ตอนที่115 มีความจำเป็น   1/    
已经是第一章了
ตอนที่115 มีความจำเป็น
ตอนที่115 มีความจำเป็น ดังนั้นด้วยความจำเป็น เพ็ญนีติ์กับลูกๆจึงยังต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ ป้าเหมียวเอาข้าวต้มมา ล้วนรสจืดๆ เป็นไข้หวัดแบบนี้ต้องทานอะไรจืดๆ แต่ทานยังไงก็ไม่อร่อย พวกเด็กๆก็เช่นกัน ทานเพียงนิดหน่อยแล้วก็ไม่ทานแล้ว คงเป็นเพราะยังป่วยอยู่ คนเราพอป่วยรสชาติต่างๆก็จะด้อยลง แต่เด็กๆไม่รู้จักแกล้งป่วย เมื่อหายไข้แล้วก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “คุณลุงนรวร คุณพ่อล่ะคะ? พวกเราคิดถึงคุณพ่อแล้วค่ะ” นรวรมองเพ็ญนีติ์อย่างลำบากใจ แล้วพูดขึ้นว่า “คุณพ่อไม่สะดวกโทรมาหาครับ แต่ว่าท่านจะหาโอกาสให้ได้นะครับ” ตอนเที่ยง น้าน้ำก็มา นำอาหารที่เด็กๆชอบมาด้วย ยังมีซุปไก่ มองเห็นน้าน้ำ พวกเด็กๆก็ทั้งวิ่งทั้งเต้น ไม่เหมือนคนป่วยเลย แต่อาการเพ็ญนีติ์ไม่มีแววที่จะดีขึ้นเลย ทานอาหารเที่ยงแล้วก็กล่อมเด็กๆนอนพักเที่ยง อาจเป็นเพราะฤทธิ์น้ำเกลือ เป็นเหตุให้อ้อยกับส้มนอนหลับอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ตกใจตื่น ยังไม่ทันลืมตาก็รู้สึกได้ว่าบนหัวเตียงผิดปกติ เมื่อลืมตาขึ้น กลับไม่พบอะไร ภายในห้องผู้ป่วยที่เงียบงัน เด็กๆที่เงียบสงบ มีเพียงป้าเหมียวที่นั่งเปิดหนังสือพิมพ์ดูอยู่ตรงเตียงผู้ดูแลคนไข้อย่างเรื่อยเปื่อย นึกว่ายังไงปุริมจะน่าจะมีแก่ใจโทรมา แต่ไม่มีเลย จนทั้งบ่ายก็ไม่มี ในหัวยังคงมึนๆงงๆกับเงาที่คุ้นเคยเมื่อตอนกลางวัน น่าจะใช่ปุริมจริงๆ แต่ทำไมเธอลืมตามากลับไม่เห็นมีอะไรแล้ว? ค่ำคืน มาถึงอย่างรวดเร็ว ค่ำคืนในโรงพยาบาลช่างไม่น่าอยู่ยิ่งนัก แต่ห้องผู้ป่วยของพวกเธอเป็นห้องที่พิเศษที่สุด บวกกับทีวี ไมโครเวฟต่างๆล้วนมีพร้อม เหมือนดั่งบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ไม่สะดวก มีน้าน้ำมาส่งของกิน ป้าเหมียวว่างอย่างมีความสุข เล่นอยู่กับเด็กๆบ่อยๆ เธอชอบอ้อยกับส้มมาก ค่ำคืน ยิ่งดึกพวกเด็กๆก็นอนกันสนิทแล้ว หนังตาเพ็ญนีติ์กระตุกอยู่ตลอด ยังไงก็นอนไม่หลับ เหมือนจะนอนหลับแล้ว แล้วก็เหมือนตื่นอยู่ กลิ่นกายที่คุ้นเคยเมื่อตอนกลางวันยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอ ปุริม เขายังคงมาวนเวียนทรมานเธออยู่ตลอดเวลา ไม่ ตอนนี้เขาน่าจะอยู่กับเพ็ญภัทร์ ทำทุกวิธีทางเพื่อให้คนอื่นคิดว่าเขาประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ แต่ความจริง เขายังแข็งแรงดีกำลังพอดรักอยู่กับเพ็ญภัทร์ เขาคงไม่อยากให้จิณณะสงสัย แต่ใครทำอะไรก็ยังมีฟ้ามองอยู่ ในโลกนี้ไม่เคยมีอะไรที่จะไม่ถูกเปิดเผย นอกจากรู้ตัวเองดี ป้าเหมียวไม่รู้ ไม่ได้แปลว่านรวรไม่รู้ ไม่ได่แปลว่าเธอกับนาราจะไม่รู้ เธอนอนอยู่อย่างนิ่งๆ ในหัวได้ยินเพียงเสียงเขากับเพ็ญนีติ์คุยกัน ทำให้เธอนอนยังไงก็นอนไม่หลับ และแล้ว กลิ่นกายที่คุ้นเคยก็พัดมาจากหัวเตียงอีกครั้ง ในตอนนี้เพ็ญนีติ์ตื่นอยู่ ไม่ได้หลับๆตื่นๆเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ไม่มีเสียงใดๆ มีเพียงกลิ่นกายที่สัมผัสได้อย่างนิ่งๆ ข้างหน้า เป็นเสียงฝีเท้าที่ย่องอย่างแผ่าเบา ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเธอตั้งใจฟังอยู่ เธอจะต้องไม่ได้ยินเป็นแน่ นั่นเหมือนคนกำลังหมุนตัว ลมบางเบาพัดผ่านใบหน้าเธอ เมื่อเธอลืมตามือของเธอก็ยื่นออกไป คว้าแขนของคนคนนั้นในความมืดไว้อย่างแน่น เงานั้น ลมหายใจนั้น มีเพียงปุริม “คุณบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ?” เธอข่มเสียง แฝงด้วยความตำหนิ เขาทำเพื่อเพ็ญภัทร์อีกแล้ว เขายืนนิ่ง หันหลังพูดกับเพ็ญนีติ์ว่า “ป่วยก็ป่วยอยู่ อย่าไปใส่ใจเรื่องของคนอื่น ดูแลตัวเองให้ดีสำคัญที่สุด” เสียงของเขาเคร่งขรึม เมื่อเธอได้ฟังแล้วกลับรู้สึกว่าเขากำลังบอกเธอว่า “เพ็ญนีติ์ แล้วแต่เวรแล้วแต่กรรมของเธอเถอะ” ในร่างกายเธอดั่งลุกเป็นไฟ “ปุริม คุณเป็นสามีของฉันในทางนิตินัยนะ ฉันไม่ได้ห่วงว่าคุณจะบาดเจ็บไหม ฉันแค่ต้องการได้รับเกียรติที่ฉันควรจะได้รับ” “เห้อ งั้นคุณไม่ได้เป็นห่วงว่าผมจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ใช่ไหม?” เขาหันกลับมา ใบหน้าผอมกว่าวันนั้นที่ไปสุสานด้วยกัน ถึงจะไม่ชัดเจน แต่ไม่เห็นหลายวัน เพ็ญนีติ์มองแปบเดียวก็รู้ “คุณไม่ได้บาดเจ็บ แล้วทำไมฉันจะต้องเป็นห่วง” มองสำรวจดูเขาอย่างโมโห “คุณคิดว่าโกหกคนแก่อย่างป้าเหมียวนั้นสมควรแล้วหรือ?” “ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมสมควรทำ เพ็ญนีติ์ คุณจะยุ่งมากไปแล้วนะ” “ในเมื่อไม่ได้บาดเจ็บ งั้นก็คงออกไปดูงานเหมือนที่นรวรบอกงั้นสิ” เธอมองเขาอย่างยิ้มหยัน น้ำเสียงแฝงด้วยความเหน็บแนม นึกถึงที่เขากับเพ็ญภัทร์อยู่ด้วยกัน ก็อดไม่ได้ที่จะโมโห “อืม หลายวันนี้มีงานต้องสะสาง ผมจะไปดูลูกๆ” เขาพูดแล้วก็กำลังจะเดินไปหาอ้อยกับส้มที่เตียง มือ ปล่อยชายเสื้อเขา ให้เขาได้เดินไปหาอ้อยกับส้ม ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตัวเองช่างงี่เง่า เธอผิดไปแล้วหรอ เขากับเพ็ญภัทร์จะอยู่ด้วยกันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ เขาเคยบอกเธอแต่แรกแล้วว่าห้ามเธอหลงรักเขา ต่อให้เคยขึ้นเตียงกันแล้วยังไง ผู้หญิงที่เคยนอนกับเขามีตั้งมากมาย เมื่อคิดดังนี้แล้ว ความโกรธที่เธอมีเมื่อกี้ ณ ตอนนี้ความรู้สึกของเธอนั้นหมดแรง เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า เธอไม่มีความสุข แต่เหตุผลที่ไม่มีความสุขกลับบ้าบอคอแตก สายตามองตามเขาเดินไป และมองเขานั่งลงอยู่ข้างกายเด็กๆ ปุริมช่วยจัดปลายผ้าห่มให้เด็กๆ แล้วก็ไปปรับอุณหภูมิภายในห้อง แล้วนั่งลงตรงระหว่างเตียงอย่างเงียบๆ มองคนหนึ่งแล้วก็มองอีกคน ทั้งสองคนเป็นลูกสาวของเขา หน้ามือหลังมือก็คือเนื้อ ดูเหมือนเขาจะไม่ลำเอียงใครคนใดคนหนึ่งเลย แบบนั้นทำให้เพ็ญนีติ์อยากหัวเราะ พวกเด็กๆนอนหลับกันแล้ว จะมีใครมาสนใจว่าเขาจะมองใครมากกว่าหรือมองใครน้อยกว่า เขานั่งอยู่นาน เงามืดปกคลุมความสว่างอันน้อยนิดบนตัวเขา เนินนาน เขาจึงยืนขึ้น แล้วเดินมาตรงหัวเตียงเธอ ดูแล้วเขายังไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องระหว่างเขากับเพ็ญภัทร์แล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของเธอ “เพ็ญนีติ์ ผมดูแล้วไข้ของเด็กๆก็ลดลงแล้ว พรุ่งนี้คุณพาพวกเธอออกจากโรงพยาบาลไหม แล้วให้นรวรพาพยาบาลกลับไปด้วย หลายวันนี้ก็เติมน้ำเกลืออยู่ที่บ้านเอา” ท่าทางเขาจริงจัง เหมือนกลัวเธอไม่ตกลง “ไม่ค่ะ พวกเด็กๆยังมีไข้สูงตลอด หากอาการหนักจะเป็นปอดอักเสบได้” ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวแบบนี้ เธอก็ไม่ชอบที่จะอยู่ที่นี่ เธอกลัวที่สุดก็โรงพยาบาลเนี๊ยแหละ “ไม่หรอกครับ ผมให้คุณหมอจ่ายยาให้ เอากลับไปเติมที่บ้านก็เหมือนกัน” “ปุริม คุณกำลังกลัวอะไร?” เขาดูแปลกๆ เหมือนกลัวว่าเธอกับลูกที่เกิดเรื่องที่โรงพยาบาล “เรื่องบางเรื่องยังบอกคุณตอนนี้ไม่ได้ ผมไปก่อนล่ะ จำไว้นะพรุ่งนี้จะต้องออกจากโรงพยาบาล ได้ยินไหม?” น้ำเสียงเอาแต่ใจแบบนี้ เธอไม่ชอบ แต่ก็ยังพยักหัว พยักหัวแสดงว่าเธอได้ยินแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าเธอจะตกลง เขาอยากให้เธอกลับ เธอก็จะไม่ยอมกลับ จะต้องเกี่ยวข้องกับเพ็ญภัทร์แน่ ความนึกคิดของเขานั้นเธอรู้แต่แรกแล้ว “ดี งั้นผมไปก่อนล่ะ แล้วจะหาเวลากลับไปหาคุณกับลูกที่คฤหาสน์” จอมปลอม มองดูเงาหลังเขาแล้วเพ็ญนีติ์รู้สึกขนลุก เขาออกไปแล้ว เมื่อประตูเปิดเธอมองเห็นผู้ชายสองคนท่าทางเหมือนบอดี้การ์ด แล้วประตูก็ปิดลงต่อหน้าเธอ และปิดกั้นระหว่างโลกของเธอกับปุริม ไม่รู้ว่านอนหลับไปตอนไหน บางที อาจจะนอนไม่หลับทั้งคืน ปุริมยังคอยวนเวียนอยู่ในหัวเธอตลอด และครอบครองสติของเธอทั้งหมด เธอเบื่อ ไม่มีความสุข เขาสั่งให้เธอกลับคฤหาสน์ แต่เธอจะไม่ยอมกลับไป รุ่งเช้า คุณหมอยังไม่มาตรวจเวร ป้าเหมียวก็เริ่มเก็บของแล้ว อ้อยกับส้มโดดลงจากเตียง “คุณแม่คะ ลืมตาเร็วค่ะ พวกเราจะออกจากโรงพยาบาลแล้วค่ะ” เพ็ญนีติ์โดนปลุกให้ตื่น ลืมตาอย่างงงงวย สักพักถึงรู้ว่าเด็กๆกำลังพูดอะไร มองดูป้าเหมียวที่กำลังเก็บของ เธอจึงพูดขึ้นว่า “ป้าเหมียว ไม่ต้องเก็บแล้วค่ะ ฉันยังไม่ออกจากโรงพยาบาล พวกเด็กๆก็จะไม่ออกจากโรงพยาบาล” ยังไม่หายดี ทำไมต้องออกโรงพยาบาล? ต่อให้โกรธ แต่เธอก็ไม่คิดว่าการติดสินใจแบบนี้จะผิดอะไร เพราะว่าอุปกรณ์เครื่องมือของที่โรงพยาบาลยังไงก็ดีและพร้อมกว่าที่คฤหาสน์ คฤหาสน์เป็นที่พัก ไม่ใช่โรงพยาบาล “คุณผู้หญิงคะ คุณผู้ชายสั่งว่า.......” “ฉันยังปวดหัวมาก ยังไม่หายดี ยังไม่อยากออกโรงพยาบาล” “คุณผู้หญิงคะ งั้นทางคุณผู้ชายคุณโทรไปแจ้งหน่อยไหมคะ ไม่อย่างงั้น....” ป้าเหมียวมองเพ็ญนีติ์อย่างลำบากใจ “ไม่ต้อง เกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง ป้าวางใจได้” “ค่ะ.....ก็ได้ค่ะ” ป้าเหมียวจึงจัดเรียงของที่เก็บแล้วเอามาเรียงไว้อย่างเดิม อ้อยกับส้มก็นอนอยู่บนเตียงอย่างว่าง่าย เพราะประตูห้องผู้ป่วยเปิดออก คุณหมอกำลังมาตรวจเวรกัน หมอคนหนึ่งที่สวมผ้าปิดปากสอบถามอาการของพวกเธอในหลายวันนี้อย่างจริงจัง แล้วพูดขึ้นว่า “เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา สามารถรับยาแล้วไปเติมที่บ้านได้ แบบนี้อยู่ที่บ้านจะได้สะดวก” นี่คงเป็นแผนการของปุริม เธอไม่ตอบ ยังไงเธอก็ไม่ยอมออกโรงพยาบาล ขอแค่ไม่ไปทำเรื่องออกซะอย่าง ห้องผู้ป่วยนี้ก็เป็นของเธอ เมื่อหมอตรวจเสร็จและจากไปแล้ว ประตูก็เปิดอยู่ ด้านนอกว่างเปล่าไม่มีแม้เงาคน มองดูระเบียงที่กว้างนี้ทำให้เธอนึกถึงบอดี้การ์ดสองคนที่ตามติดปุริมไป “ป้าเหมียว ป้ามานี่แปบนึง” เธอโบกมือเรียกป้าเหมียว “คุณผู้หญิง มีอะไรคะ สั่งมาได้เลยค่ะ” “เกิดอะไรขึ้นกับคุณผู้ชายจริงๆหรือเปล่า?” “ใช่ค่ะ ได้ยินว่าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ BMWของคุณผู้ชายพังยับเหยินเลยค่ะ” เรื่องนี้ เธอไม่รู้จริงๆ แต่ที่จริงถ้าอยากรู้ความจริงก็ง่ายมาก แค่โทรไปถามนรวรหรือโทรไปหาประกันรถยนต์ก็รู้เรื่องแล้ว กำลังหยิบมือถือมา ประตูก็เปิดออก พยาบาลสวมผ้าปิดปากคนหนึ่งเดินเข้ามา ด้านหน้าเข็ญล้อที่ใช้สำหรับให้น้ำเกลือ
已经是最新一章了
加载中