ตอนที่ 5 มู่หลานทำคดี
1/
ตอนที่ 5 มู่หลานทำคดี
ยอดหญิงฮัวมู่หลาน
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 5 มู่หลานทำคดี
ตอนที่ 5 มู่หลานทำคดี “มู่หลาน เมื่อคืนกลุ่มคนพวกนั้นมาอีกแล้วงั้นรึ?” หยวนซื่อถามเฮ่อมู่หลันที่นั่งกินโจ๊กอยู่อย่างกังวล “หากอย่างไรเจ้าก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนเดียวกันกับพวกเราเถิด” “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ก็แค่กลุ่มคนโง่เขลากลุ่มหนึ่งเท่านั้น” เฮ่อมู่หลันส่ายศีรษะ เพียงแค่คิดถึงเจ้าพวก “กลุ่มนักพเนจร” เมื่อคืนก็อดหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ! ดูท่าพวกเขาคงไม่กล้ามาอีกแล้วกระมัง! หากยังกล้ามาอีกคราวนี้จะให้เจอผีผู้หญิงพลังช้างแบกกล่องจริงๆด้วย! “เจ้าอยู่คนเดียวไม่ปลอดภัยจริงๆ” หยวนซื่อถอนหายใจ “อย่างนั้นพวกท่านกับข้าย้ายกลับหวยสู้กันดีรึไม่?” เมื่อก่อนฮัวมู่หลันก็คิดอยากให้ทั้งครอบครัวกลับไปอาศัยที่หกแคว้น เขตหกแค้วนมีชาวเซียนเป่ยอาศัยอยู่เยอะทั้งยังมีเพื่อนของนางเต็มไปหมด เทียบกับตำบลเหลียงแล้วที่นั่นยังเหมาะให้สตรีที่มีประสบการณ์พิเศษอย่างนางอยู่อาศัยเสียมากกว่า ถึงแม้ว่าฮัวฟู่เป็นทหารพลเรือน เวลานี้ถูกสั่งให้มาอยู่ตำบลเหลียงเพื่อดูแลปลูกเสบียงส่งกับให้กองทัพ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเสียเงินจ้างให้ผู้อื่นมาไถนาให้ ฮัวฟู่กระแทกไม้เท้าเอ่ยด้วยเสียงเข้มงวดว่า “โอรสสวรรค์ส่งข้ามาดูแลที่นี่ ข้าก็ต้องดูแลพืชพันธุ์เหล่านั้นให้ดี! เมืองผิงนั้นขาดแคลนเสบียงอาหาร พวกเราเหล่าทหารเฒ่าแม้จะป่วย อ่อนแอหรือบ้างพิการไม่อาจคุ้มครองอยู่ข้างกายพระองค์ หากแต่สามารถส่งอาหารไปให้พวกเขาได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว! หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมาเพาะปลูก ข้าไม่วางใจ!” แต่ท่านก็ไม่ใช่คนลงมือปลูกนี่นา เป็นฮัวเสี่ยวตี้ปลูกต่างหาก! เฮ่อมู่หลันแอบวิจารณ์ในใจ รับประทานอาหารเสร็จเฮ่อมู่หลันก็ดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดปาก หยวนซื่อที่เห็นนางใช้ผ้าเนื้อดีมาทำเป็นของใช้เช่นนั้นก็รู้สึกเสียดาย ในแผ่นดินต้าเว่ยต้นฝ้ายนั้นถือเป็นของหายาก ผ้าชนิดนี้มีแค่ชาวฮั่นทางใต้เท่านั้นที่มีไว้ในครอบครอง ไหมและผ้าฝ้ายในต้าเว่ยถือเป็นของมีมูลค่าสูง แค่ผ้าฝ้ายชิ้นเล็ก ๆก็สามารถแลกไข่ไก่ได้มากมาย เฮ่อมู่หลันใช้ทิชชู่จนเคยชิน แต่ที่นี่ไม่ของอย่างนั้นแม้แต่ผ้าฝ้ายก็ไม่มี มีแต่ผ้าที่มีเนื้อหยาบหนา เสื้อผ้าในฤดูหนาวก็เป็นเสื้อขนสัตว์ไม่ใช่เสื้อบุฝ้าย ถึงฤดูหนาวทีไรวันคืนก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเลสุดๆ เฮ่อมู่หลันก้มๆเงยๆสำรวจของปูนบำเหน็จที่ฮัวมู่หลานได้รับประทานมา นางเลือกผ้าฝ้ายมาชิ้นหนึ่งนำมาตัดมาทำเป็นผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดหน้าที่นางต้องการไม่จำเป็นต้องปักลายปักดอกไม้ ขอเพียงซับน้ำได้ก็ใช้ได้แล้ว ใช้เสร็จก็ซัก ไม่ถือว่าเสียของ ในยุคปัจจุบันเงินสิบหยวนสามารถซื้อผ้าฝ้ายได้หนึ่งท่อน หากเมื่อมาถึงที่นี่กลายเป็นว่าใช้สิ่งของเช่นนี้เช็ดปากนับเป็นเรื่องสิ้นเปลือง ดีที่ครอบครัวของฮัวมู่หลานต่างก็ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องทรัพย์สินของนางเลย นางอยากจะนำมันมาทำอะไรไม่มีผู้ใดว่า เพียงแค่บางครั้งยามรู้สึกเสียดายก็จะปรากฎขึ้นบนสีหน้าบ้างเป็นครั้งคราว พวกเขาล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ ในใจคิดอย่างไรบนหน้าก็ปรากฎสิ่งนั้นแค่ดูก็รู้ได้ เฮ่อมู่หลันผลักถ้วยตรงหน้าออก ทุกวันนี้นางกินข้าวซู่หมี่สามมื้อต่อวัน รสชาติแย่จนนางสาปแช่งเสียไม่มีชิ้นนี้ หากไม่ใช่เพราะยังมีเนื้อแห้งกับอาหารอย่างอื่นที่รสชาติพอไปวัดไปวาได้นางก็จะไม่เลือกกิน แต่กินแค่ธัญพืชเช่นนี้เพียงอย่างเดียวนางรับไม่ไหวจริงๆ กินอะไรไม่ค่อยได้ก็มีผลดีอย่างหนึ่ง วันนี้เฮ่อมู่หลันยังคงแต่งกายเป็นบุรุษเหมือนเช่นเคย นางไม่ชินกับการใส่กระโปรงของฮัวมู่หลาน แม้ว่าชุดแต่งกายของสตรีชาวเซียนเป่ยบริเวณเเขนเสื้อกับช่วงเอวจะแคบไม่ทำให้รู้สึกรุ่มร่าม แต่เพราะไม่มีกางเกงในให้ใส่ ด้านล่างจึงรู้สึกโหวงๆ ยามกระโปรงเลิกขึ้นมาข้างบนก็มักรู้สึกไม่สบาย ดังนั้นนางจึงเลือกใส่กางเกงมีรอยจีบของบุรุษมาตลอด นอกจากนี้นางยังไม่ยอมแต่งหน้าแต้มรูปดอกไม้บนหน้าผากด้วย สตรีชาวเซียนเป่ยมากมายส่วนมากมักมีผิวขาว การทาแก้มทั้งสองข้าง หวีผมมัดเป็นมวยสูงต่างก็เป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาแต่เดิม หากสตรีผิวขาวชาวเซียนเป่ยแต่งกายเช่นนี้ย่อมต้องสวยงามน่าดูชม ฝังซื่อก็แต่งกายเช่นนี้ นางก็ไม่รู้สึกว่าผิดแปลกตรงไหน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งหยวนซื่อนึกสนุกช่วยแต่งหน้าแต่งกายแบบสตรีเซียนเป่ยให้เฮ่อมู่หลัน เฮ่อมู่หลันลองส่องกระจกดูพบว่ากระจกไม่ชัดใสจึงมองไม่เห็นหน้า ดังนั้นจึงดูไม่ออกว่าดีหรือไม่ มีแค่ความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกถูกเท่านั้น แต่รอจนนางเดินผ่านโอ่งใส่น้ำเห็นรูปโฉมตัวเองชัดๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางแววตาคาดหวังของหยวนซื่อนางก็จำต้องอดทนยอมกลืนคำว่า “อัปลักษณ์” ลงท้องตัวเองไป จากนั้นมานางก็ไม่เคยแต่งหน้าทาปากอีกเลย ฮัวมู่หลานมีหน้าตาคล้ายเด็กเลือดผสม แต่ก็ถูกจัดอยู่ในหมวดเข้มแข็งห้าวหาญ ผิวของนางไม่ได้รักษาให้กลับมาขาวสะอาด ดังนั้นพอทาแก้มสีแดงทั้งสองข้างและวาดรูปดอกกลางหน้าผากแล้ว... นางเชื่อว่าครั้งหนึ่งฮัวมู่หลานยามแต่งกายเช่นนี้ย่อมต้องดูดีไม่น้อย แต่นั่นก็จำกัดอยู่ที่ช่วงอายุสิบกว่าขวบสมัยที่ผิวยังขาวนุ่ม ร่างสูงเพรียวเท่านั้น มาวันนี้เล่า ช่าง... รู้สึกเข้าใจคำกว่าที่ว่า “ออกบ้านพบสหาย สหายตื่นตระหนก” เลย ที่จริงแล้วผิวหน้าเปลือยของฮัวมู่หลานนั้นยังดูดีกว่า บางครั้งนางก็สวมกระโปรง*หูฉวิ๋นจากนั้นก็เปลือยใบหน้าเดินร่อนไปร่อนมาในเรือนช่วยปลอบขวัญหัวคิ้วทั้งสองข้างของหยวนซื่อที่ขมวดเข้าหากันแทบจะบีบแมลงตายอยู่แล้ว สรุปคือครอบครัวของฮัวมู่หลานเป็นคนดีซื่อสัตย์สุจริต เฮ่อมู่หลันไม่อยากทำให้พวกเขาลำบากใจ ตอนที่เฮ่อมู่หลันทานอาหารเสร็จกำลังจะจากไป “โถวเหริน” ตำบลเหลียงกับหัวหน้าหมู่บ้านหลิวจี๋ก็มาเยี่ยมเยือนกะทันหัน ก่อให้เกิดความวุ่นวายเล็กๆภายในตระกูลฮัว “โถวเหริน” ที่เอ่ยถึงนั้นก็คือคนที่รับผิดชอบดูแลคนป่าชาวเซียนเป่ยเหมือนกับที่หัวหน้าหมู่บ้านของชาวฮั่นนั่นล่ะ เพราะชาวเซียนเป่ยในท้องที่บ้างก็มีคุณธรรมบ้างก็เป็นผู้มีความดีความชอบในการรบ ในต้าเว่ยชาวเซียนเป่ยและชาวฮั่นอาศัยอยู่ปะปนกัน จะหัวหน้าหมู่บ้านหรือโถวเหรินต่างก็มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่ของตนทั้งคู่ เมื่อเช้านี้หัวหน้าหมู่บ้านหมู่บ้านหลิวจี๋มาหาเขาก็เพราะเจ้าหนุ่มตระกูลหลิวที่ตายเมื่อวานได้มีเรื่องวิวาทกับหลิวเหมิ่ง ซึ่งตอนนั้นฮัวเก้อหู่ญาติผู้พี่ของฮัวมู่หลานก็อยู่ที่นั่นด้วย จึงอยากของให้เขาไปสอบถามเรื่องราว บุตรชายของ “โถวเหริน” ผู้นี้เคยเป็นผู้ใต้บัญชาของฮัวมู่หลาน ครั้นได้ยินว่าข่าวนี้ลามไปถึงตระกูลฮัวจึงรีบขี่ม้าตามหัวหน้าหมู่บ้านมาที่นี่ด้วย “ท่านนี้ก็คือใต้เท้าฮัวกระมัง?” ฮัวเก้อหู่รับตำแหน่งเป็นจวินจื๋อ เฮ่อมู่หลันแต่งชุดบุรุษเซียนเป่ยทั้งตัวทั้งยังมีกลิ่นอายต่างจากคนทั่วไป หัวหน้าหมู่บ้านหลิวจี๋เห็นดังนั้นจึงตรงไป “รายงานตัว” กับนางเป็นคนแรก เขาค้อมคารวะอย่างกระตือรือร้น “เหล่าสิ่วคือหัวหน้าเขตปกครองหลิวซุ่น ทุกคนต่างเรียกข้าว่าตาแก่หลิว วันนี้เหล่าสิ่วมาที่นี่.....” “แม่ทัพฮัว หลิวอวี๋อันที่มาสู่ขอบ้านท่านเมื่อเช้านี้ถูกพบว่าเป็นศพอยู่ในสวนของบ้านตระกูลหลิวเหมิง” โถวเหรินชาวเซียนเป่ยที่เป็นคนพื้นที่เคยต้อนรับขบวนของฮัวมู่หลานมองปราดเดียวย่อมรู้ว่า “ฮัวเก้อหู่” ผู้นี้คือใคร เขาสรุปเรื่องราวคร่าวๆที่เกิดขึ้นเมื่อวานก้มตัวย่อเข่าติดพื้นก้มศีรษะรายงานอย่างเคารพ ยามฮัวมู่หลานอยู่ในหมู่ทหารนางจะมีลักษณะอันน่าเกรงขามของขุนพล ประชาชนที่อยู่ที่นี่รู้จักเพียงนามแต่ไม่รู้จักตัวคน นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวเล่าขานที่ไม่น่าฟังอีกด้วย แต่อย่างไรเสียขุนนางท้องถิ่นที่นี่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนนาง “พวกเจ้ามาขอนางที่พบบ้านข้า เพื่ออะไรอย่างนั้นรึ?” ฮัวฟู่ใช้ไม้เท้าพยุงตัวขึ้น ขมวดหัวคิ้วเอ่ยถามว่า “เมื่อวานเขาก็ไปตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่มาสู่ขอ เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเจ้าจะคิดว่าเขาคือฆาตกร?” “ย่อมมิใช่เช่นนั้น นายท่านฮัวยังไม่ทราบ ศพของหลิวอวี๋อันที่ตายในบ้านของตระกูลหลิวเหมิ่งทั่วทั้งร่างมีบาดแผลกระจายอยู่สิบกว่าแห่ง ตายอย่างน่าเวทนายิ่งนัก กริชที่ใช้ทำร้ายก็ถูกพบอยู่ในโอ่งเก็บน้ำตระกูลหลิวเหมิ่ง แต่เจ้าหลิวเหมิ่งผู้นี้ยืนยันว่าตนไม่รู้เห็น บอกว่าเมื่อวานตั้งแต่บ่ายลงไปตนก็ได้รามือมิได้สร้างความลำบากหลิวอวี๋อันอีก...” ตาแก่หลิวถอนหายใจลึก “เดิมทีเชื่อว่าหลิวเหมิ่งฆ่าคน จะกล่าวว่าแปลกก็แปลกตรงที่เพื่อนบ้านรอบข้างของหลิวเหมิ่งต่างก็พูดว่าไม่มีใครเห็นเขาออกไปก่อเรื่องแล้วก็ไม่ได้จับตัวหลิวอวี๋อันกลับมา ยิ่งกว่านั้นคือไม่เห็นแม้แต่เงาของหลิวอวี๋อัน” เฮ่อมู่หลันเริ่มวิเคราะห์ในใจเงียบๆ แต่ปกติสังหารคนย่อมต้องมูลเหตุ หลิวเหมิ่งหลอกขโมยเอาสมบัติรธุรกิจจากตระกูลของหลิวอวี๋อัน ยามนี้ของก็อยู่ในมือแล้วจึงสามารถตัดมูลเหตุในหารฆ่าไปได้ หากจะเอ่ยว่าเพราะมีความขัดแย้งจนพลั้งมือฆ่าคน แต่บาดแผลก็มีตั้งสิบกว่าแผล นอกจากนี้หากทะเลาะกันจริงเพื่อนบ้านรอบข้างจะไม่ได้ยินเลยนั้นเป็นไปได้กระนั้นรึ? ที่อยู่อาศัยของชาวฮั่นกับชาวเซียนเป่ยไปไม่เหมือนกัน ชาวฮั่นมีเพื่อนบ้านอยู่ร่วมกันมากจะตาย ดังนั้นเหตุผลนี้ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าเค้า “เมื่อวานตอนบ่ายหลิวเหมิ่งมาหาเรื่อง หลิวอวี๋อันกังวลอีกฝ่ายจะก่อเรื่องจึงนำตัวบุตรทั้งคนของตนไปฝากไว้กับบ้านญาติที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แม้แต่เรื่องนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ เรื่องราวมีกลิ่นแปลกๆถึงเพียงนี้เหล่าซิ่วจึงอยากสอบถามใต้เท้าฮัวว่าได้พบเจอเรื่องอื่นพิเศษที่นอกเหนือไปจากนี้รึไม่...” “ข้ารู้แล้ว” เฮ่อมู่หลันผงกศีรษะ “แล้วปัจจุบันศพหลิวอวี๋อันอยู่ที่ใดกัน?” “ยังอยู่ที่สวนในบ้าน หลิวเหมิ่งรอเจ้าหน้าที่สืบสวนประจำเมืองอวี๋มา ยามนี้ยังไม่มีผู้ใดไปขยับศพขอรับ ” “เมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีข้าควรจะต้องไปสำรวจที่เกิดเหตุกับท่านสักรอบกระมัง” “มู่...เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่!” หยวนซื่อจับแขนเสื้อบุตรสาวอย่างร้อนรน “ในเมื่อตาแก่หลิวมาเพื่อสอบถามเรื่องเมื่อวาน เจ้าบอกเขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว เจ้าหนุ่มตระกูลหลิวสู่ขอเจ้าไม่สำเร็จก็นับว่าไร้วาสนาต่อกัน เหตุใดเจ้าต้องกระโดดลงกลางเรื่องวุ่นวายเช่นนี้! เจ้าไม่ใช่ขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องนี้หากไปที่เกิดเหตุเจ้าจะสามารถดูอะไรได้ คนก็ตายไปแล้วจะบอกอะไรเจ้าได้?” ฮัวมู่หลันฝืนยิ้มออกมา นางไม่มีทางอธิบายได้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะจรรยาบรรณในอาชีพของตน สำหรับนางคดีเล็กๆแบบนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องซับซ้อนอะไรเลย “อาหมู่ คนตายสามารถเอ่ยถ้อยคำได้จริงๆนะเจ้าคะ” หยวนซื่อตกใจกลัว ไม่ทราบว่าบุตรสาวเอ่ยถึงอะไร เฮ่อมู่หลันฉวยจังหวะนั้นดึงแขนเสื้อขึ้น ก้าวถอยหลังไปสามก้าวคุกเข่าลงต่อหน้าหยวนซื่อและฮัวฟู่เพื่อแสดงการขอขมาจากนั้นจึงลุกขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับออกไป หัวหน้าหมู่บ้านหลิวเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วทั้งยังได้ยินเฮ่อมู่หลันเรียกหยวนซื่อว่า “อาหมู่” ในใจคิดอะไรไม่ทราบทำเพียงแค่เบิกลูกตากว้างมองอย่างตื่นตะลึง กวาดตามองบนล่างไปที่เฮ่อมู่หลันไม่หยุด นี่...นี่นางเป็นสตรีจริงๆรึ... บุรุษร่างสูงใหญ่สง่างามแลดูทระนงตน ไม่แข็งกร้าวแต่ก็ไม่อ่อนแอผู้นี้เป็นสตรีจริงๆงั้นรึ? มิน่าเล่าทุกคนถึงเรียกขานนางว่า“วีรสตรี” หากจะมีสตรีสักคนสามารถยืนหยัดโดดเด่นในทัพศึกได้ เกรงว่าก็คงมีแต่สตรีเช่นนี้แล้ว! เมื่อวานเฮ่อมู่หลันเพิ่งได้บอกกับหลิวอวี๋อันที่อยากได้ฮัวมู่หลานไปเป็นผู้คุ้มกันอย่างชัดเจนแล้วว่า “ฮัวมู่หลาน” ญาติผู้น้องของตนไม่ใคร่อยากจะแต่งให้กับเขา ผลคือวันนี้เกิดเรื่องกับเขาเสียแล้ว หากเอ่ยว่าหลังจากรู้เรื่องนี้แล้วเฮ่อมู่หลันหน้าไม่เปลี่ยนสีเลยนั่นย่อมเป็นการโกหก ฮัวหมู่อยากให้นางทำอะไรนางไม่รู้และคงทำให้ไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น “ฮัวเก้อหู่” ก็ถูกดึงเข้าไปในเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว รอจนเจ้าหน้าที่จากเมืองอวี๋มากับ*หวู่จั้วมาถึง นางจะต้องถูกยกขึ้นไปเป็นพยานในศาลแน่ถึงตอนนั้นเรื่องที่ “ฮัวเก้อหู่” คือ “ฮัวมู่หลาน” จะปิดอย่างไรก็คงปิดไม่มิดแล้ว ยังอย่างไรเสียโถวเหรินก็รู้ฐานะของนาง แต่ฮัวเก้อหู่ยังประจำการฝึกทหารอยู่ในกระโจมที่หกแคว้น “อาหมู่ตระกูลฮัว ท่านวางใจเถิด ข้าจะไปกับท่านแม่ทัพฮัวจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอนขอรับ” โถวเหรินวัยกลางคนในเครื่องแต่งกายชาวเซียนเป่ยเห็นบิดาและมารดาของแม่ทัพฮัวมีความกังวลจึงหันไปกล่าวให้คำสัญญา “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงแม่ทัพฮัว ข้าจะดูแลด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ” “เช่นนั้นก็ลำบากท่านแล้ว” ฮัวฟู่คารวะหัวหน้าหมู่บ้านด้วยท่าประจำกองทัพ มองดูบุตรสาวออกไปพร้อมกับพวกเขา เพราะไม่ใช่เรื่องเล็ก เฮ่อมู่หลันจึงจูงม้าล้ำค่าชื่อว่า “เยว่อิ่ง” ออกมาจากหลังเรือน มันเป็นม้าดีของต้าเยียน มีสีดำขลับตลอดทั้งตัว เป็นม้าคู่ใจที่ฮัวมู่หลานชอบขี่ เวลานี้มีฮัวเสี่ยวตี้เป็นผู้ดูแล เฮ่อมู่หลันพลิกกายขึ้นไปบนม้า มีโถวเหรินตามไปติดๆ ตาแก่หลิวอาศัยคนติดตามรับใช้ช่วยส่งขึ้นหลังม้าจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ควบม้าบึ่งตรงไปยังหมู่บ้านหลิวจี๋ สร้างความตกใจให้กับชาวบ้านที่อยู่บริเวณบ้านตระกูลฮัวไม่น้อย ตั้งแต่ฮัวมู่หลานออกจากบ้านไปสายตาของฮัวเสี่ยวตี้ก็ติดตามแผ่นหลังของพี่สาวไปตลอดทาง ในใจทุ่มเถียงว่าควรจะตามนางไปด้วยหรือไม่ ฝังซื่อเห็นสามีเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกรำคาญใจ เอ่ยเสียดสีออกมาอย่างอดไม่อยู่ว่า “เจ้ารู้จักเบิกตาดูเสียบ้าง! ทำราวกับในบ้านไม่มีบุรุษแล้วเสียอย่างนั้นจึงใช้ให้สตรีออกไปดูของสกปรกพรรค์นั้น” “พี่รองของข้าเป็นทหารตั้งยี่สิบปี ไหนเลยจะกลัวสิ่งนี้!” ฮัวเวี่ยวตี้ก้มศีรษะลง “ข้าไม่รู้ว่าพี่รองต้องการจะทำอะไรจึงรู้สึกเป็นห่วงต่างหาก” “เจ้าเป็นห่วงก็ตามนางไปสิ! ที่บ้านไม่ใช่ไม่มีม้าเสียหน่อย!” ทหารพลเรือนชาวเซียนเป่ยต้องดูแลรับผิดชอบเลี้ยงม้าให้กับเหล่าทหารด้วย ในตระกูลฮัวนอกจาก ‘เยว่อิ่ง’ ม้าที่ฮัวมู่หลานนำกลับมาด้วยยังมีม้าในครอบครองอีกสี่ตัวที่ได้รับมอบมาจากราชวงศ์เฉาให้ทำการเลี้ยงดูและฝึกฝนให้ดี แม้จะไม่สามารถนำไปซื้อขายแต่สามารถยืมขี่ได้ชั่วคราว ฮัวเสี่ยวตี้ถูกภรรยาบ้านตนตะคอกใส่ในใจก็รู้สึกโมโหขึ้นมา พี่สาวรองบ้านเขาเป็นคนที่มักจะมีแผนการเสมอมา ไม่อย่างนั้นก็คงไปออกไปรบแทนบิดา แม้จะกล่าวว่าบัดนี้นางกลับสู่ครอบครัวแล้ว แต่เมื่อมาถึงก็จำต้องข่มใจยอมแต่งงานไปเป็นภรรยารองสั่งสอนดูแลบุตรให้กับบุรุษสามัญธรรมดา! ทุกวันนี้เห็นบิดามารดากลัดกลุ้มใจเรื่องชีวิตบั้นปลายของพี่สาวเขากลับรู้สึกเรื่องราวล้วนไม่ถูกต้อง สตรีเช่นนี้ยังจำเป็นต้องแต่งให้กับผู้อื่นอีกงั้นรึ? นางต้องการสิ่งใดล้วนสามารถทำได้ด้วยตัวเองทั้งนั้น! บุรุษเหล่านั้นยังต่อยตีสู้พี่สาวเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ หากวันหน้าบังเอิญเจอโจรป่า เกรงว่าพี่สาวของเขาต้องเป็นฝ่ายปกป้องสามีเป็นแน่! หากกังวลว่าวันหน้าจะไม่มีผู้สืบทอด เยี่ยงนั้นหากเขากับฝังซื่อมีบุตรด้วยกันก็ยกให้พี่สาวไปสักคนก็สิ้นเรื่องแล้ว เพียงแต่เขาเป็นคนโง่เขลา มีคำพูดอัดอยู่เต็มท้องแต่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ที่ผ่านมาความคิดเหล่านี้จึงไม่เคยทราบถึงบิดามารดา พี่รองชัดเจนว่าไม่อยากแต่งงาน อย่างนั้นรอจนอาหมู่ตายใจแล้วเขาค่อยพูดขึ้นมาก็พอแล้ว วันนี้เรื่องที่เขากังวลใจก็ได้รับการแก้ไขแล้ว กับคนที่กินนอนอาศัยอยู่กลางสมรภูมิรบมานานอย่างพี่สาวคนรองของตนจะต้องมีแผนบางอย่างแน่จึงมีความมั่นใจต้องการไปดูให้แน่ชัด แล้วจะให้เขาไปเพื่ออะไร? ไปแสดงความอับอายงั้นรึ? ตัวเขาแม้แต่คนตายก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อถึงเวลาหากเกิดแข้งขาอ่อนขึ้นมาจะทำให้พี่รองขายหน้าเอาได้! ฝังซื่อยังยืนพร่ำบ่นอยู่ตรงนั้น คร่ำครวญว่าเขาทำตัวไม่เหมือนชาวฮั่นสักนิด หยวนซื่อยืนพิงพนักประตูชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกราวกับเช่นนี้ก็สามารถใช้สายตาปรามลูกสะใภ้ให้เงียบลงได้ ฮัวฟู่ที่นั่งอยู่ภายในห้องได้ยินก็รำคาญ ท้ายที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า “มู่โทว เจ้าตามไปดู หากเกิดเรื่องจงดูแลกันให้ดี!” ฮัวมู่โทวตะลึงกำลังจะหันไปถามซ้ำให้แน่ใจเป็นฝังซื่อที่ลากแขนเขาไว้แล้วดันเข้าไปในโรงเก็บคอกม้า ก็แค่คนตายคนหนึ่งไม่ใช่หรือ กังวลสิ่งใดกัน!
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 5 มู่หลานทำคดี
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A