ตอนที่113 เป็นไข้   1/    
已经是第一章了
ตอนที่113 เป็นไข้
ตอนที่113 เป็นไข้ หาที่นั่งที่ติดหน้าต่างแล้วนั่งลง แสงแดดภายนอกยังคงร้อนแรง แต่ในใจเธอเต็มไปด้วยความห่วงใย คิดไปคิดมา จึงอดไม่ได้ที่จะโทรหานารา ต่อให้เธอจะหักห้ามตัวเองแค่ไหนว่าจะไม่ติดแต่หานาราอีก แต่ด้วยความที่เป็นห่วงปุริมเธอจึงทนไม่ไหว “นารา ฉันเอง” เมื่อทางนั้นรับสายแล้ว เธอจึงพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “โอ้ย ไม่ได้ข่าวคราวเธอตั้งนานเลยนะ เป็นไงบ้าง อยู่คฤหาสน์บ้านตระกูลพลสังข์สุขสบายดีไหม” “ก็ยังดี” เพ็ญนีติ์เดาไม่เอามาตลอดกับท่าทางของนาราที่มีต่อเธอกับปุริม ดูเหมือนจะจับคู่เธอกับปุริม และคนที่พาเพ็ญนีติ์มาหาปุริมก็คือนารา “ตอนนี้ฉันอยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง เธอจะออกมาดื่มด้วยกันสักแก้วไหม” เรื่องเกี่ยวกับบุริมเธอยังไม่กล้าที่จะพูดออกมา บางที ถ้านั่งต่อหน้านาราแล้ว นาราก็จะบอกสิ่งที่ตนรู้ให้เธอรับรู้ ความลับของผู้หญิงมักจะปิดได้ไม่นาน “ก็ดี เธออยู่ร้านไหน?” เพ็ญนีติ์บอกชื่อร้านกาแฟไป แล้วสั่งกาแฟมาค่อยๆดื่มไปพลางๆ รอนารามาถึง ในไม่ช้า หลังจากนั้นประมาณห้านาที เสียงโทรศัพท์ของนาราก็ดังขึ้น “ประตูหลัง รถแท็กซี่สีแดง ฉันรอเธออยู่ในรถนะ” นี่น่าเป็นนารานะ ฟังเสียงดูแล้วเหมือนนาราอยู่ แต่ เธอกับนารานัดเจอกันในร้านกาแฟนี่ คิดไม่ถึงว่านาราจะเปลี่ยนใจกระทันหัน แต่ว่าก็ดีที่เป็นทางประตูหลัง แบบนี้ คนขับรถของปุริมก็จะได้ไม่เห็น ถ้าคนในรถไม่ใช่นารา เธอค่อยกลับมารอนาราต่อก็ไม่สาย ไม่มีชื่อบันทึกไว้และยังเป็นหมายเลขแปลกๆก็ยืนยันแล้วว่าคนคนนี้ระมัดระวังตัว ไม่อยากให้คนอื่นนอกจากเธอรู้ว่าตนเป็นใคร หยิบกระเป๋าสะพายแล้วเดินออกไป เดินอ้อมระเบียงร้านกาแฟไป มีประตูอีกบานจริงๆ มีรถแท็กซี่สีแดงจอดอยู่ข้างหน้า ในขณะที่เพ็ญนีติ์กำลังมองผ่านกระจกดูว่าคนที่นั่งข้างในใช่นาราไหมนั้น หน้าต่างก็เปิดออก นาราที่สวมแว่นดำโบกมือเรียกเธอ “ฉันอยู่นี่ รีบขึ้นมา” เป็นนาราจริงๆด้วย ไม่รู้ว่านาราจะทำแบบนี้ทำไม แต่ เพ็ญนีติ์ไม่ทันคิดอะไรมาก ขึ้นรถก่อนแล้วค่อยว่ากัน เมื่อโดดขึ้นรถแล้ว ยังไม่ทันนั่งนิ่ง คนขับรถก็สตาร์ทรถแล้วถามว่า “คุณผู้หญิง จะไปไหนครับ” “ถนนยืนยาว” “ครับผม” คนขับรถขับรถไปยังถนนยืนยาวอย่างเงียบงัน เพ็ญนีติ์ไม่รู้จักชื่อถนนใดๆ และจำไม่ได้ จึงถามขึ้นว่า “นารา เธอจะพาฉันไปไหน? “เธอโทรหาฉันก็เพราะอยากรู้ข่าวคราวของคนคนนั้นไม่ใช่หรือ?” นาราหัวเราะอย่างไม่ปิดบัง เพ็ญนีติ์รู้สึกหน้าแดง “ได้ข่าวว่าเขาประสบอุบัติเหตุ อาการหนักไหม?” “ฮ่าๆ เธอเชื่อหรอ เธอคิดว่าเขาจะบาดเจ็บจริงๆหรอ?” หนังตากระตุก เพ็ญนีติ์โดนคำพูดของนาราเสียดแทงเข้าไปในใจ ความหมายของนาราก็คือปุริมไม่ได้บาดเจ็บและไม่ได้ประสบอุบัติเหตุงั้นหรือ? แต่ ในความทรงจำท่าทางของป้าเหมียวไม่เหมือนคนโกหก ในทันใดนั้น เพ็ญนีติ์รู้สึกกระวนกระวาย “เดี๋ยวก็ถึงแล้ว รอเธอเห็นตัวเป็นๆ เธอก็จะเข้าใจว่าที่ฉันพูดหมายความว่ายังไง” นาราพูดขึ้นอย่างมีลับลมคมในโดยไม่สนใจความประหลาดใจของเธอ เธอกำชายเสื้อไว้แน่น ในใจตื่นเต้น นั่นต้องเป็นสถานะการณ์ที่จะทำให้เธออับอายเป็นแน่ เธอไม่ควรไป ไปแล้ว มีแต่จะทำให้เธอทุกข์ทรมาน แต่เมื่อความรู้สึกในใจลึกๆปฏิเสธที่จะไป ในใจอีกข้างกลับเรียกร้องที่จะไปให้ได้ อยากจะดูว่าที่นาราพูดความจริงแล้วคืออะไรกันแน่ ถนนยืนยาว ไม่ช้าก็มาถึง เมื่อนาราสั่งให้คนขับจอด เธอเพิ่งจะรู้ว่านาราจะไปเธอไปที่ไหน ห้องสปาน้ำแร่ราคาแพงที่สุดในเมืองดรัล เพราะ น้ำแร่ทั้งหมดต่อมาจากนอกเมืองดรัลทั้งหมด ขั้นตอนพวกนี้เรียกได้ว่าใช้ค่าใช้จ่ายมหาศาลเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นน้ำแร่ทั้งหมดจึงเป็นธรรมชาติ และด้วยเหตุนี้ จึงมีราคาที่แพงอย่างมาก ถ้าปุริมบาดเจ็บจริงๆ เขาจะมาแช่น้ำแร่ไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเมื่อนาราจูงมือเธอเข้าไปในห้องสปาน้ำแร่ ในใจเธอเต้นระรัว ปุริม เขาจะทำอะไรอยู่ในนี้ ห้องส่วนตัวแต่ล่ะห้องปิดไว้อย่างหนาแน่น เยอะแยะมากมาย ใครก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าข้างในมีใครอยู่ นารากลับจูงมือเธอเดินตรงไปอย่างไม่ลังเล เหมือนจะคุ้นเคยกับที่นี่มาก เมื่อเดินๆไป ฝีเท้านาราก็ช้าลง เพ็ญนีติ์ก็หยุดตามตรงหน้าห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง หน้าประตูไม่มีใครเฝ้าไว้ ประตูนั้นก็ปิดแน่อยู่ เพ็ญนีย์คิดว่านาราจะไม่เปิดอย่างแน่นอน กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะลวงเอากุญแจลักษณะแปลกๆออกมาจากกระเป๋าถือ เสียบเข้าไปเบาๆ แล้วค่อยๆบิด ทำแบบนี้เหมือนกลัวว่าจะส่งเสียงดังทำให้คนข้างในตื่นตัว เมื่อประตูเปิดแล้ว ก็ค่อยๆพลักประตู มีม่านปรากฎอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น เสียงอ่อนหวานของผู้หญิงก็ดังออกมา “ปุริม แช่อยู่แบบนี้คราวหน้าก็จะไม่เจ็บแล้วจริงๆใช่ไหม?” “อืม ช่วยได้จริงๆ เพราะงั้นกิจการที่นี่ถึงได้เจริญรุ่งเรืองไงครับ” เสียงผู้ชายนั้น ปุริมโกหกเธออีกแล้ว หรือว่า นอกจากเพ็ญนีติ์แล้วเขายังโกหกทุกคน เพราะอะไร? เพราะอะไรกันแน่? เธอฟังอยู่เงียบๆ แต่กลับหลับตาไว้ เธอไม่มีเรี่ยวแรงไปดูชายหญิงในห้องแช่น้ำแร่นั้น นาราดึงมือค่อยๆพาเธอออกมา ในที่นี่ เหมือนนารามาสืบดูก่อนแล้ว แม้กระทั่งกุญแจยังสามารถเอามาได้ ต้องยอมรับว่านารามีเส้นสายไม่เบา เมื่อนาราหยุดเดิน เพ็ญนีติ์ถึงรู้สึกตัวว่านาราพาเธอออกมาถึงด้านนอกแล้ว ในขณะเดียวกัน นารากำลังโบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง เมื่อรถมาจอด เพ็ญนีติ์ยังนิ่งงงงันดูแล้วเหมือนยังไม่รู้สึกตัว “เพ็ญนีติ์ จะให้ฉันไปส่งเธอไหม?” นาราพาเธอขึ้นรถแล้วถามขึ้น “เออ ไม่เป็นไร” เพ็ญนีติ์ค่อยรู้สึกตัว เมื่อกี้ เหมือนกระจิตกระใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในหูยังมีเสียงเพ็ญภัทร์กับปุริมคุยกันดังก้องอยู่ บาดถึงหู บาดทั้งใจจนเจ็บปวด เพียงเพื่อนัดเดทกับเพ็ญภัทร์ เขาถึงกับไม่แคร์ความรู้สึกของเธอกับลูกที่โกหกจนเธอกับลูกต้องเป็นห่วง ปุริม ครางนี้เขาทำเกินไปแล้วจริงๆ คิดถึงอ้อมกับส้มที่เป็นห่วงเขา เธออยากที่จะกลับไปตบปุริมให้ตื่น แต่ในใจก็หักห้ามความคิดนี้ไว้ และไม่ได้ เธอจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เธอกลับมาถึงร้านกาแฟอีกครั้ง ท่าทางเธอเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เธออยากดื่มเหล้า อยากดื่มมาก แต่ดูเวลาแล้วก็ใกล้ถึงชั่วโมงกว่าแล้ว คนขับรถของปุริมใกล้จะมาถึงแล้ว จึงหักห้ามไม่ได้สั่งเหล้า ดื่มกาแฟเป็นแก้วๆ เหมือนกาแฟจะทำให้คนเมาได้ ทั้งวันเธอเหมือนคนไร้วิญญาณ เธอไม่อยากคิดและจะไม่ครุ่นคิด แม้แต่ป้าเหมียวที่ดูจริงใจขนาดนั้นเขายังโกหกได้ลงคอ นับประสาอะไรกับเธอ แต่เพ็ญภัทร์..... ในใจ รู้สึกเจ็บปวดทรมาน นี่เป็นการหักหามน้ำใจกันรุนแรงมาก เพื่อให้ได้เจอกับเพ็ญภัทร์ เขาต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ “คุณผู้หญิงคะ เด็กๆจะกลับมากันแล้ว คนขับรถให้มาถามว่าคุณผู้หญิงจะไปรับด้วยไหมคะ?” เพ็ญนีติ์ส่ายหัว “ไม่ล่ะ ให้คนขับไปรับกลับมาก็พอ” เธอนอนอยู่บนเตียง ไม่อยากที่จะออกไปไหน เหมือนดั่งหากเธอออกไปเจอแสงสว่างข้างนอกในใจเธอก็จะกลายเป็นหลุมดำมืด ไม่มีแม้อันตรายใดๆ อุบัติเหตุอะไร ล้วนหลอกลวงทั้งนั้น ตอนกลางคืน ปุริมก็ยังไม่กลับมา เมื่อกล่อมเด็กๆหลับแล้ว ในใจเธอก็เหนื่อยล้าเป็นที่สุด เปิดหน้าต่าง แล้วอยากแค่เพียงหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ ในใจเธอวุ่นวาย แต่เธอยังอยู่ที่นี่ ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก มึนๆตึงๆแล้วหลับไป ในกลางดึก เธอตกใจตื่นเพราะเสียงฟ้าผ่า ฝนตกแล้ว ลมพัดผ่านผ้าม่านดังเข้ามา แม้แต่ละอองฝนก็สาดเข้ามาในห้อง เธอเดินเท้าเปล่าไปตรงหน้าต่าง ยื่นมือออกไป ฝ่ามือเต็มไปด้วยเม็ดฝนเย็นๆ เธอไม่อยากปิดหน้าต่าง อยากให้เม็ดฝนไหลเตือนสติเธอ เวลาผ่านไปนาน ก็ยังมองดูฝนอยู่ที่หน้าต่าง เนินนานก็ยังไม่ตื่นจากภวังค์ “คุณแม่คะ ทำไมแม่ไอตลอดเลยคะ เป็นหวัดหรือเปล่าคะ?” เธอตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ารุ่ง ลูกๆต้องไปโรงเรียนอนุบาล เมื่อก่อนเธอต้องไปส่งเองตลอด ตอนนี้ถึงเธอจะไม่ต้องส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาล แต่ก็ไม่อาจไม่สนใจพวกเธอ “แค่กๆ...แค่กๆ” ไอหลายครั้งแล้วจึงหยุด “น่าจะใช่” “คุณแม่ต้องทานยานะคะ” “รู้แล้วค่ะ” มีลูกสาวนี่ดีจริงๆ รู้จักเป็นห่วงเธอแล้วด้วย “คุณแม่คะ หนูกับอ้อยไปโรงเรียนแล้วนะคะ แม่อยู่บ้านพักผ่อนเยอะๆนะคะ” “โอเคค่ะ” เธอโบกมือยิ้มส่งลูกๆ พวกเธอชอบไปโรงเรียนมาก มีเพื่อนเล่นนั้นความรู้สึกไม่เหมือนอยู่กับบ้านแน่นอน เหมือนเธอตอนนี้ เมื่อเด็กไม่อยู่แล้วก็เหลือแค่เธอคนเดียว นึกว่าเธอจะโดนลมหนาวนิดหน่อยเท่านั้น ในช่วงฤดูร้อนแบบนี้การเป็นไข้หวัดถือเป็นเรื่องเล็กน้อย จนคิดไม่ถึงว่า เมื่อถึงตอนกลางคืนอาการยิ่งเป็นหนัก อุตส่าห์อดทนจนลูกๆกลับมา กลับพบว่าดูเหมือนพวกเธอจะติดหวัดจากเธอเริ่มมีอาการไปขึ้นมา “คุณแม่คะ หนูก็เป็นหวัดแล้วค่ะ คุณครูบอกว่าให้พักอยู่บ้านดีกว่าค่ะ ดังนั้น สองวันนี้หนูกับส้มไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วนะคะ” เธอเข้าใจ ถ้าหากเด็กคนอื่นในโรงเรียนไม่สบาย เธอก็คงไม่ให้อ้อยกับส้มไปโรงเรียนแน่ กลัวติดหวัดกัน อาการป่วยนี้จะว่าหนักก็ไม่หนัก แต่หากติดหวัดแล้วจะทรมานจริงๆ ปวดหัว คัดจมูก ยังดีที่เธอไม่เป็นไข้ แต่ว่าในกลางดึก พวกเด็กๆกลับมีไข้สูง และมีไข้สูงกว่าสองชั่วโมง ตอนนอนเพราะไม่วางใจ ดังนั้น เธอจึงเรียกอ้อยกับส้มมานอนด้วยกันสามคน กลางดึก ร่างกายเธอสัมผัสโดนตัวส้มแล้วก็ต้องตกใจ ร้อนมาก ยื่นมือไปวางบนหน้าผากส้ม ถึงรู้ว่าเป็นไข้สูง
已经是最新一章了
加载中