ตอนที่ 7 มู่หลานแกล้งคน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 7 มู่หลานแกล้งคน
ตอนที่ 7 มู่หลานแกล้งคน วันที่สาม “จะรับสารภาพหรือไม่?” ผู้พิพากษาโหยวผู้นั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ประธานในศาลใช้สายตามองไปยังหลิวเหมิ่งที่ถูกอยู่กดกับพื้นเบื้องล่าง “ข้าน้อยมิได้...” หลิวเหมิ่งร้องไห้จนน้ำตาน้ำมูกไหล ยามนี้เขารู้สึกเสียใจอย่างที่สุดแล้ว “ตีอีก...” เฮ่อมู่หลันมองไปที่ผู้พิพากษาโหยวที่กำลังทำการดำเนินคดีอยู่ในศาล นางถูกรูปแบบการไต่สวนในยุคโบราณทำจนอึ้งหมดคำพูด แต่ก็มีความสุขมากเช่นกัน แม้ความตายของหลิวอวี๋อันจะปรักปรำหลิวเหมิ่งได้ไม่สำเร็จแต่กระนั้นเขาก็สามารถใช้ความตายของตัวเองดึงให้ผู้คนเกิดใจต่อคดี “หลิวเหมิ่งใช้อุบายแย่งชิงทรัพย์บ้านผู้อื่น” ได้สำเร็จ เฮ่อมู่หลันเป็นผู้ที่เคยเห็นการปะทะของคนทั้งสองทั้งยังเป็นคนสุดท้ายที่ได้พบเห็นพูดคุยกับหลิวอวี๋อันนางจึงได้เข้าร่วมพิธีไต่สวนในครั้งนี้ด้วย แต่เพราะนางเป็นเพียงพยานและยังเคยเป็นรับตำแหน่งขุนนางมาก่อนจึงได้แค่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูหลิวเหมิ่งรับโทษทัณฑ์เท่านั้น ขณะดำเนินการไต่สวนต้องมีการบันทึกคำให้การ เฮ่อมู่หลันไม่มีทางเอาเรื่องเดือดร้อนเช่นนี้ยัดลงใส่ตักญาติผู้พี่ของฮัวมู่หลานอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงเขียนชื่อ “ฮัวมู่หลาน” ลงไปอย่าซื่อตรง พนักงานอักษรกับเจ้าหน้าที่เมื่อเห็นดังนั้นต่างก็พากันตกใจจากนั้นพวกเขาแอบสุมหัวซุบซิบกัน เมื่อเฮ่อมู่หลันชี้แจงว่าทำไมตนถึงไปบ้านตระกูลหลิว ได้พบเจอสิ่งใดที่นั่นบ้างรวมถึงที่หลิวอวี๋อันบอกเรื่องราวความทุกข์ยากของเขาให้นางฟังเสร็จแล้ว ผู้พิพากษาโหยวก็เรียกตัวคนในครอบครัวของหลิวเหมิ่ง ทั้งยังมีชาวบ้านที่เป็นคนกลางที่ช่วยหลิวเหมิ่งยืมที่นาของหลิวอวี๋เหมิ่งเมื่อครั้งนั้นขึ้นมาถามด้วย ปีนั้นคนกลางผู้นั้นก็ได้ย้ายออกไปจากหมู่บ้านหลิวจี๋เป็นที่เรียบร้อยแล้วดังนั้นหากต้องการติดตามตัวเขาก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามวัน แต่เมื่อผู้พิพากษาโหยวออกคำสั่งให้ใช้กระบองตีหลิวเหมิ่งไปอีกสิบไม้เขาจึงยอมมอบที่อยู่ของปัญญาชนผู้นั้นในที่สุด หลักฐานหลายอย่างก็ครบแล้ว ผู้ที่เป็นคนกลางทำสัญาญาฉบับนั้นของทั้งสองตระกูลนั้นเดิมมีเจตนาดี ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปถึงขั้นนี้ แม้แต่หลิวอวี๋อันก็ตายไปแล้วเขาจึงสารภาพอย่างสัตย์ตรงว่าปีนั้นตนเป็นผู้ที่แนะนำให้บิดาของผู้ตายปล่อยที่ให้หลิวเหมิ่งเช่าไว้ปลูกนา สิ่งปัญญาชนทุกผู้เกลียดชังที่สุดก็คือการฟ้องร้อง ที่นี่ยังไม่มีการสองเคอจวี้หากอยากเป็นขุนนางหรือเป็นพนักงานของราชสำนักต้องอาศัยการเลือกตั้ง ชื่อเสียงนั้นสำคัญมาก ปัญญาชนน้อยคนนักที่จะยอมช่วยเขียนหนังสือที่อาจจะดึงปัญหามาสู่ตนจำพวกนี้ให้แก่คนที่ไม่รู้อักษร ดังนั้นสัญญาที่เขาเขียนให้แก่หลิวเหมิ่งเหล่านั้นความจริงเขาแค่เขียนมันให้แก่ท่านลุงของภรรยาเท่านั้น ครั้งเมื่อผู้คนที่มาชมการไต่สวนในศาลได้ยินดังนั้นก็ร้อง “อ้อ” ขึ้นมา ‘เจ้าคนผู้นี้ต้องตั้งใจแน่!’ เฮ่อมู่หลันเห็นผู้พิพากษาโหยวที่คอยถามปัญหาหยิบย่อยกับหลิวเหมิ่งไม่หยุด ขอเพียงแค่หลิวเหมิ่งพูดไม่ชัดเจนหรือมีความลังเลเพียงเล็กน้อยก็จะสั่งให้พนักงานลงทัณฑ์ใช้กระบองตีเขานางก็อดขันในใจมิได้ คิดไม่ถึงว่าผู้พิพากษาผู้นี้จะเป็นจำพวกเกลียดชังรุนแรงราวกับมีแค้นต่อกัน แม้ไม่สามารถเอาผิดเจ้าคนทุจริตผู้นี้จนถึงชีวิตได้ แต่สามารถทำให้เขาได้ลิ้มรสความทรมานก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ด้วยหลักฐานชั้นต้นมีพร้อมครบครัน หลิวเหมิ่งตั้งแต่เกิดเรื่องก็โดนโบยไปเกือบยี่สิบถึงสามไม้ แม้เขาจะเป็นชาวฮั่นที่แข็งแกร่งเพียงใดก็มิอาจทนไหว ต่อมาเมื่อผู้พิพากษาโหยวถามสิ่งใดเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะลังเลสักนิด กฎหมายในสมัยโบราณนั้นมีแต่ “กฎหมาย” “ระเบียบ” และ “ตัดสิน” โดยส่วนมากอำนาจส่วนนี้จะอยู่ในมือของฝ่ายราชสำนัก จะตัดสินอย่างไร มีบทลงโทษอย่างไรล้วนเป็นสิ่งที่ผู้พิพากษายึดหลักกฎหมายและประสบการณ์รวมถึงความดีชั่วของตัวเองมาพิจารณาร่วม ผู้พิพากษาโหยวเป็นคนโบราณตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า รูปแบบการทำงานก็เป็นไปตามระบบของขุนนางในยุคโบราณ เขาสูญเสียบิดาไปตั้งแต่ยังเด็ก แม้จะดูว่าเขาจะมีพื้นหลังครอบครัวที่ร่ำรวยแต่สถานะทางบ้านกลับยากจน ตอนเด็กก็อาศัยญาติๆช่วยส่งเสียจนเติบใหญ่ เขาเกลียดชังคนที่ชอบรักแกคนอ่อนแอไร้ทางสู้ ทั้งยังมีบุตรที่น่าสงสารของตระกูลหลิวแบบนี้ด้วยแล้ว ผู้พิพากษาโหยวจึงทุบค้อนตัดสินผลคดีของหลิวอวี๋อันในที่สุด ส่งผลให้ชาวบ้านที่ติดตามข่าวนี้ต่างร้องว่า ‘ดี’ เป็นเสียงเดียวกัน หลิวเหมิ่งใช้อุบายหลอกทรัพย์สินจากบ้านผู้อื่น ตัดสินให้ลงไปช่วยซ่อมแซมกำแพงเมืองที่ตั้งอยู่ชายแดน ทุกปีจะต้องสวมชุดไว้ทุกข์เป็นเวลาสองร้อยเจ็ดสิบวัน นอกจากโฉนดที่ดินปลอมที่ศาลได้ทำลายลงไปแล้วเขาต้องคืนที่นาให้แก่ตระกูลหลิวแล้ว ผู้พิพากษาโหยวยังตัดสินให้นำทรัพย์สมบัติของหลิวเหมิ่งครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้โอนถ่ายเข้าสู่ตระกูลหลิวให้มอบแก่ครอบครัวที่จะช่วยดูแลรับผิดชอบบุตรที่เหลือทั้งสองของตระกูลหลิวตลอดจนพวกเขาเติบใหญ่แต่งงาน เงินก้อนนี้มอบไว้สำหรับดูแลคนแก่และเด็กในครอบครัว พอมีคำตัดสินเช่นนี้ทุกคนในหมู่บ้านหลิวจี๋ก็จะแย่งกันเพื่อดูแลเด็กทั้งสองแล้ว ส่วนที่ผู้พิพากษาโหยวที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับทรัพย์สินพวกนั้นก็ช่วยลงทัณฑ์หลิวเหมิ่งด้วยความเห็นใจ ขอเพียงการลงทัณฑ์ในครั้งนี้ทุกคนต่างพอใจไม่มีใครยกมือซักถามอะไรก็ถือว่าไปถึงจุด “มนุษยธรรม” ที่สุดแล้ว หลิวอวี๋อันสุดท้ายแล้วก็แค่อยากได้แปลงที่นาของตนคืนจึงใช้วิธีที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกเวทนา ในขณะที่เฮ่อมู่หลันอาศัยฐานะผู้ร่วมชมเหตุการณ์เยี่ยมชมการฟ้องร้องคดีในยุคโบราณ การสืบสวน ไต่สวนนักโทษใช้เครื่องทรมาน สืบหาพยานบุคคลและพยานหลักฐาน การพิจารณาคดี ตัดสินคดีและดำเนินการ...กรมปกครองในยุคโบราณแทบจะกล่าวได้ว่าได้รวมทั้งศาลฎีกาและศาลพิพากษาเอาไว้ในหนึ่งเดียว จุดนี้ทำให้เฮ่อมู่หลันรู้สึกเลื่อมใสมาก ในยุคนี้คดีจะถูกเอาเปรียบหรือตัดสินอย่างยุติธรรมหรือเปล่าล้วนต้องดูว่าหัวหน้าศาลเลอะเลือกรึไม่ ผู้พิพากษาโหยวเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นแต่ก็ไม่ทำให้เรื่องผิดกลายเป็นถูก อีกทั้งยังเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดเฉลียว เฮ่อมู่หลันชื่นชมคนผู้นี้จากใจ ที่น่าเศร้าที่สุดก็เห็นจะเป็นเพราะต้องการเลี่ยงความสงสัย ผู้พิพากษาโหยวจึงไม่ได้สนทนากับเฮ่อมู่หลานเท่าใดนัก นอกจากนี้แม้ว่าเขาจะใช้รายงานพิสูจน์ศพและผลสรุปที่เฮ่อมู่หลันให้มาเพื่อปิดคดี “หลิวอวี๋อันฆ่าตัวตาย” แต่ในเอกสารและใบคดีกลับไม่เอ่ยถึงความเกี่ยวข้องต่อ “ฮัวมู่หลาน” แต่อย่างใด ชาวฮั่นให้ความสำคัญกับธรรมเนียมความประพฤติของสตรีมากกว่าชาวเซียนเป่ย นับตั้งแต่ยุคฉิวฮั่นเป็นต้นมา ผู้ประกอบอาชีพหวู่โจ้วมักจะเป็นคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีใครยินยอมลดตัวลงเพื่อศึกษาสิ่งเหล่านี้หรือมองว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดี ทั้งหมดที่ผู้พิพากษาโหยวกระทำลงไปล้วนเพื่อปกป้องฮัวมู่หลาน ดังนั้นเฮ่อมู่หลันจึงรับน้ำใจในครั้งนี้ไว้แล้ว คดีถูกปิดลงอย่างง่ายดาย ยามเฮ่อมู่หลันกับฮัวเสี่ยวตี้อยู่ที่เมืองอวี๋นานราวห้าหกวันนั้นผู้พิพากษาโหยวคำนึงว่าพวกเขาเป็นชาวเซียนเป่ยที่ค่อนข้างมีชื่อ ทั้งฐานะของฮัวมู่หลานก็พิเศษ ตลอดระยะเวลาที่มีการไต่สวนคดีจึงมิได้ให้พวกนางพักกับพนักงานขอราชสำนักคนอื่น ๆแต่ให้ไปอยู่ที่บ้านของโถวเหรินในพื้นที่ เพราะว่าในปกติฮัวเสี่ยวตี้ต้องรับผิดชอบเลี้ยงม้าและปลูกเสบียงสำหรับส่งให้กองทัพ น้อยครั้งที่จะมาเยือนเมืองอวี๋ดังนั้นก่อนกลับเฮ่อมู่หลันกับฮัวเสี่ยวตี้จึงได้แวะเดินเล่นที่ตลาดก่อน ถือโอกาสซื้อเมล็ดพันธุ์ผักและของจำพวกเกลือกลับบ้าน ที่สมควรกล่าวถึงก็คือ ยามมาพวกเขาไม่ได้เอาอะไรออกจากบ้านมาสักอย่าง ช่วงต้นของราชวงศ์เป่ยเว่ยนี้ยังไม่มีการใช้เหรียญกสาปณ์ในการจับจ่ายซื้อของ สุดท้ายทั้งคู่จึงอาศัยผ้าเช็ดหน้ากับของจุกจิกที่เฮ่อมู่หลันพกติดตัวมาแทน ควรบอกพวกเขาดีรึไม่ว่าของพวกนั้นนางเคยใช้เช็ดปากเช็ดเหงื่อมาแล้ว? ช่างมันเถอะ ไม่บอกน่าจะดีกว่า บนถนนทางกลับหมู่บ้าน ท่าทางของฮัวเสี่ยวตี้มีบางอย่างผิดปกติ ถึงแม้เฮ่อมู่หลันจะไม่ใช่พี่สาวของฮัวเสี่ยวตี้แล้วก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับฮัวเสี่ยวตี้เท่าใดนัก แต่ทุกวันนี้ฮัวเสี่ยวตี้ก็คอยวิ่งไปวิ่งมารอบ ๆกายนางอยู่บ่อย ๆ ทั้งยังคอยยกน้ำชาให้ ช่วยตักน้ำใส่โอ่งทั้งยังช่วยต้มน้ำร้อนอาบให้นางทุกวัน ต่อให้นางเย็นชาแค่ไหนจะให้ทำเป็นตาบอดมองผ่านก็คงไม่ได้ ดังนั้นเฮ่อมู่หลันจึงเริ่มเปิดปากพูด “เสี่ยวตี้....” ฮัวมู่โทวถูกเสียงของเฮ่อมู่หลันทำตกใจก็พลันลื่นจนเกือบตกจากหลังม้าแต่จากเขานั้นก็รีบพลิกร่างประคองตัวตรงแล้วคุมบังเหียนม้าขี่ต่อไปข้างหน้าได้ เทคนิคการขี่ม้าและการขึ้นหลังม้าถือว่าไม่เลว ไม่เสียทีที่เป็นคนเลี้ยงม้าที่ยังหนุ่มยังแน่น เฮ่อมู่หลันชื่นชมฝีมือการขี่ม้าของน้องเล็กตระกูลฮัวในใจ แล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้าคิดอยากจะสิ่งใดกับข้า? พูดมาเถิด” มัวแต่ทำท่าทางอ้าปากจะพูดแล้วก็หยุดลงเสียไปเฉยๆอย่างนั้น ยิ่งดูยิ่งคล้ายคนท้องผูกดูอีกทีก็คล้ายคนท้องร่วง หลายครั้งที่นางถามเขาปวดหนักต้องการจะหยุดพักสักหน่อยหรือไม่ แต่เขาก็ตอบว่าไม่ใช่เช่นนั้นย่อมต้องเป็นเพราะในท้องเขามีคำพูดอยากเอ่ยออกมาเป็นแน่ ฮัวเสี่ยวตี้ใบหน้าพลันปรากฎร่องรอยจมลึกในความทุกข์คล้ายมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรถูกค้นพบโดนคนเจอเข้าจนได้ ทั้งยังคล้ายดีใจที่พี่สาวสังเกตเห็นอารมณ์ของเขา หลังจากสีหน้า ‘ถ่ายคล่อง’ หรือ ‘ปลดทุกข์จดหมดไส้’ เคลื่อนผ่านไปเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “พี่สาว เหตุใดท่านถึงรู้วิธีดูรอบแผลบนศพคนตายกัน?” หากเพราะว่าทำสงครามล่ะก็ ฆ่าตายก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องตรวจสอบบาดแผลกระมัง? อย่าบอกนะว่านางก็เคยพบเจอเหตุฆาตกรรมกับฆ่าตัวตายบ่อย ๆด้วยเช่นกัน? ได้ยินว่ามีสายสืบจากคนแคว้นโหรวหรันเยอะมาก ในกองทัพเองก็มีไม่น้อย คนแคว้นโหรวหรันกับชาวเซียนเป่ยลักษณะหน้าตาคล้ายกัน หรือว่าพี่สาวก็เคยเจอคนเลวเช่นนี้? ที่น่าเศร้าก็คือเฮ่อมู่หลันไม่รู้จะตอบคำถามนี้ของฮัวเสี่ยวตี้อย่างไร ดังนั้นนางจึงเงียบไปอึดใจหนึ่งหลังจากนั้นเปิดปากเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “คงเพราะว่าเห็นมามากกระมัง?” ฮัวมู่หลานนั้นแน่นอนว่าเคยเห็นคนตายมาไม่น้อย อย่างไรเสียก็ทำสงครามมานานถึงสิบสองปี จะกล่าวอย่างนี้ก็ไม่ผิดอะไร ใบหน้าของฮัวเสี่ยวตี้เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ซีดเสียดจนเฮ่อมู่หลันถามตัวเองว่าคำตอบที่นางเอ่ยออกไปน่ากลัวถึงเพียงนั้นหรือไม่? คุณชายตระกูลฮัวผู้นี้ดูเหมือนว่าจะกลัวศพคนตายเป็นอย่างมาก บุตรชายของนายทหารผู้หนึ่งกลับกลัวศพคนตายย่อมต้องถือว่าเป็นจุดด่างพร้อยอย่างใหญ่หลวง ตลอดสายถนนตั้งแต่เมืองอวี๋จนถึงหมู่บ้านหยิงโกวกลายเป็นเงียบสงัด ฮัวเสี่ยงตี้คล้ายว่ายังอ่อนไหวกับ “บทสนทนาชวนสยอง” ในหัวปรากฎภาพจินตนาการไร้สิ้นสุด กระทั่งกลับถึงบ้าน หยวนซื่อเห็นเขาสีหน้าไม่ค่อยดีก็รีบกวาดสายตาไปทั่วร่างบุตรชาย “เป็นอย่างไรบ้าง! ข้าเห็นพวกเจ้าไปเสียตั้งหลายวันก็มีคนของโถวเหรินกลับมาก็ขอให้พวกเราช่วยเก็บเสื้อผ้าให้ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย บิดาของพวกเจ้าก็ไปรอที่หน้าประตูทุกวัน รู้สึกเสียใจที่ตัวเองปล่อยให้มู่โทวไป.... ” หยวนซื่อกล่าวจบก็สำนึกได้ว่าที่ตนกล่าวออกไปไม่ถูกต้องฟังดูคล้ายว่าพวกเขาสนใจแต่ฮัวเสี่ยวตี้ จึงหน้ามองไปยัง “ฮัวมู่หลาน” บุตรสาวของตนอย่างไม่สบายใจ เฮ่อมู่หลันไม่ได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดกลับหัวเราะปลอบขวัญหยวนซื่อว่า “มิมีสิ่งใด ใต้เท้าโหยวเป็นขุนนางที่ดี ตัดสินคดีอย่างชัดเจน ฮัวเสี่ยวตี้ติดเตียงที่บ้าน ไปอยู่ข้างนอกจึงพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ ใช่รึไม่?” นางไม่อยากบอกให้บิดามารดาของเขาทราบวาบุตรชายที่พวกเขาภาคภูมิใจยามเห็นศพก็อ้วกพุ่งจนเสียน้ำย่อยแทบจะออกมาด้วย! เหอๆ เจ้าน้อยชายเอ๋ย จงสำนึกบุญคุณ “พี่สาว” ผู้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นคนนี้ซะ! ฮัวมู่โทวตะลึง ผงกศีรษะไม่หยุด หยวนซื่อพ่นลมหายใจ ไม่ทราบว่าสบายใจที่บุตรสาวมิได้สนใจคำพูดของนางหรือเพราะบุตรชายมิได้รับความลำบากกันแน่ เฮ่อมู่หลันไม่ใช่ฮัวมู่หลานตัวจริงย่อมไม่รู้สึกเจ็บปวด ครอบครัวนางย่อมเป็นห่วงผู้เยาว์ไม่ใช่ผู้แต่งกายเป็นบุรุษดูราวกับเป็นพี่ชายเช่นนี้ ดังนั้นที่ตระกูลฮัวเป็นห่วงฮัวเสี่ยวตี้ที่ยังเยาว์วัยกว่าย่อมไม่ถือว่าน่าปวดใจเท่าไหร่นัก บิดามารดาอยากจะ*ตักน้ำชามเดียวเสมอกันนั้นเป็นเรื่องยาก มองปัญหานี้อย่างไรจวบจนตัวเองจะเลือกตัวเลือกไหน หัวใจมนุษย์ล้วนทำมาจากก้อนเนื้อ ผู้ใดบอกว่าพวกเขาไม่ใส่ใจฮัวมู่หลานกัน? เพราะฮัวมู่หลานจากบ้านไปสิบสองปี พวกเขาที่ใกล้ชิดกับฮัวเสี่ยวตี้ย่อมต้องรู้สึกสนิทสนมกันมากกว่า ส่วนสำหรับฮัวมู่หลานจึงอาจมีความเกรงใจเล็กน้อย ฮัวฟู่นั่งอยู่บนเนินหินเล็กๆข้างประตู ทำเพียงพร่ำเอ่ยว่า “กลับมาก็ดีแล้ว” “ไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว” ไม่หยุด เฮ่อมู่หลันไม่ทราบว่าเหตุใดอยู่ ๆรู้สึกแสบจมูก ส่วนเบ้าตาก็เริ่มแดงเรื่อขึ้นมา บิดาของนางเป็นนายตำรวจอาวุโสท่านหนึ่ง ความจริงแล้วนิสัยก็เหมือนกับฮัวฟู่ ด้านหนึ่งมีความภาคภูมิที่ทั้งบ้านทำงานในกรมสันติบาลรับผิดชอบดูแลความสงบให้สังคม แต่อีกด้านก็กังวลความปลอดภัยของนางกับพี่ชาย ทุกครั้งที่พวกนางกลับบ้านหลังทำคดีเสร็จ ท่านก็จะนั่งรออยู่เป็นนานจากนั้นก็จะเอ่ยว่า “กลับมาก็ดีแล้ว” ไปมาไม่หยุด นางเริ่มคิดถึงบ้านมาหน่อยนึง... ด้านหนึ่งมีฝังซื่อที่อุ้มเด็กหญิงอายุสองขวบไว้แนบอกเอาไว้ ปกติคนผู้นี้ยามมองมาที่นางสีหน้ามักจะปรากฎความรู้สึกไม่สบายใจ หากแต่เวลานี้กลับเดินดุ่มออกมาจากเรือนอุ้มบุตรสาวขึ้นมายังไม่ทันมองสามีว่ายังอยู่ดีรึไม่ ทำเพียงมองมายังนางตั้งแต่หัวจรดเท้าปากก็เอ่ยคคำว่า “ขอบคุณสวรรค์” ออกมา จากนั้นก็ส่งบุตรสาววัยสองขวบไปยังฮัวเสี่ยวตี้ พร่ำบ่นว่าตอนเขาไม่อยู่บ้านตนต้องปลูกผักเลี้ยงม้าลำบากเพียงใด รอจนฮัวเสี่ยวตี้ควักกล่องชาดที่เพิ่งซื้อมาใหม่จากตลาดนางก็เก็บคำบ่นกลับไปทันที ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา นี่เป็นอีกด้านของฝังซื่อที่เฮ่อมู่หลันเริ่มได้สัมผัสถึง สตรีอายุเยอะเช่นนางที่แท้ก็ยังคงเหลือความเป็นสาวน้อย ทุกคนต่างก็เป็นคนดีจริงๆ บางทีชีวิตปกติสุขที่มีเสียงพร่ำบ่นพูดมากอย่างนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่วีรสตรีผู้แค้นเคืองต่อสนามรบผู้นั้นเลือกกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้ ที่ฮัวมู่หลานปรารถนาก็คือชีวิตเช่นนี้ แล้วเหตุใดนางต้องรู้สึกเสียดายแทนฮัวมู่หลานอยู่ตลอดเวลากัน?
已经是最新一章了
加载中