บทที่ 5 ความเศร้าใจ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 5 ความเศร้าใจ
บ๗ที่ 5 ความเศร้าใจ เขารีบกินข้าวที่อยู่ในจาน และเดินตามเธอออกมาจากโรงอาหาร “กินเสร็จแล้วหรอ ไปกันเถอะ” เถอะพูดจาอย่างนิ่มนวล แต่เอาแต่เดินก้มหน้ามองพื้น “ทำไมหรอ ตอนนี้ไม่เหลือความกล้าที่จะมองหน้าผมเลยหรอ” “ใครว่าละ” เธอตอบและมองไปที่เขา แต่สายตาของเขามันร้อนแรงมาก ราวกับว่าเหมือนโดนลวก จึงรีบดึงสายตากลับมา ตอนแรกก็อยากจะแกล้งเธออีก แต่ว่าอาจจะทำให้เธอเป็นทุกข์ได้ งั้นก็ช่างเถอะ “ผู้จัดการเหอ บริษัทนี้มีปัญหาอะไรทางธุรกิจหรือเปล่า ได้ข่าวมาว่ากำลังจะถูกซื้อกิจการต่อ” เมื่อเขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เธอก็มีมาดเอาจริงเอาจังขึ้นมา ในใจเธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ยังมีความรู้สึกเศร้าใจปะปนอยู่ “เรื่องนี้มันพูดยากนะ เดี๋ยวอีกหน่อยมาอยู่ที่นี่นานแล้วเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันถึงเรื่องงาน เวลาช่วงบ่ายก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงผู้ชายแต่ตอนที่ทำงานกับเขา เหอมั้นซินรู้สึกดีมากรู้สึกดีอย่างไม่มีสาเหตุ บางที่น่าอาจจะเป็นความเศร้าโศกของผู้หญิงที่โดดเดี่ยว ในใจเอาแต่โหยหา แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะทำอะไร “พรุ่งนี้เจอกัน” เธอพูดและยิ้มก่อนที่จะเดินออกไป ตอนนั้นเธอยังคิดไม่ถึงว่า ก่อนจะถึงพรุ่งนี้พวกเขาก็เจอหน้ากัน แถมยังเป็นการพบเจอที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย พอออกมาจากบริษัท ฝนก็ตกลงมา โชคดีที่ตกไม่หนัก เธอเอารถมอเตอร์ไซค์ออกมาจากโรงจอดรถ ขี่กลับบ้านด้วยความเร็วที่สุด ทุกวันหลังเลิกงาน เธอก็จะรีบกลับบ้านแบบนี้ตลอด ถ้าหากเจอรถติดเธอก็จะใจร้อนดังไฟเผา เพราะว่ามีคนที่รอให้เธอกลับไปทำอาหารอยู่ที่บ้าน ยังไปไม่ถึงไหน ฝนก็ยิ่งตกหนักขึ้นหนักขึ้น ที่แย่กว่านั้นก็คือ เธอพบว่ารถของเธอมันช้าลงช้าลงและในที่สุดรถก็หยุด แย่แล้ว รถแบตหมด ช่วยไม่ได้ทำได้แค่ลงมาจากรถและเข็นรถ ฝนที่ตกหนักก็ทำให้เธอเปียกโชกในเวลาไม่นาน ไม่มีเวลามาสนใจว่าตัวของเธอจะหนาวแค่ไหน เธอคิดแค่ว่าอยากจะกลับถึงบ้านเร็วๆ เข็นรถและกึ่งเดินกึ่งวิ่งมุ่งหน้ากลับบ้าน ปกติขี่รถจากบ้านถึงบริษัทจะใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีและเดินอีกสี่สิบนาที ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเดินและเข็นรถกว่าจะถึงบ้านน่าจะประมาณชั่วโมงครึ่ง เธอเป็นห่วงว่าคนในครอบครัวจะรอนานเธอเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรกลับบ้าน แม่ยายรับโทรศัพท์แล้วบ่นว่าทำไมไม่ชาร์ตแบตให้เต็มทำนองนั้นก่อนที่จะวางไป เธอยังคงเข็นรถและท่ามกลางสายฝนที่หนาวเหน็บ สายตาของเธอพร่ามัว ขาที่ช้าๆ ของเธอดูเหมือนว่ากำลังจะหมดแรง ดู้หยุนฮุยขับรถมาและมองเห็นเหอมั้นซินเข็นรถจากไกลๆ อย่าพูดถึงว่ามันจะเปลืองแรงขนาดไหนเลย ผู้หญิงคนนี้ทำไมไม่รู้จักรักตัวเองบ้าง หนาวขนาดนี้ ถึงเป็นผู้ชายแต่ตากฝนขนาดนี้ก็คงจะทนไม่ไหว เขาเอารถจอดเข้าข้างทาง และถือร่มลงไปหนึ่งคัน และรีบวิ่งไปหาเธอ “ผู้จัดการเหอ ทำไมมาเดินตากฝนแบบนี้ รถแบตหมดหรอ” เขากางร่มให้เธอและถาม จู่ๆ บนหัวเธอก็ไม่มีฝนตกใส่ เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาถือร่มอยู่และมองมาที่เธออย่างเอาใจใส่ จู่ๆ เธอก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา อีกนิดเดียวน้ำตาเธอเกือบจะไหลออกมา สามีของเธอก็อยู่ที่บ้าน และรู้ว่ารถของเธอแบตหมด และกำลังเดินจากฝนอยู่ คิดไม่ถึงว่าจะไม่โทรกลับมาถามเธอเลย แม่ยายนอกจากจะตำหนิแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าเป็นห่วงเธอเลยสักนิด นี่หรอคือคนที่เธอรักและคิดถึงอยู่ทุกวัน แต่ว่าเคยมีใครสักคนเคยสนใจว่าเธอมีความสุขหรือว่าเธอกำลังทุกข์ใจบ้างมั้ย มองดูน้ำฝนที่ไหลลงมาจากผมของเธอ ปากของเธอหนาวจนกลายเป็นสีม่วง เสื้อผ้าเปียกจนแนบชิดติดกับตัว แต่เธอรู้สึกอับจนมากจริงๆ ทั้งหน้าทั้งตัวรู้สึกอับจนจริงๆ มองเห็นเขามา ตาของเธอก็ค่อยๆ แดงขึ้นมา ทำไมถึงได้มีคนที่น่าสงสารขนาดนี้นะ ขณะนั้นเขาอยากจะดึงผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้เข้ามาในอ้อมกอดและบอกกับเธอว่าอย่ากลัวไปเลย เขามาแล้ว ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นปกติ ไม่ใช่สิ มันแปลกประหลาดเลยละ “ที่ที่ผมอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ไปที่ของผมแล้วผมจะช่วยคิดว่าจะชาร์ตแบตยังไงดี แบบนี้เดี๋ยวก็ป่วยพอดี” ลึกๆ แล้วเธอไม่อยากจะทำให้เขายุ่งยาก แต่เขาดูจริงจังมาก และถ้ายังเข็นรถแบบนี้ต่อไปมันคงไม่น่าใช่วิธีที่ดี ท้องฟ้าก็มืดลงๆ เดี๋ยวไปถึงที่เปลี่ยวมันคงจะอันตรายมากๆ “ไม่เป็นไร ไม่รบกวนดีกว่า ฉันไปคนเดียวได้” ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นความกังวลของเธอ เขาเลยพูดขึ้นว่า 
已经是最新一章了
加载中