ตอนที่ 8 สู่ขอฮัวมู่หลาน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 8 สู่ขอฮัวมู่หลาน
ตอนที่ 8 สู่ขอฮัวมู่หลาน น่าเสียดายเกินไปแล้ว! ที่ฮัวมู่หลานไม่รับตำแหน่งขุนนางช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายเกินไปแล้ว! เหตุใดฮัวมู่หลานจึงเลือกกลับบ้านกันนะ! โง่เขลา! เลอะเลือน! ไร้เหตุผลสิ้นดี! ตระกูลฮัวไม่ควรย้ายมาที่ย้ายมาที่หมู่บ้านหยิงโกว ควรจะอยู่ที่หวยสู้อย่างเดิมมากกว่า! ฟังสิ ฟังสิ ตอนนี้ข้างนอกนั่นมีแต่ข่าวลือประหลาดๆทั้งนั้น! นางแทบควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว อยากเตะคนชะมัด! คดีที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลิวจี๋เพราะมีเรื่องเล่า มีคนเผยแพร่ทั้งยังเกี่ยวพันถึงคนมีอำนาจในหมู่บ้านหลิวจี๋อย่างหลิวเหมิ่งกับปัญญาชนที่รู้อักษรอยู่ผู้เดียวในหมู่บ้านอีกด้วย ต่อมาก็กลายเป็นเป็นเรื่องเล่าให้บุรุษ สตรี เด็กเล็ก เด็กน้อยกล่าวถึงกันอย่างสนุกสนาน จนแทบจะเอ่ยได้ว่าเป็น “หัวข้อซุบซิบประจำหมู่บ้าน” ไปแล้ว หลิวอวี๋อันถูกผู้คนบรรยายว่าเป็นผู้มีนิสัยเข้มแข็งตรงไปตรงมา เมื่อร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดไม่ได้ก็ควักมีดวิ่งเข้าบ้านหลิวเหมิ่ง สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาต้องมาจบชีวิตตัวเองกลายเป็นศพอยู่ในสวนบ้านของผู้อื่น ยังกล่าวกันว่าหลิวเหมิ่งเคยคิดจะเอากระบองไปตีบุตรชายบุตรสาวทั้งสองถึงที่บ้านตระกูลหลิวแต่ก็ถูกเขาไล่ตะเพิดกลับไปนับครั้งไม่ถ้วน เรื่องราวเปลี่ยนไปจนเหมือนนิยายประเภทเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาไปเสียแล้ว ได้ยินว่าคนในครอบครัวที่สนิทกับหลิวเหมิ่งยามนี้ล้วนไม่กล้าก้าวเท้าออกประตูบ้านแล้ว พอออกมาก็ถูกชาวบ้านถ่มน้ำลายใส่ บุตรสาวบ้านนี้เกรงว่าวันหน้าคงจะแต่งไม่ออกแน่ๆ ส่วนบุรุษก็คงแต่งภรรยาลำบากด้วยเช่นกัน ไม่แน่ว่าวันหน้าพวกเขาอาจย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ในยุคสมัยนี้หากไร้ซึ่งชื่อเสียง ไม่มีเกียรติยศแขวนไว้หน้าบ้านก็เท่ากับว่าไร้ที่ยืนในสังคม หมดสิ้นทุกอย่าง ยิ่งกว่านั้นคนในครอบครัวยังวางอุบายขโมยทรัพย์สินบ้านผู้อื่นแถมยังบีบคั้นคนจนตาย ใช้ไม้ตีเด็กอย่างโหดร้าย เฮ่อมู่หลันไม่มีท่าทีใดต่อเรื่องเหล่านี้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นผลลัพธ์จากความชั่วร้ายของหลิวเหมิ่ง ในเมื่อเขากล้าทำตั้งแต่แรกก็ต้องเคยคิดถึงความเป็นไปได้ยามว่าความลับรั่วออกไปจะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ควรดึงฮัวมู่หลานเข้าไปเกี่ยวตอนท้ายด้วย! สำหรับตัวฮัวมู่หลานชาวบ้านที่นี่รู้สึกทั้งเคารพทั้งอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ยังมีความคิดหลายๆอย่างที่ไม่ควรเป็นเช่นนั้น สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของต้าเว่ย ผู้ที่เป็นทหาร รวมถึงประชาชนที่อยู่ในแคว้นโหรวหรันที่อยู่ด่านชายแดนกับกลุ่มคนในชนเผ่าที่ปล้นชิงอยู่ในเขตที่ราบลุ่มแล้ว เรื่องเล่าที่ฮัวมู่หลาน “ออกรบแทนบิดา” นั้นทั้งแปลกประหลาดทั้งยังมีกลิ่นอายเรื่องเล่า ดังนั้นทุกคนจึงมีความกระหายต่อเรื่องราวหลังจากฮัวมู่หลาน “ปลดเกราะหวนไร่” อย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาเอ่ยถึงรูปร่าง รูปโฉม ความกล้าหาญตลอดจนถึงพื้นหลังครอบครัวที่ร่ำรวยเข้มแข็งของนางทั้งหมดอย่างกระตือรือร้น ข่าวที่หลิวอวี๋อันผู้นี้ที่ตายไปได้เคยสู่ขอฮัวมู่หลานทั้งยังโดนตระกูลฮัวปฏิเสธได้แพร่ออกมา ดังนั้นเมื่อ“ข่าว” ใหม่ที่สุดในตอนหลังได้รวบเข้ากับเรื่องที่เคยดังที่สุดก็แทบจะกลายเป็นโรคร้ายที่เกือบจะทำฮัวมู่หลานเป็นบ้าตายอยู่แล้ว คำกล่าวที่ ‘วาจาคนเหมือนเสือร้าย’ นั้นไม่มีคำใดผิดเลยจริงๆ ข่าวลือแพร่สะพัดไปได้สักพักก็กลายเป็นกล่าวกันว่ามู่หลานมีดวงชะตาข่มสามี เจ้าหนุ่มตระกูลหลิวแค่มาเอ่ยทาบทามสู่ขอแค่หน้าประตูบ้านยังตายอย่างน่าเวทนา พากันลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้มีคนมาสู่ขอฮัวมู่หลานนับไม่ถ้วน ตอนนี้ก็ยังอยู่ดีกินดีกันทุกคน แม้แต่เรื่องที่ญาติผู้พี่ของฮัวมู่หลานไปปฏิเสธการสู่ขอถึงตระกูลหลิวก็พากันยึดเป็นหลักฐานชี้เฉพาะว่านางเป็นคนไร้เหตุผล ชอบคนรวยรังเกียจคนจน ในขณะที่ทุกคนต่างเอ่ยถึงเรื่องราวความรักความแค้นระหว่างหลิวอวี๋อันกับฮัวมู่หลาน กลับไม่มีผู้ใดคำนึงถึงความเป็นจริงของเรื่องนี้เลย ทั้งยามที่ช่วยต่อเติมรายละเอียดในเส้นเรื่องก็ยังไม่ยอมขาดเรื่องความแค้นเคืองต่อกัน เมื่อก่อนนี้ฮัวมู่หลานก็เป็นที่สนใจของตำบลเหลียงอยู่แล้ว มายามนี้ยิ่งทำให้คนรู้สึกอึดอัดใจ ฐานะของสตรีในยุคสมัยนี้ยังสูงกว่ายุคสมัยถัดจากนี้มาก แต่ตำแหน่งในราชสำนักกับสนามรบก็ยังเป็นของบุรุษอยู่เสมอมา แม้ฮัวมู่หลานมีค่าพอให้ผู้คนเคารพนับถือ แต่นั่นก็ถือเป็นการเบนหนีจากแม่น้ำสายหลัก ขัดกับ “ตำรา” ที่ยึดกันมานาน ดีที่ฮัวมู่หลานเป็นเลือดผสมระหว่างชาวเซียนเป่ยกับชาวฮั่น การที่สตรีเซียนเป่ยสะบัดศีรษะเปิดเผยใบหน้าเป็นเรื่องที่พบได้โดยทั่วไป ยังเคยมีสตรีเซียนเป่ยผู้หนึ่งจับอาวุธสู้ศัตรูแทนสามีที่ตายไปด้วย ดังนั้นยามที่ชาวฮั่นเอ่ยถึงเรื่องที่นางเคยออกทัพกลับไม่เคยนำเอาเนื้อความท่อนนี้มาพูดเลยสักครั้ง ระบบปกครองของชาวเซียนเป่ยกับชาวฮั่นมีความแตกต่าง หากชาวบ้านคนใดวิจารณ์ถึงรูปร่างของฮัวมู่หลานว่าเป็นเช่นไรล้วนไม่มีปัญหา แต่หากท่านกล่าวว่าที่นางเข้าร่วมกองทัพปกป้องแคว้นหรือออกรบแทนบิดาเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง หากวาจาเหล่านี้ได้ยินไปถึงหูของเจ้าหน้าที่ของราชสำนักล่ะก็ ไม่แน่ว่าคำวิจารณ์เหล่านี้อาจจะทำให้ชาวฮั่นรู้สึกว่าชาวเซียนเป่ยถืออำนาจควบคุมกองทัพทหารก็เป็นได้ หรือว่ามีความคิดเห็นต่อระบบการส่งต่ออำนาจทางทหารจากรุ่นสู่รุ่น ข้อเหล่านี้ล้วนสามารถก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต่างก็ชื่นชมและเห็นชอบที่ฮัวมู่หลานกล้าหาญออกไปปกป้องแคว้นแต่พวกเขาก็กลับไม่คุยถึงเรื่องเหล่านี้ ที่คุยก็คือเรื่องราวอื่น ๆอีกด้านของนาง โดยเฉพาะเรื่องประเภทว่าที่นางมี “ร่างสันกำยำ” ทั้งยังรูปชั่วตัวดำ แถมยังเคยคลุกคลีกับบุรุษมาตั้งสิบสองปี มายามนี้ก็ยังขายไม่ออก อายุเยอะจนคลอดบุตรมิได้ มากกว่า ผ่านการ “ซุบซิบ” เช่นนี้เหล่าบุรุษต่างก็ยิ่งมีความรู้สึกชัดเจนขึ้นว่าแม้สตรีจะมีความสามารถเพียงใด แต่ท้ายที่สุดก็ต้องตกอยู่ในฐานะถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพัง ไปจนถึงการอภิปรายว่าบุรุษก็มีเรื่องที่บุรุษควรทำ สตรีก็มีเรื่องที่สตรีควรทำ คล้ายว่าการเอ่ยเช่นนี้แล้วที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าการที่ตนไม่ได้ขึ้นไปอยู่กองทัพแถวหน้ายามยกศึกไปปราบปรามแคว้นโหรวหรันถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว ยังเอ่ยอีกว่าหากว่าให้พวกเขาไปบทสรุปตอนท้ายก็คงจบลงอย่างงดงามเช่นกัน เจ้าดู สตรีผู้หนึ่งยังเป็นถึงแม่ทัพได้ หากข้าไปบ้างมิใช่ว่าสามารถเป็นได้ถึงจอมพลกระนั้นรึ... มารดามันเถอะ! แค่ฮัวมู่หลานเพียงคนเดียวก็สามารถหาบ “จอมพล” อย่างพวกเจ้าเป็นสิบคนในคราวเดียวได้รู้รึไม่! พวกนักเลงชอบต่อยตีอย่างพวกเจ้าที่ชอบวิ่งไปทั่วหมู่บ้านแม้แต่คราดอันเดียวยังยกไม่ขึ้นนับเป็นอะไรได้! “ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งโมโห ล้วนเป็นสตรีฮั่นปากจัดเท่านั้น ก็แค่ปากรั่วไม่มีหูรูด หากเอาพวกนางมาเป็นอารมณ์ท่านจะรู้สึกแย่เสียเปล่าๆ” ฮัวมู่โทวมองเฮ่อมู่หลันอย่างทำอะไรไม่ถูก กลุ้มใจจนแสดงออกผ่านสีหน้า วันนี้เขากับพี่สาวไปซื้ออาหารให้ม้าที่ตลาดใกล้ๆ พี่สาวของเขาชอบเดินเล่นซื้อของแปลกๆที่ตลาดเสมอมา รอจนพวกเขาเดินครบหนึ่งรอบก็ได้ยินเสียงข่าวลือซุบซิบบนถนนตลอดสาย พี่สาวเขาโมโหเสียจนแทบคลั่ง เฮ่อมู่หลันได้ยินน้องชายพูดก็รู้ว่าตอนที่ฮัวมู่หลานเพิ่งกลับที่นี่ใหม่ๆ คนเหล่านั้นย่อมต้องเคยเอานางไปเป็นหัวข้อสนทนาแน่ นางไม่รู้ว่ายามนั้นฮัวมู่หลานมีความรู้สึกเช่นไร เพราะในสมองนางไม่มีความทรงจำเรื่องนี้อยู่เลย บางทีฮัวมู่หลานอาจจะไม่ใส่ใจจริงๆจึงไม่เอามันมารกสมอง หรือบางทีนางคงลืมไปแล้วและไม่ปล่อยให้มันมากระทบกับความรู้สึกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ฮัวมู่หลานก็เป็นคนที่เข้มแข็งผู้หนึ่ง เฮ่อมู่หลันรู้สึกซาบซึ้งในต่อฮัวมู่หลาน พอลองเปรียบเทียบกับชีวิตในยุคปัจจุบัน ยามนี้นางทะลุมิติมาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ ไม่มีทั้งงานการ ไม่มีจุดหมาย ไม่มีญาติมิตรสหายสนิท หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ที่นี่มีพระกรุณาเมตตาช่วยปูนบำเหน็จมากมายให้ในตอนที่ฮัวมู่หลานออกจากตำแหน่งขุนนางล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้แม้แต่สมบัติติดกายนางก็คงมีไม่เท่าไหร่ ทำสงครามมาตั้งหลายปีกลับอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังเพียงคนเดียวในโลก กล่าวเพียงได้ว่านางนั้นเฉยชาต่อโลกหรือไม่ก็แค่ปกปิดความรู้สึกเก่งก็เท่านั้น แต่เฮ่อมู่หลันก็ยังคงซาบซึ้งต่อเจ้าของร่างเดิมอย่างเต็มหัวใจอยู่ดี เพราะถึงแม้ชีวิตจะเป็นอย่างนี้แต่นางก็ไม่ใช่ได้มันมาอย่างง่ายๆ หากร่างที่นางมาอยู่ไม่ใช่ “ฮัวมู่หลาน” บางทีนางอาจจะไม่ได้สืบต่ออำนาจที่ฮัวมู่หลานมี ไม่ได้สืบต่อความรู้ ไม่สามารถเปิดเผยโฉมหน้าของตัวเองได้ง่ายๆ จำต้องอดทนต่อบรรดาอนุของสามีหรือบางทีนางอาจจะกลายเป็นอนุไปเสียเองก็ได้ จากนั้นผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็ท้องป่องคลอดเด็กออกมาไม่หยุดหย่อน มายามนี้นางสามารถแต่งกายเป็นบุรุษเดินเหาะเหินเที่ยวเล่น สามารถยืนอยู่ที่ใดก็ได้รวมถึงศาลชำระคดี เข่าของนางไม่จำเป็นต้องย่อคำนับเพื่อผู้ใด วรยุทรที่มีติดตัวก็เพียงพอที่นางจะใช้ป้องกันตัวเองมิให้โดนผู้อื่นทำร้าย... ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฮัวมู่หลานเหลือทิ้งไว้ให้นาง ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถกลายเป็น “วีรสตรี” ได้ แต่อย่างน้อยก็ควรเข้าใจ พันปีร้อยปีที่ผ่านมา แม่ทัพหญิงกับ “วีรสตรี” มีน้อยจนนับได้ แต่สตรีที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ช่วยสร้างหน้ากระดาษใหม่อีกหน้าหนึ่งให้กับสตรีมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้สตรีเหล่านั้นมีอิสระที่ควรมีทั้งยังมีความภาคภูมิใจในตัวเอง นอกจากนี้มีความสุขและมีอิสระในการพยายามต่อไป กลุ่มสตรีที่เดินขบวนการต่อสู้ในยุคปัจจุบันก็คือนักรบที่แท้จริง ที่บุรุษอ่อนแอว่างงานพวกนั้นบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับฮัวมู่หลาน เฮ่อมู่หลันยังพอยอมรับได้ แต่พวกสตรีที่เข้าไปร่วมวงด้วยนี่นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ สำหรับคนอย่างฮัวมู่หลาน อย่างน้อยก็ควรแสดงความเห็นพ้องหรือไม่ก็ไม่ต้องไปแสดงความคิดเห็นออกมาเลยก็ได้ ไม่ใช่ไปเติมสีตีไข่ เเพร่ข่าวมั่วซั่ว นี่จึงจะเป็นสตรีที่ได้รับการอบรมและมารยาทอันดีที่มีต่อเพศเดียวกัน สิ่งที่เฮ่อมู่หลันปวดใจไม่มีผู้ใดเข้าใจ เพราะนางไม่ใช่คนในยุคนี้ แล้วก็ไม่มีทางยอมก้มหัวให้ยุคโบราณนี้ด้วยเช่นกัน ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่แทนนาง ก็ย่อมเป็นนางที่เจ็บปวดกว่าผู้ใด เจ็บปวดแทนฮัวมู่หลานที่เป็นแรงบันดาลใจของนางรวมไปถึง “วีรสตรี” หญิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องพบเจอกับอุปสรรคและเรื่องน่ากลัวมากมาย เฮ่อมู่หลันอารมณ์ไม่ดี ฮัวฟู่ก็ก้มศีรษะลงเงียบๆ ที่นั่งตำแหน่งทหารของเซียนเป่ยนั้นจะส่งต่อกันเหมือนมรดก ลูกหลานชายเซียนเป่ยนอกจากเป็นทหารก็ไม่มีทางออกอื่น ทั้งยังไม่ได้รับทางออกอื่นด้วยเช่นกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่เขาก่อขึ้นจนมันส่งผลไปยังบุตรสาว สำหรับทหารเฒ่าผู้ที่เงียบสงบมาเป็นสิบกว่าปีอย่างเขาแล้ว ความเงียบของเขาก็คือการแสดงออกว่าเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ฮัวหมู่ไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไรออกมา สตรีผู้อ่อนโยนนางนี้เผชิญหน้ากับกำแพง รู้เพียงแต่ว่ากำลังเช็ดน้ำตา ปีนั้นที่ฮัวมู่หลานออกรบแทนบิดา นางก็แอบถอนลมหายใจโล่งอก แล้วลมหายใจที่ว่านั่นก็กดทับนางมาสิบกว่าปี อย่างไรเสียฮัวมู่หลานก็เป็นบุตรสาวของนาง หลายปีมานี้หากกล่าวว่านางไม่รู้สึกผิดหรือเสียใจ ย่อมเป็นเรื่องไม่จริง บรรยากาศในห้องมืดมนถึงขีดสุด ความเงียบงันที่คล้ายกับเป็นพลังงานบางอย่างกำลังไล่ปิดหู ตา จมูก ปากของทุกคน มายามนี้ฮัวมู่หลานกลายเป็นแกนหัวใจของทั้งบ้าน ไม่ว่าที่คิดจะหาคู่ครองให้นางหรือกังวลว่านางจะไม่มีบุตร ล้วนเพราะทั้งบ้านต่างหวังว่าจะนำสิ่งที่ฮัวมู่หลานสูญเสียไปช่วยทดแทนให้นาง หวังว่าในอนาคตนางจะมีความสุข ดังนั้นเมื่อนางมีสุข พวกเขาย่อมสุข ยามนางทุกข์ พวกเขาต่างก็ทุกข์ด้วย ตอนที่บรรยากาศภายในห้องกดทับจนหยวนซื่อคิดอยากจะวิ่งออกไปข้างนอก ฝังซื่อที่อุ้มบุตรสาวไว้ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ชายผู้หนึ่งเจ้าของใบหน้าตกใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรในกลุ่มนั้นเอ่ยว่า “แม่ทัพฮัว ฮัวเหล่าฮั่น อยู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในตำบล ตอนนี้กำลังตรงมายังหมู่บ้านของท่าน! พวกเขามีทั้งขี่ม้า นั่งรถม้า ถามไปทั่วว่าแม่ทัพฮัวมู่หลานอยู่ที่ใด...” เฮ่อมู่หลันประหลาดใจ ฮะ? หาฮัวมู่หลาน? มาล้างแค้น? ตอบแทน? หรือว่าให้ของขวัญกันล่ะ? เฮ่อมู่หลันที่เมื่อครู่กำลังทั้งโกรธทั้งโมโหถูกคำพูดของคนพวกนี้ทำเอาความคิดกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ฮัวฟู่ย่นคิ้ว เปิดปากถามคำถามออกมาเป็นชุดใหญ่ “แต่งกายแบบชาวฮั่นหรือชาวเซียนเป่ย? มีเกราะหรือว่าอาวุธรึไม่? เป็นม้าดีหรือว่าม้าในกองทัพ? มีมากี่คน? นั่งรถม้าลากหรือว่ารถวัวลาก?” คนส่งสารเหล่านั้นถูกถามเสียจนใบหน้าชื้นเหงื่อ แม้แต่ฮัวเสี่ยวตี้กับฮัวมู่หลานยังมองไปยังผู้เฒ่าที่ยามปกติไม่ค่อยพูดจาอย่างคาดไม่ถึง “มีทั้งชาวเซียนเป่ยและชาวฮั่น สวมชุดเกราะ มีอาวุธ... มีอาวุธรึไม่นะ?” ชาวบ้านผู้หนึ่งหันไปถามสหาย “คล้ายกับว่าไม่เห็น มีกระบี่รึเปล่านะ?” เขาไม่แน่ใจ “อย่างนั้นเป็นม้าดีหรือม้าในกองทัพเล่า?” “ด้านหลังมีรอยตราประทับ เป็นม้าตอนกระมัง?” “ม้าทหาร? เป็นม้าของทหารกระมัง? เป็นม้าศึกที่ฮึกเหิมทีเดียว...” “เป็นรถม้าลากหรือว่ารถวัวลาก!” ได้ยินคำพูดของชาวบ้านผู้นั้น หัวคิ้วของฮัวฟู่ก็ผูกกันแน่นขึ้นไปอีก “เป็นเจ้าโง่ผู้ใด เอาของรถม้าสำหรับขนของในวังออกมาเข็นเล่น!” “ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่เวลาพูดอย่างนั้น...” ระหว่างที่พูดอยู่นั้น นอกเรือนก็มีเสียงย่ำกีบม้า ในหมู่บ้านของตระกูลฮัวมีน้อยคนที่เลี้ยงม้า ที่มีก็อาศัยค่อนข้างอยู่ไกล ที่นี่จะหน้าหรือหลังก็มีพื้นที่มากเพียงพอสำหรับให้ม้าวิ่ง พื้นดินราบเรียบ ดังนั้นยามมีเสียงกีบม้าย่อมได้ยินอย่างชัดเจน ทันใดนั้น “เยว่อิ่ง” ม้าคู่ใจของฮัวมู่หลานที่อยู่หลังเรือนก็ชะเง้อคอสูงร้องฮี้ ทั้งยังนำม้าตัวอื่น ๆที่อยู่ในโรงม้าให้ส่งเสียงตามไปด้วยเหมือนกับส่งสัญญาณที่ไม่คาดว่าจะเจอออกมา คนในตระกูลฮันกับชาวบ้านที่มาส่งข่าวรีบพยุงประตู เฮ่อมู่หลันแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเสียงม้าร้องพร้อมกันขนาดนี้มาก่อน จึงเลิกม่านประตูขึ้นแล้วเดินนำออกไป ได้ยินเพียงเสียงย่ำของกีบม้าราวกับสายฟ้าฟาดทั้งยังเสียงควบม้าที่ยังคงดังอยู่ทุกขณะ ในสถานที่ห่างจากบ้านไปสิบ*จ้าง มีทหารม้ากำลังชะลอความเร็วม้า ท่ากุมบังเหียนดูคล้ายกับการทำท่านมัสการประเภทหนึ่ง ทหารม้านั้นมีชาวบ้านมากมายที่ล้อมวงกันมาดูอย่างคึกคัก แต่ไม่ยักจะเห็นรถม้า ลองคิดดูอาจจะถูกสะบัดทิ้งไว้ข้างหลังแล้วก็เป็นได้ ฮี้ๆๆๆๆๆ เยว่อิ่วทะยานไปด้านหน้าสองก้าวอย่างบ้าคลั่ง กระโดดลอยตัวสูงออกมาไม้กันในคอกราวกับพายุคลั่งไปสู่ด้านนอก นักขี่ม้ามือดีที่อยู่หน้าประตูตระกูลฮัวทั้งหมดล้วนสวมชุดเป็นเสื้อคลุมผ้าสักหลาดตัวบางสีดำทั้งตัว ผู้ที่เป็นทหารอยู่ในกองทัพต้าเว่ยจะสวมชุดเครื่องแบบสีดำ ส่วนผู้ที่เป็นหัวหน้าจะสวมเสื้อที่สะท้อนแสงแวววาว บนศีรษะครอบ*กวนสีเงิน สิ่งที่เห็นตรงหน้าคนดั่งเสือ ม้าดั่งมังกร ตัวคนก็ดูแข็งแรงฮึกเหิม ทั้งม้าก็สง่างามผ่าเผย ม้าทุกตัวต่างก็ศีรษะสูงขายาว เป็นอาชาเทพที่โด่นเด่นกว่าผู้ใดจริงๆ เยว่อิ่งพอออกมาจากโรงม้าแล้วก็พุ่งตัวเข้าไปในกลุ่มม้าเหล่านั้นจากนั้นก็ถูกหัวถูหูกับพวกมัน ผู้มาเยือนทั้งสิบสี่คนเมื่อมาถึงหน้าบ้านตระกูลฮัวก็รีบลงจากหลังม้า เดินตรงไปยังเฮ่อมู่หลันที่ยืนอยู่ แม้พวกเขาคนไม่เยอะ แต่ละคนก็มีร่างกายบึกบึนแข็งแกร่ง เฮ่อมู่หลันสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร บุรุษเหล่านั้นไม่มีผู้ใดเตี้ยกว่านางเลยสักคน นอกจากนี้ร่างกายยังแฝงความสง่างามราวกับมีนักรบนับพันในหนึ่งเดียว ทั้งสิบสี่คนเมื่อเห็นฮัวมู่หลานกลับมาสวมชุดบุรุษแววตาก็ฉายความยินดี ผู้แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าในชุดเกราะเป็นประกายเดินผ่าออกมาจากกลุ่มคน รองเท้าบูตทำจากเหล็กส่งเสียงดัง “แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก” ดึงดูดให้สายตาคนทุกผู้ให้หันไปยังเขา เห็นเพียงแค่บุรุษหนุ่มใบหน้าหล่อเหลากำลังตรงมายังเบื้องหน้าของเฮ่อมู่หลัน เขาคุกเข่าลงหนึ่งข้าง แสดงความเคารพต่อนางจากนั้นก็ตะโกนกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน้อยซั่งกวนชิว ได้ยินข่าวว่าท่านแม่ทัพฮัวกำลังหาคู่ครองจึงมาเพื่อสู่ขอขอรับ!” ยามซั่งกวนชิวกล่าวจบ นักรบสิบสามคนด้านหลังก็แสดงความเคารพต่อนางแล้วจึงคุกเข่าสู่ขอ “ข้าน้อยอวี่หลินหลัง/อวี่หลินเจี้ยงจากเขตหก ได้ยินข่าวว่าท่านแม่ทัพฮัวกำลังหาคู่ครองจึงมาเพื่อสู่ขอขอรับ!” ผู้ชมด้านข้างมีเสียงหายใจออกออกมาไม่ขาด โดยเฉพาะฮัวฟู่ที่ดวงตาร้อนผ่าว ฝังซื่อที่อยู่ข้างๆด้านหนึ่งกล่อมลูกน้อยไม่ให้กลัว ด้านหนึ่งตื่นเต้นจนกระทั่งร่างสะท้าน นี่สิถึงจะเป็นฮัวมู่หลาน! นี่ต่างหากควรจะเป็นชีวิตของฮัวมู่หลานที่นางจินตนาการเอาไว้! นักรบทั้งสิบสี่ล้วนร่างสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรกว่าหรืออาจมากกว่านั้น รูปลักษณ์ห้าวหาญดั่งวีรบุรุษ นอกจากนี้บนร่างยังมีกลิ่นอายผู้นำต่างจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง ในจำนวนนั้นมียังนักรบชาวฮั่นที่ได้ไม่สวมเกราะ ดูออกชัดเจนว่าเป็นผู้ที่มาจากตระกูลชนชั้นสูง เสื้อผ้าบนร่างตัดทำอย่างสวยประณีตราวกับจะส่องแสงเป็นประกายได้อย่างไรอย่างนั้น เฮ่อมู่หลันยังคิดว่าเป็นผู้ติดตามในกองทัพของฮัวมู่หลาน ดูท่าแล้ว แม่ทัพวัยเยาว์ที่อยู่ด้านหน้าสุดคงเคยเป็นสหายเคียงบ่าเคียงไหล่ที่ทำสงครามร่วมกันของนาง ซั่งกวนชิวจากตระกูลนักรบชาวเซียนเป่ย ส่วนด้านหลังสิบสามคนที่เหลือนางไม่รู้จัก ที่แท้ไม่ได้มาทั้งล้างแค้นและทดแทนบุญคุณ แต่มาเพื่อสนับสนุนนาง เฮ่อมู่หลันทำหน้าไม่ถูก นางพยุงซั่งกวนชิวขึ้น ผงกหัวให้อีกฝ่าย “เด็กดี อย่าโวยวาย!”
已经是最新一章了
加载中