฟต่อ พับ พับพับ ไม่รู้ว่าจะทำแบบไปกี่ครั้งแต่ในที่สุดคบเพลิงก็จุดไฟติดได้ในที่สุด เฮ่อมู่หลันกระทำการแล้วย่อมต้องทำอย่างถึงที่สุด นางแลบลิ้นยาวออกมา “ผี! มีผี!” “ผีผู้หญิงงงงงงงงง!” โจรห้าคนตื่นตระหนกกลัวจนไม่แม้แต่จะเปิดประตูก็วิ่งออกไป!
已经是最新一章了
加载中