ตอนที่114 เกลียดเขามาก   1/    
已经是第一章了
ตอนที่114 เกลียดเขามาก
ตอนที่114 เกลียดเขามาก ในเวลาดึกดื่น ข้างนอกก็ฝนตก โทรหาคนขับรถก็ไม่รับสาย โทรหานรวรก็เหมือนกัน แต่จะให้เธออุ้มลูกสองคนไปเรียกแท็กซี่ ฝนก็ตกหนักแบบนี้ จึงเป็นไปได้ยาก กลางดึกแบบนี้เธอไม่อยากทำให้คนใช้แตกตื่น ที่จริง ในเวลาแบบนี้คนที่สมควรปรากฎตัวที่สุดน่าจะเป็นปุริม เขาสุขภาพแข็งแรงขนาดนั้นแล้วลูกๆเป็นไข้หวัดแบบนี้เขาน่าจะต้องปรากฎตัวสิ คิดดังนั้น นิ้วมือจึงกดโทรหาปุริม แต่โทรศัพท์ปุริมปิดเครื่อง เธอหยิบหมอนโยนลงกับพื้นอย่างแรง “ปุริม ไปตายซะ” เธอเกลียดเขามากจริงๆ ยอมรับลูกๆ แต่กลับเป็นพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ เด็กๆเริ่มละเมอ ไข้ที่สูงขึ้นทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก รีบโทรหานภนต์ “นภนต์ คุณรีบมา อ้อยกับส้มเป็นไข้สูง ต้องรีบส่งโรงพยาบาล” “คุณอยู่ไหน? ยังอยู่ที่คฤหาสน์ใช่ไหม?” “ใช่” นึกว่าเขารู้แต่แรกแล้ว ช่วงนี้นภนต์คงงานยุ่งมาก “รอแปบนะ ผมจะรีบไป อีกยี่สิบนาที” นภนต์รีบพูดอย่างรวดเร็ว แล้ววางสาย ก่อนวางสายเขาได้โดดลงจากเตียงก่อนแล้ว รีบสตาร์ทรถแล้วขับออกไป ท้ายที่สุด คนที่เป็นห่วงเธอกับอ้อยส้ม กลับเป็นนภนต์ ปุริม เขาคงกำลังอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเพ็ญภัทร์ มีเมนิลา มีจิณณะ เพ็ญภัทร์ยังกล้าแอบนัดเจอกับปุริม สองคนนี้คงอยากที่จะอยู่ด้วยกันให้ได้ เธอยืนกระวนกระวายอยู่ริมหน้าต่าง ไม่มีเวลาไหนที่ไม่ทรมาน สิ่งที่เธอหวาดกลัวที่สุดก็คือลูกๆป่วย นั่นเป็นสิ่งที่เธอเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าตัวเองป่วยซะอีก ในที่สุดเพ็ญนีติ์ก็มองเห็นไฟรถสว่างอยู่หน้าบ้าน เธอรีบอุ้มอ้อยกับส้มวิ่งออกไป เขารับเอาเด็กๆจากมือเพ็ญนีติ์ทีล่ะคนแล้ววางไว้ในรถ บนตัวเด็กๆนั้นแห้งอยู่ แต่เพ็ญนีติ์กลับเปียกไปหมดทั้งตัว จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งยื่นให้เธอ “เช็ดก่อน” เธอยื่นมือรับมาอย่างเกรงใจ เธอไม่ได้เจอนภนต์มาได้สักพักหนึ่งแล้ว ในตอนนี้เขาดูแก่ลงไปมาก แม้แต่หนวดเคราก็ขึ้น ถึงจะไม่ยาว แต่ก็ทำให้เขาดูแก่ลงไปมาก “นภนต์ ขอบใจมากนะ” “ดูแลเด็กๆเถอะ อย่าเกรงใจผมเลย ผมจะขับเร็วหน่อย จะได้ถึงโรงพยาบาลเร็วนะ” เธอช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ ตัวเองเต็มใจตากฝนเอง แต่กลับเป็นเหตุแพร่เชื้อหวัดให้กับเด็กๆ ยังเป็นไข้อีก ถ้าเป็นไข้จนปอดอัเสบเธอคงเป็นบาปแน่ เมื่อรถจอด นภนต์รีบโดดลงจากรถก่อน แล้วรีบพูดว่า “เพ็ญนีติ์ ตามมานะ” ไม่ทันได้สนอะไร รถก็จอดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ในกลางดึกฝนก็ตกแบบนี้คนไข้ไม่ค่อยเยอะ อ้อยกับส้มสำคัญที่สุด เมื่อได้ฟังเสียงหัวใจเต้น แล้ววัดไข้ คุณหมอก็ต้องตกใจ “42องศา ถ้ายังปล่อยให้ร้อนอยู่แบบนี้น่ากลัวว่าจะเป็นปอดอักเสบ เร็วรีบเอาไปให้น้ำเกลือ ชักช้าจะไม่ทันการ” คุณหมอสั่งพยาบาลกับเพ็ญนียติ์อย่างจริงจัง แล้วค่อยจากไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ มองดูพยาบาลให้น้ำเกลืออ้อยกับส้ม แล้วตอนที่ปลายเข็มแทงลงไปที่หลังมือของพวกเธอ ความเจ็บนั้นเหมือนเจ็บจี๊อยู่ในใจเธอ เสียใจมาก เพราะเธอคนเดียว ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเธอตากฝน เรื่องพวกนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด ตอนที่ปุริมไม่อยู่ เด็กทั้งสองก็จะชอบตัวติดกับเธอ ผลที่ตามมาอะไรก็เกิดขึ้นแล้ว ยุ่งอยู่สักพัก เด็กๆได้เติมน้ำเกลือแล้ว และก็หลับไปแล้ว ดึงผ้ามาห่มให้พวกเธอ ตอนเด็กๆเธอก็กลัวพวกเธอป่วยที่สุด ในตอนนั้น เธอก็จะเรียกนภนต์พาเธอมาส่งโรงพยาบาล มองดูพวกเด็กๆ น้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา หล่นลงเปื้อนชายเสื้อ หล่นลงใส่หลังมือ เธอเสียใจมากจริงๆ “เพ็ญนีติ์ สีหน้าคุณก็ไม่ค่อยดีเลย ติดจากเด็กๆหรือเปล่า?” มองดูเด็กได้เติมน้ำเกลือเรียบร้อย แล้วนภนต์ค่อยได้หันมามองเพ็ญนีติ์ “ฉัน....ฉันไม่เป็นไร” น้ำเสียงแหบ เธออยากที่จะฆ่าตัวเองให้ตายยิ่งนัก “เพ็ญนีติ์ ทำไมหน้าคุณแดงขนาดนี้? ให้ผมดูหน่อย” มือใหญ่อบอุ่นข้างหนึ่งวางบนหน้าผากเธอ “ร้อนมาก เพ็ญนีติ์ ทำไมไม่บอกผม? พยาบาล พยาบาล....” พยาบาลที่เพิ่งเดินออกไปหวนเดินกลับมา “คุณคะ กรุณาอย่าเสียงดังค่ะ คนป่วยนอนพักผ่อนแล้วนะคะ” “ขอโทษครับ ผมใจร้อนจนลืมครับ รีบเติมน้ำเกลือให้เธอด้วยครับ เธอก็เป็นไข้ครับ ” พยาบาลลองจับดู เป็นไข้จริงๆด้วย และเมื่อเทียบกับอาการของเด็กๆอาการหนักไม่แพ้กันเลย ในห้องผู้ป่วยจึงเริ่มวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง แปบเดียว สามแม่ลูกก็ได้เติมน้ำเกลือด้วยกัน เธอเริ่มปวดหัว แล้วก็เจ็บคอ ไม่อยากพูดอะไร ดีที่เด็กๆนอนหลับอย่างสบายแล้ว เธอจึงปล่อยให้นภนต์ทำโน้นนี่นั่นให้พวกเธอ ภาพนี้ดูเหมือนเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เธอเพิ่งคลอดอ้อยกับส้ม ในตอนนั้นนภนต์ก็วิ่งวุ่นดูแลพวกเธอในขณะอยู่เดือน เธอรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก ทำไมต้องคลอดลูกของปุริม? แล้วทำไมต้องบอกเขาว่าอ้อยกับส้มเป็นลูกของเขา? เสียใจมาก เสียใจมากจริงๆ เขารู้ทุกอย่างแล้ว และเมื่อเธอกับลูกไม่สบาย เขากับไปพอดรักอยู่กับผู้หญิงคนอื่นและทิ้งขว้างเธอกับลูก ในโลกนี้คงไม่มีความยุติธรรม ในขณะที่เธอต้องการคนดูแลเขากลับอยู่กับผู้หญิงที่เขารัก แต่กลับเป็นนภนต์ทุกครั้งที่คอยดูแลเธอ ไข้ที่สูงทำให้เธออ่อนล้า ทีแรกเมื่อตอนกลางวันเธอแค่เป็นหวัดไม่ได้มีไข้ แต่เพราะความเป็นห่วงเด็กๆ ทำให้เธอก็เริ่มเป็นไข้ขึ้นมา เนื้อตัวเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ผ้าห่มโดนเธอถีบทิ้งแล้วก็ลากมาห่ม หลายครั้งที่รู้สึกว่ามีมือใหญ่มือหนึ่งคอยห่มผ้าให้เธอ นภนต์คงคอยดูแลเด็กๆ เธอลืมตา ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปสนใจอะไร ได้ยินเพียงเสียงฝนพร่ำนอกหน้าต่าง ด้วยความรู้สึกที่โศกเศร้า เมื่อตื่นขึ้นมาจึงเพิ่งรู้ว่าตนและลูกๆถูกย้ายมายังห้องพักพิเศษแล้ว ขวดน้ำเกลือยังแขวนอยู่ มองดูพวกเด็กๆในใจเธอค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง “นภนต์....” เสียงแหบแห้งของเธอร้องเรียกขึ้น เขาไม่อยู่ เธอกลับรู้สึกใจไม่ดี ภายในห้องผู้ป่วยที่ว่างเปล่านี้ขาดผู้ชายสักคนไม่ได้จริงๆ และแล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อเธอมองตามเสียงฝีเท้านั้นไป ที่เห็นกลับไม่ใช่นภนต์ แต่เป็นนรวรกับป้าเหมียวที่กำลังรีบเดินเข้ามา “คุณผู้หญิงคะ จะทานอะไรคะ?” ริมฝีปากแห้ง หิวน้ำ เธอจึงพยักหัว “น้ำ” ป้าเหมียวรีบยกน้ำมา ยื่นให้เธอพร้อมบ่นว่า “เมื่อคืนทำไมไม่เรียกป้ามาโรงพยาบาลด้วยคะ?” เธอพิงหมอนดื่มไปคำเดียว แล้วก็วางแก้ว พูดขึ้นว่า “เขายังไม่มา ฉันมีสิทธิ์อะไรไปใช้ป้า” ปุริมในฐานะพ่อของอ้อยกับส้มที่แข็งแรงดียังไม่มา เธอจึงไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ให้คนใช้ของเขามาด้วย ที่เรียกหานภนต์ นั่นเป็นเพราะเธอเชื่อใจ “ใช่ นภนต์ล่ะ?” “ท่านประธานให้เขากลับไปก่อนแล้วค่ะ” ในใจสั่นเทา เธอไม่เข้าใจปุริมมีสิทธิ์อะไรมาสั่งนภนต์ และคราวนี้นภนต์ดูเหมือนจะ “เชื่อฟัง” น่าแปลกมาก “เขาล่ะ? ทำไมไม่มา? ลูกๆเป็นไข้นะ” ตั้งใจพูด “เป็นไข้” สองคำนี้อย่างดัง บ่งบอกถึงความโกรธมาก “ท่านประธานยุ่งมากครับ ยังดูงานอยู่ ยังมาไม่ได้ครับ” นรวรพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน เพ็ญนีติ์มองดูป้าเหมียว ป้าเหมียวก้มหน้าก้มตา เหมือนจะกลัวเพ็ญนีติ์พูดถึงเรื่องที่ปุริมได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด “เห้อ ต่อให้มาไม่ได้ โทรมาน่าจะได้ไหม” “คุณผู้หญิงครับ ท่านประธานยุ่งอยู่จริงๆนะครับ” “งั้นแสดงว่ายุ่งจนไม่ต้องทานข้าวไม่ต้องนอนหลับเลยใช่ไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น งั้นฉันจะไม่ว่าอะไร ถ้าไม่ใช่ งั้นอย่างน้อยนอนน้อยสักหนึ่งนาทีทานน้อยสักหนึ่งคำก็น่าจะโทรมาได้” เธอพูดขึ้นอย่างขมขื่น ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเธออยากหายเร็วๆเพื่อจะได้ดูแลอ้อยกับส้มแล้วล่ะก็ เธออยากที่จะลุกขึ้น แลัวไปลากตัวปุริมมาเดี๋ยวนี้เลย ผู้ชายคนนั้น ทำให้เธอเกลียดเข้ากระดูก “คุณผู้หญิงครับ งั้นผมจะลองโทรไปถามนะครับ ถ้ามีเวลาก็จะให้ท่านประธานโทรมานะครับ” น้ำเสียงนรวรพูดขึ้นอย่างลำบากใจ พูดตามตรง เขาเพิ่งเคยเห็นเพ็ญนีติ์เป็นแบบนี้ครั้งแรก ถึงแม้จะป่วยอยู่ แต่แววตาที่แฝงด้วยความโกรธนั้นชัดเจน ชัดเจนจนเขารู้สึกผิดปกติ เพ็ญนีติ์ เหมือนจะรู้เรื่องอะไรเข้าแล้ว แต่นรวรก็ไม่รู้ว่าเพ็ญนีติ์รู้เรื่องอะไร “ไม่ต้อง ฉันไม่ต้องการ” เธอคิดเพียงว่าเมื่อไหร่จะครบหกเดือน เธอจะได้เป็นอิสระภาพสักที กับสถานะของเด็กๆนั้นไม่มีความสำคัญแล้วจริงๆ ขอแค่เธอกับลูกๆได้อยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้ว เมื่อครบหกเดือน เธอก็สามารถพาลูกไปด้วยได้ เพราะ เด็กๆรักเธอ แยกจากเธอไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้น ระหว่างเธอกับปุริมก็จะไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกัน น้ำเสียงที่เยือกเย็นนั้น ทำให้นรวรกับป้าเหมียวรู้สึกใจสั่น ป้าเหมียวสะกิดนรวร บ่งบอกว่าให้นรวรออกไป เธอรู้สึกว่าเรื่องที่ปุริมบาดเจ็บจะปิดบังเพ็ญนีติ์อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ให้ทั้งสองสามีภรรยาเข้าใจกันผิดแบบนี้ไม่ดีเลย เธออยากเห็นทั้งสองมีความสุขอยู่กับลูกๆ ดังนั้น เธออยากจะปรึกษานรวร แล้วพูดความจริงออกมา “นรวร ฉันรู้สึกว่าน่าจะให้คุณผู้หญิงรับรู้เรื่องที่ท่านประธานบาดเจ็บนะ ฉันว่า ไม่งั้น....” “ไม่ได้ ท่านประธานสั่งไว้ว่าห้ามเพ่งพายออกไป” ในใจเริ่มอ่อน ไม่มีใครรู้เรื่องเท่านรวรแล้ว “งั้นก็ได้” ป้าเหมียวไม่อยากยอม แต่ก็โน้มน้าวนรวรไม่ไหว จึงต้องยอมรับ เมื่อเติมน้ำเกลือแล้ว ในที่สุดเด็กๆก็หายไข้ ทำให้เพ็ญนีติ์เบาใจไม่น้อย แต่ก็ยังรีบออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ ถ้าเป็นไข้ขึ้นมาอีก เด็กๆเป็นไข้สูงนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ถึงตอนนั้นถ้าปอดอักเสบขึ้นมาเธอคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
已经是最新一章了
加载中