ตอนที่2
ตอนที่2
เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยหลิงหลิงพูดตั้งแต่เดินเข้าประตูมานี่เป็นครั้งแรกที่สายตาของเฉิงรุ่ยมองมาที่เธอสายตาคู่นั้นมันเหมือนกำลังมองไปที่คนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
“บ้านหลังนี้ฉันยกให้เธอไม่ได้หรอกนะ”
บ้าน?เซี่ยหลิงหลิงชะงักไปครู่นึง
เอกสารที่อยู่บนโต๊ะคือข้อตกลงในการหย่าเซี่ยหลิงหลิงรีบหยิบมันขึ้นมาเปิดดูรายละเอียดในนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่าสาเหตุที่ทั้งสองหย่าร้างกันนั้นก็เป็นเพราะรักร้าวฝ่ายหญิงเซี่ยหลิงหลิงยินยอมที่จะละทิ้งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นการชดเชยฝ่ายชายนั้นจะให้ส่วนแบ่งทั้งหมดของบริษัทเฉิงซื่อที่เขาเป็นเจ้าของอยู่กับเธอรวมแล้วอยู่ที่ประมาณห้าล้านกว่าหยวน
ในหนังสือได้กล่าวไว้บริษัทเฉิงซื่อเป็นอุตสาหกรรมที่พ่อของเฉิงรุ่ยเป็นเจ้าของอยู่บริษัทไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรนักเพียงแต่หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วแม่ใหม่ก็เข้ามาความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ก็แตกหักไปแล้วส่วนแบ่งที่เฉิงรุ่ยมีอยู่ในมือนั้นถือว่าน้อยมากแต่ก็มีอยู่หลายล้านเหมือนกัน
เซี่ยหลิงหลิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยบ้านหลังธรรมดาๆที่ตั้งอยู่ในเมืองมีขนาดไม่ถึงร้อยตารางวานี้หากคิดตามจากที่นางเอกในหนังสือเล่มนี้เคยประมาณการณ์ไว้แล้วอย่างมากก็ไม่น่าเกินสามล้านหยวนแต่เฉิงรุ่ยกลับให้ค่าชดเชยกับเธอเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่แปลกใจเลยที่นางรองถึงตกลงยอมหย่าอย่างรวดเร็ว
หากตามที่หนังสือได้เขียนเอาไว้เจ้าของเดิมคนนี้รู้สึกดีใจและพอใจมากกับข้อเสนอที่เฉิงรุ่ยเสนอมาให้แม้แต่นางเอกเองก็ได้ส่งเงินมาให้เธอเพิ่มอีกก้อนนึงเพราะใจจริงแล้วนางเอกเองก็อยากแต่งงานกับเฉิงรุ่ยอยู่แล้วและการที่เจ้าของเดิมได้เงินไปเยอะขนาดนี้มันก็เพียงพอแล้วสำหรับคนธรรมดาๆคนนึงจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต
เซี่ยหลิงหลิงประกบเอกสารสัญญาเข้าด้วยกันแล้วส่ายหน้า:“ฉันไม่ได้กำลังยื่นข้อเสนอและก็ไม่ได้จะมาขอบ้านหลังนี้ฉันแค่ไม่ต้องการจะหย่าแล้ว”
ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีทางออกที่ดีในตอนนี้จึงเป็นการรักษาเสถียรภาพทางสภาพแวดล้อมเอาไว้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้เซี่ยหลิงหลิงได้พบกับความพลิกผันหลายๆอย่างมาจนถึงตอนนี้สมองก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวายเธอต้องการเพียงแค่พักอยู่ในที่แห่งหนึ่งให้ตัวเองได้ตั้งสติสักพักเพื่อยอมรับกับความเป็นจริง
ยกเลิกการหย่าในทันทีแล้วรอเช็คความเป็นไปของเรื่องในโลกแห่งนี้ซะก่อนจากนั้นค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อไป
เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของเซี่ยหลิงหลิงเฉิงรุ่ยแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยสักนิด
“ได้”
หรือสำหรับเขาแล้วการจะมีหรือไม่มีคนอยู่ข้างๆจะเป็นคนแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย
มองไปยังบะหมี่ที่อยู่ในมือของเฉิงรุ่ยเซี่ยหลิงหลิงถึงกับขมวดคิ้ว
เธอเดินตรงเข้าไปที่ห้องครัวสำรวจดูข้าวปลาอาหารที่มีอยู่ในตู้เย็นถ้าไม่ใช่พวกอาหารฟาสต์ฟู้ดก็จะมีแต่อาหารประเภทบะหมี่กึ่งน้ำอัดลมและอาหารเซ็ตชวนอ้วนไม่มีแม้แต่ผักสดผลไม้ให้ได้กินเลย
เซี่ยหลิงหลิงเงียบขลึมไปบ้านนี้ไม่เคยเปิดไฟทำกับข้าวกันเลยหรือยังไงเนี่ย?
“เออ......เฉิงรุ่ยถ้านายกินบะหมี่หมดแล้วเราออกไปข้างนอกกันหน่อยมั้ยไปซื้อของที่ซูปเปอร์มาร์เก็ตกัน”
เฉิงรุ่ยเหร่มองมาที่เธออย่างเชื่องช้า
นัยน์ตานั้นแสดงให้เห็นความหมายชัดเจนคำร้องขอของเซี่ยหลิงหลิงเป็นเหมือนคำร้องขอจากคนแปลกหน้า
เซี่ยหลิงหลิงแสดงท่าทีไม่พอใจ:“ฉันถือเองไม่ไหวแถมฟ้าก็มืดแล้วฝนข้างนอกก็ยังไม่หยุดตกสักที”
“......”
ปกติแล้วเจ้าของเดิมและเฉิงรุ่ยต่างก็ไม่เคยยุ่งเรื่องของกันและกันพวกเขาอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดไม่จากันมาได้ตั้งสองสามเดือนในความคิดของเจ้าของร่างคนเดิมนั้นเฉิงรุ่ยเป็นผู้ชายที่มีรูปลักษณ์สวยงามคุ้นชินกับการที่ใครต่อใครก็ต่างพากันบอกว่าเฉิงรุ่ยเป็นเพียงแค่หนุ่มรูปงามที่เหมือนดั่งท่อนไม้ไร้ความรู้สึกไร้จิตวิญญาณไร้ชีวิตชีวาเป็นก้อนหินที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวจากนั้นมาเธอก็ไม่สนใจอะไรเฉิงรุ่ยอีก
เซี่ยหลิงหลิงคิดเพียงแค่ว่านี่เป็นมารยาทที่ควรปฏิบัติต่อเฉิงรุ่ยตามประสาผู้ร่วมอาศัยเท่านั้น
“กินเสร็จแล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”
เฉิงรุ่ยไม่ได้ตอบรับอะไรถือถ้วยบะหมี่เดินเข้าห้องสมุดไปก่อนจะปิดประตูลง
เซี่ยหลิงหลิงแอบเหลือบเห็นว่าภายในห้องสมุดนั้นมีเตียงเดี่ยวอยู่วางอยู่แล้วย้อนคิดไปถึงว่าภายในห้องของตัวเองนั้นไม่มีเสื้อผ้าของผู้ชายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เธอถอนหายใจอย่างรู้สึกโล่งอก
......โชคดีน่าจะไม่ต้องนอนบนเตียงเดียวกัน
ก่อนที่เซี่ยหลิงหลิงจะทะลุมิติเข้ามาในหนังสือก็เป็นเพียงสาวโสดคนนึงไม่มีคนในครอบครัวไม่มีแฟนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่ไม่คุ้นเคยด้วยตัวคนเดียวไม่ค่อยคลุกคลีกับผู้คนตอนนี้กลับมีเพื่อนบ้านที่นิสัยดีคนนึงมาอยู่ด้วยกันมันกลับทำให้เธอค่อนข้างมีความสุขขึ้นมามากกว่าเดิม
ไม่แน่ว่าชีวิตแบบนี้อาจจะโอเคกว่าเดิมก็ได้นะ
......
เฉิงรุ่ยเปลี่ยนจากเสื้อฮู้ดสีดำตัวนั้นมาอยู่ในชุดกีฬาสีเทาอ่อนหากมองเพียงแค่ใบหน้าของเขาแล้วบอกว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มมัธยมปลายก็คงจะไม่มีใครสงสัย
เขาถือถุงขยะขึ้นมาจำนวนนึงส่วนเซี่ยหลิงหลิงที่เดินมือเปล่าตามหลังมาแล้วหันซ้ายแลขวาเส้นทางโดยรอบที่ดูคุ้นเคยระหว่างทางแม้จะไม่มีคำพูดใดๆต่อกันแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดและในบริเวณใกล้ๆนี้ก็มีซูปเปอร์มาร์เก็ตอยู่แห่งนึงใช้เวลาเดินเพียงไม่นานนักเซี่ยหลิงหลิงเริ่มเดินสรรหาสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ภายในบ้านอย่างชำนาญการณ์ส่วนเฉิงรุ่ยก็มีหน้าที่ช่วยเข็นรถเข็นทั้งสองแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน
“ครืดครืด”มือถือของเฉิงรุ่ยอยู่ๆก็สั่นขึ้นมาเขาหยุดอยู่กับที่มือข้างหนึ่งจับรถเข็นอีกข้างยกมือถือขึ้นกดรับสาย
ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายวัยรุ่น:“เจ้านายครับBugถูกซ่อมแซมเรียบร้อยแล้วลองเข้าไปดูหน่อยสิครับ”
“ยุ่งอยู่”
สายตาของเฉิงรุ่ยจับจ้องไปยังชั้นวางของที่อยู่ไม่ไกลจากตรงหน้าเซี่ยหลิงหลิงกำลังเขย่งขาเพื่อเอื้อมหยิบกระดาษทิชชูที่วางอยู่ชั้นบนสุดด้วยเพราะกินแรงมากจึงทำให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำเธอเงยหน้าขึ้นมองมือข้างนึงเอื้อมไปด้านบนจนสุดแขนท่าทีเงอะงะนั่นดูไม่ค่อยเหมือน“เธอ”สักเท่าไหร่
เขามีท่าทีครุ่นคิด
“เออ?ทำไมถึงไม่มีเวลาล่ะครับเจ้านายกลับบ้านไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
เฉิงรุ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว:“อยู่ซูปเปอร์มาร์เก็ต”
“ซูปเปอร์มาร์เก็ต?”ปลายสายเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ“เจ้านายคงไม่ได้อยู่กับพี่สะใภ้หรอกใช่มั้ยครับเนี่ย?”
เขาตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบา
“อืม”
ปลายสายเงียบหายไปหลายวิจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตะโกนตกใจ:“ทำไมพวกคุณถึงได้......”
เฉิงรุ่ยตัดสายทิ้งทันทีและเพื่อเป็นการตัดเสียงรบกวนจากปลายสายด้วยเขาเดินตรงไปข้างหน้าเดินข้ามเซี่ยหลิงหลิงไปหยิบเอากระดาษทิชชูห่อนึงลงมาได้อย่างง่ายดายก่อนจะโยนมันลงไปไว้ในรถเข็นเซี่ยหลิงหลิงรู้สึกซึ้งใจและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ:“ขอบคุณนะ”
สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือการเดินเข็นรถเข็นจากไปทิ้งให้เห็นเพียงแผ่นหลังของเฉิงรุ่ยก่อนจะเข็นรถเลี้ยวเข้าชั้นวางของอีกฝั่งหนึ่งอย่างคุ้นเคย
เซี่ยหลิงหลิง:“......กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!ห้ามหยิบอาหารขยะพวกนั้นนะ!”
......
ในขณะเดียวกันถูหนานที่ถูกตัดสายใส่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหม่นหมองคนที่อยู่ข้างๆก็ถามเขา:“เกิดอะไรขึ้น?เจ้านายจะให้ทำโอทีเหรอ?”
“เปล่าหรอก”
เขาเปลี่ยนอารมณ์ทันทีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย:“พวกนายลองเดาซิว่าฉันไปได้ยินความลับที่น่าตื่นเต้นอะไรมา?เจ้านายไปเดินซูปเปอร์มาร์เก็ตกับภรรยา!ให้ตายเถอะนี่เขาออกจากบ้านกับคนอื่นเป็นด้วยฝนคงจะตกเป็นสีแดงแน่ๆเลยเนี่ย!”
เมื่อคำพูดหลุดออกมาปุ๊ปทุกคนก็เกิดความชุลมุนวุ่นวาย
ปกติแล้วเจ้านายจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับพี่สะใภ้เลยการแต่งงานตอนนั้นก็ไม่ได้จัดงานแต่งเลยด้วยซ้ำจวบจนบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่เคยได้พบเห็นตัวจริงของสะใภ้เฉิงมาก่อนเลย
แต่สิ่งที่เห็นในตอนนี้อาจจะบ่งบอกได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังโอเคดีอยู่หรือเพียงแต่เฉิงรุ่ยเป็นคนเก็บตัวไม่ชอบแสดงความรู้สึกออกมา?
“ภรรยาของเขากำลังเรียกร้องจะขอหย่าอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”พนักงานหญิงคนนึงเอ่ยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“เธออย่าพูดไปเรื่อยเชียวนะ!เจ้านายไม่ชอบให้ใครมานินทา”
“เปล่าซะหน่อยเพื่อนของฉันเคยได้เจอกับภรรยาของเจ้านายอยู่บ้างฉันก็พึ่งมารู้ช่วงนี้นี่แหละ”
กลุ่มพวกคนโสดเริ่มให้ความสนใจขึ้นมาทันที:“พี่สะใภ้หน้าตาเป็นยังไง?สวยมั้ย?บุคคลิกเป็นยังไง?”
ถามตรงจุดซะแล้วเมื่อคิดถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางหนาๆแม้จะมองจากที่ไกลๆทำให้ใบหน้าดูแปลกๆเมื่อเทียบกับใบหน้าเปลือยเปล่าไร้เครื่องสำอางของตัวเองแล้วใครก็ตามก็สามารถแยกแยะได้หยางหลิวเลียริมฝีปากของตัวเองก่อนจะทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า
“แต่งหน้าจัดเกินไปบอกไม่ค่อยออกเท่าไหร่”
......
จากการที่ได้อยู่ด้วยกันในระยะเวลาสั้นๆเซี่ยหลิงหลิงรู้สึกได้ถึงข้อดีหลายๆอย่างในตัวเฉิงรุ่ย
เขายกขยะไปทิ้งด้วยตัวเองเข็นรถเข็นในซูปเปอร์จ่ายเงินเองโดยที่เซี่ยหลิงหลิงไม่ต้องเอ่ยปากพูดเขาทำมันอย่างเงียบๆ
ที่สำคัญคือไม่เอ่ยซอกแซกถามถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเซี่ยหลิงหลิงทำให้เซี่ยหลิงหลิงสามารถเปิดเผยตัวตนออกมาได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ
ไม่สิควรจะพูดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับอะไรทั้งสิ้นอยู่แล้วรวมถึงตัวเองด้วย
ตอนแรกเซี่ยหลิงหลิงก็ตั้งใจจะถามเขาดีๆว่าอยากจะทานข้าวด้วยกันมั้ยแต่เฉิงรุ่ยกลับวางถุงช้อปปิ้งลงแล้วก็เดินตรงดิ่งเข้าห้องสมุดไปเลยจ้องมองดูเขาปิดประตูลงเซี่ยหลิงหลิงก็ได้แต่ยักไหล่ตกลงจะทำแค่บะหมี่สักชามก็พอ
ตกกลางคืนเซี่ยหลิงหลิงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่ก่อนจะกลิ้งตัวไปมาอย่างสบายใจเธอกะไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะนอนจนเช้าแล้วจะไปเดินซื้อเสื้อที่ห้างสักหน่อย
“ติ๊งติ๊ง......”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
เซี่ยหลิงหลิงมองไปที่ชื่อของสายเรียกเข้ามันเป็นเบอร์แปลกเธอจึงไม่ได้รับสายท่าทีดูปกติและปลายสายก็ส่งข้อความมาในทันทีดูเหมือนกำลังโมโหมากๆแม้แต่จะปกปิดก็ยังขี้เกียจ
บันทึกการสนทนาในวีแชทและมันยังโชว์ให้เห็นว่าข้อความนั้นส่งมาจากสุดที่รักอีกด้วย
เฉินฝังผู้ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มไก่อ่อนคอยคิดแต่จะวางแผนเกาะผู้หญิงกินไปวันๆจิตใจสกปรกไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมคนนี้โง่จริงๆหรือแกล้งโง่กันแน่คบกับผู้ชายประเภทนี้อย่างลับๆล่อแถมยังต้องมาเสียเงินเสียทองให้กับอีกฝ่ายแถมยังจะไปสัญญากับอีกฝ่ายว่าหลังจากหย่าร้างเรียบร้อยแล้วจะหอบเงินไปแต่งงานกับเขาอีก?
แย่งคน......แย่งเงินทำลายครอบครัวไม่ว่าจะข้อไหนๆก็ถือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมทั้งนั้น
เฉินฝังยังคงส่งข้อความมาเรื่อยๆยอ่างไม่หยุดหย่อนฉบับแล้วฉบับเล่าเหมือนกลัวว่าเซี่ยหลิงหลิงจะหนีหายไปเหลือก็เพียงแต่ตามมาถึงหน้าบ้านในขณะที่เขากำลังส่งข้อความมาอยู่นั้นหนึ่งในนั้นก็ยังมีข้อความที่ส่งมาจากอวี๋นอวี๋นที่เป็นเพื่อนสนิทชีวิตช่างสมบูรณ์แบบ
[นี่เธอกำลังโกรธอยู่ใช่มั้ยหลิงหลิงเฉินฝังมันก็เป็นคนแบบนี้แหละเธออย่าไปเอาอะไรกับมันมากนักเลยพวกเรายังรอฟังข่าวดีของเธออยู่นะ]
[จริงสิเรื่องหย่าของเธอดำเนินไปถึงไหนแล้วพรุ่งนี้ไปเปิดคลับสุขภาพเพื่อฉลองกันสักหน่อยมั้ย?]
เซี่ยหลิงหลิงเห็นชื่อนี้แล้วรู้สึกคุ้นๆภาพถ่ายส่วนใหญ่ในกลุ่มแชทก็จะเป็นรูปของเธอคนนั้นกับเซี่ยหลิงหลิงและเฉินฝังแถมเพื่อนสนิทของเธอคนนี้ยังดูสนิทสนมกับเฉินฝังเป็นพิเศษ
เพื่อนสนิทคนนี้แนะนำเฉินฝังให้เธอรู้จักพูดแบบหยาบๆหน่อยก็คือการขายตัวระหว่างพวกเขาสองคนนั้นไม่ได้ใสสะอาดเท่าไหร่นัก
ความรำคาญเป็นสิ่งที่ไม่มีทางหนีพ้นได้นอกจากต้องจัดการกับมันด้วยตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นเซี่ยหลิงหลิงลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วส่งข้อความกลับหาทั้งคู่
[เฉินฝังเรามาเจอกันพรุ่งนี้นะ]
[อวี๋นอวี๋นพรุ่งนี้จะพาเฉินฝังไปเจอพวกเธอนะไม่เจอไม่กลับ]
เซี่ยหลิงหลิงเก็ฐโทรศัพท์ลง
เธออยากจะรู้ว่าคนพวกนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?