ตอนที่7
ตอนที่7
วันถัดมา
เซี่ยหลิงหลิงบิดขี้เกียจเป็นเวลาเนิ่นนานที่เธอไม่ยอมลุกตื่นจากเตียงนอน
ช่วงนี้เธอใช้ชีวิตแบบหนูตกถังข้าวสารจนชินเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าชีวิตก่อนทะลุมิติมาในโลกของหนังสือนั้นเธอยังคงเป็นพนักงานออฟฟิศที่เข้าเก้าเลิกห้าอยู่เลยไม่ว่าจะทำงานล่วงเวลาแค่ไหนก็ไม่เคยได้ค่าโอทีความชอบเดียวที่มีในตอนนั้นคือการวาดรูปเธอสามารถถือแผ่นกระดานรองแล้วนั่งวาดรูปอยู่บนเก้าอี้ได้เป็นเวลานานมากๆเลยทีเดียว
ช่วงนี้เกิดคันไม้คันมือขึ้นมาพอดีเลยออกไปซื้อแผ่นกระดานรองวาดอันใหม่ดีกว่า
“ติ๊งติ๊ง”
มือถือแสดงข้อความSMSขึ้นมาเซี่ยหลิงหลิงขยี้ตาด้วยความรู้สึกง่วงพลิกตัวนอนคว่ำอยู่บนหมอนหนุนก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดรายชื่อผู้ติดต่อที่ส่งข้อความมานั้นใช้ชื่อว่าเย่ซีข้อความที่ส่งมานั้นดูเรียบง่าย
[ตอนเย็นชวนเฉิงรุ่ยมาทานข้าวด้วยกันนะเดี๋ยวจะส่งโลเคชั่นไปให้อีกที]
เซี่ยหลิงหลิงถึงกับขนลุกซู่ก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่งรายชื่อผู้ติดต่อคือเย่ซีและไม่ได้เขียนเพิ่มเติมจากนั้นเลยว่ามีความเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไรเซี่ยหลิงหลิงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน......เพราะฉะนั้นเธอคือใครกัน?ในวีแชทก็ไม่ได้ชื่อของเย่ซีดูเหมือนว่าบันทึกการสนทนาจะถูกลบไปแล้วไม่เหลือไว้เลยสักข้อความ
มีบันทึกการโทรเพียงรายการเดียวซึ่งเป็นบันทึกของช่วงครึ่งเดือนก่อนในตอนนั้นเซี่ยหลิงหลิงยังไม่ได้ทะลุมิติมาและนั่นก็หมายความว่าก่อนทำเรื่องหย่าอีกฝ่ายเคยโทรคุยกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน
เย่ซีคือใคร??
เซี่ยหลิงหลิงรีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรงและส่งข้อความวีแชทหาเฉิงรุ่ย:“นายอยู่ไหน?ฉันมีเรื่องอยากจะถามนาย”
อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ห้องครัว”
เซี่ยหลิงหลิง:“......อ๋อ”
เฉิงรุ่ยหยิบนมกล่องจากตู้เย็นออกมาดื่ม
เซี่ยหลิงหลิงไม่เคยเห็นผู้ชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันคนไหนที่จะชอบดื่มนมเหมือนเขาขนาดนี้ตู้เย็นในบ้านนั้นจะมีกล่องนมเรียงรายจนเต็มอยู่เสมอเดิมทียังพอมีโค้กให้เห็นอยู่บ้างแต่กลับถูกเปลี่ยนแทนที่ด้วยยาคูลท์วะฮ่าฮ่า
เซี่ยหลิงหลิงปล่อยผมยาวสยายเสียงรองเท้าแตะดังขึ้นมาเฉิงรุ่ยไม่ได้หันมาแต่กำลังง่วนแกะซองพลาสติกที่หุ้มหลอดดูดอย่างตั้งอดตั้งใจ
“เออคือ......”
เฉิงรุ่ยตอบอย่างเนิบๆ:“เงินหมดเหรอ?”
เซี่ยหลิงหลิง:“......เปล่า”
เธอไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ใช้เงินมือเปิบสักหน่อยผ่านไปแค่ไม่กี่วันเงินจะไปหมดได้ยังไงกัน!
เซี่ยหลิงหลิงกระเอมเบาๆก่อนจะเอ่ย:“คือว่าตอนเย็นนายว่างใช่มั้ย?”
“อืม”
“มีนัดทานข้าวนายน่าจะรู้ดี”เซี่ยหลิงหลิงเอ่ยชื่อนั้นอย่างคลุมเครือ“ทางฝั่งเย่ซี”เธอคิดว่าเย่ซีน่าจะเป็นเพื่อนคนนึงหรือเป็นญาติอะไรทำนองนั้นเธอยังคงกังวลอยู่ว่าจะดูมีพิรุธอะไร
เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยหลิงหลิงพูดเฉิงรุ่ยเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนท่าทีที่ดูมีความนัยแอบแฝงสายตาแบบนั้นจ้องมาซะจนเซี่ยหลิงหลิงเกิดอาการขนลุกขึ้นมา
“ทะทำไมเหรอ?”
“ไม่มีอะไร”
ตกเย็นหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อเสร็จเธอตามเฉิงรุ่ยมาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งที่ภายในถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหราเซี่ยหลิงหลิงรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นดูจากภายนอกเธอเชิดคางขึ้นเล็กน้อยเฉิงรุ่ยที่เดินอยู่ข้างๆก็ไม่แพ้กัน
พนักงานพาทั้งสองคนเดินตรงไปยังที่นั่งที่จองไหวสายตาของเซี่ยหลิงหลิงจ้องมองไปยังที่โต๊ะริมหน้าต่าง......
หลังจากนั้นก็ตะลึงไปเลย
มีชายหญิงคู่หนึ่งท่าทางอายุอานามราวๆสี่สิบปีท่าทีเคร่งขรึมสง่างามแต่ที่สำคัญก็คือเห็นได้ชัดว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่และนั่นก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเฉิงรุ่ย......
“เจ้าลูกทรพีไม่คิดจะเรียกพ่อสักคำเลยรึไงกัน!”คุณพ่อเฉินแสดงสีหน้าโกรธจัดท่าทีเลิกคิ้มเบิกตาของเขายิ่งทำให้ดูน่าตกใจเข้าไปใหญ่
เซี่ยหลิงหลิง:“......”
ถ้าท่านนี้คือพ่อของเขางั้นเย่ซีก็คือแม่ของเขา?ไม่แปลกเลยที่ท่านจะจ้องมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆการที่เรียกชื่อแม่ยายด้วยชื่อเฉยๆแบบนั้นช่างไร้ยางอายซะจริงๆ
โชคดีแล้วที่ฝ่ายตรงข้ามเผยตัวตนของตนเองออกมาซะก่อน
“แม้ว่าซีซีเธอจะเป็นแม่เลี้ยงแต่ความห่วงใยที่มีต่อแกนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าใครเลยได้ยินว่าความสัมพันธ์ของพวกแกสองคนไม่ค่อยราบรื่นเธอก็เสนอให้มานั่งทานข้างด้วยกันสักมื้อเจ้าทึ่มแกอย่าทำเป็นไม่ใส่ใจแบบนี้ได้มั้ย!”
เมื่อได้ยินคำพูดรัวๆของคุณพ่อเฉิงแล้วเซี่ยหลิงหลิงก็ถึงกับต้องขมวดคิ้ว
คำพูดเหล่านั้นดูจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ต่อให้เฉิงรุ่ยไม่สามารถทำใจยอมรับแม่เลี้ยงได้มันก็เป็นเรื่องที่ยังพอให้อภัยได้นี่นาแต่การใช้ถ้อยคำที่โหดร้ายและหยาบคายในการบังคับให้ยอมรับแบบนี้มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อลูกทั้งสองยิ่งห่างไกลออกไปก็เท่านั้น
เฉิงรุ่ยเหมือนเป็นหุ่นกระบอกไร้ความรู้สึกไม่พูดไม่จาสักคำทำให้คุณพ่อเฉิงมีความรู้สึกหดหู่เหมือนกับต่อยกำปั้นลงบนสำลีจึงทำได้เพียงแค่เปลี่ยนเรื่องคุย
“หลิงหลิงช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“เออ”เซี่ยหลิงหลิงไม่อยากจะเรียกพวกเขาว่าคุณพ่อคุณแม่จึงได้แต่ยิ้มแล้วตอบคำถาม:“สบายดีค่ะเราสองคนมีความสุขดีพวกคุณน่าจะเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อคำพูดออกจากปากเย่ซีก็มองเธอด้วยสายตาที่พูดได้ยากท่าทีดูหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“แบบนั้นก็ดีเจ้าทึ่มนี่ก็ได้แต่นอนกินบ้านกินเมืองรอวันตายไร้ประโยชน์อาจจะทำให้เธอรู่สึกแย่”คุณพ่อเฉิงทำเสียงหึหลังจบประโยค
“......”
สายตาของเซี่ยหลิงหลิงเหลือบไปมองที่เฉิงรุ่ย
เมื่อเทียบกับทุกๆคนที่นั่งกันหลังตรงดิ่งเขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีท่าทีที่ชิลที่สุดเขานั่งหลังโก่งเล็กน้อยนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองด้วยท่าทีเกียจคร้านไม่ไว้หน้าและไม่แยแสต่อคุณพ่อของตัวเองเลยสักนิด
นิ้วมืออันเรียวยาวของเขานั้นกำลังเกลี่ยกระดาษทิชชูที่วางอยู่ใต้ชามอาหารตรงหน้าสายตามองต่ำท่าทีดูไม่ประหม่าแถมยังไม่สนใจแยแสอะไรทั้งสิ้น
เซี่ยหลิงหลิงเกิดมีความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาภายในใจ
ทำไมพ่อต้องพูดจาแบบนั้นกับลูกชายด้วยแบบนี้มันแฟร์กับเฉิงรุ่ยตรงไหนกัน?
เขาเคยมองลูกชายของตัวเองเป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวและมีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่าเนี่ย?
เซี่ยหลิงหลิงสูดหายใจลึกตั้งใจว่าอยากจะขอพูดอะไรสักหน่อย:“หนู......”
“ผมหิวแล้ว”เฉิงรุ่ยพูดขัดขึ้นมาทั้งๆที่ยังก้มหน้าอยู่น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวล:“อาหารขึ้นโต๊ะเลยครับ”
“......”
เซี่ยหลิงหลิงเม้มปาก
ไม่รู้ว่าเธอเข้าใจถูกหรือเปล่าดูเหมือนเฉิงรุ่ยรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไรถึงได้ขัดจังหวะขึ้นมาในจังหวะที่พอดิบพอดีแบบนี้เธอแอบถอนหายใจเบาๆเธอเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านี้ดีพูดอะไรออกไปก็ดูแปลกไปหมดอาจจะต้องอดทนเอาไว้ก่อนทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าให้ดีก่อนถึงจะถูก
แขนซ้ายของเฉิงรุ่ยบาดเจ็บจะจับจะกินอะไรก็ดูลำบากไปหมดจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ซ่อมจะหลุดมือไปกระทบกับชามข้าวจนเกิดเป็นเสียงดังท่าทางเงอะงะแบบนั้นก็ทำให้คุณพ่อเฉิงเกิดทนดูไม่ได้จึงได้แต่ทำหน้าหงิกหน้างอตลอดเวลา
อาหารเพียงมื้อเดียวสามารถทำให้เซี่ยหลิงหลิงรู้สึกกระสับกระส่ายได้ถึงเพียงนี้อึดอัดซะจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีกลัวมีพิรุธ
รสชาติอาหารไม่เลวแต่ปริมาณกลับมีไม่มากกินบะหมี่อยู่บ้านยังจะสบายใจมากกว่าอีก
ในขณะนั้นเองมีคนเตะมาที่เท้าของเธอหนึ่งครั้ง
เซี่ยหลิงหลิงเกิดชะงักขึ้นมาทันทีมองไปยังเย่ซีผู้สูงส่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอบำรุงและดูแลตัวเองอย่างดีบวกกับมารยาทที่สง่างามเธอหันหน้าไปทางเซี่ยหลิงหลิงที่กำลังตกใจอยู่:“ฉันจะไปเติมหน้าสักหน่อยไปด้วยกันสิ?”
เซี่ยหลิงหลิงกำซ่อมที่อยู่ในมือไว้แน่นสัมผัสได้ว่าเรื่องราวคงไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิด
เธอพยักหน้าแล้วหยิบกระเป๋า:“ค่ะ”
......
เมื่อถึงห้องน้ำสีหน้าของเย่ซีเปลี่ยนไปทันทีเหมือนอย่างที่เธอคิดไว้แสยะยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชาดวงตาเหมือนอาบยาพิษมองมาที่เซี่ยหลิงหลิงอย่างเลือดเย็น
“เกิดอะไรขึ้น?ทำไมถึงไม่ยอมหย่าอยากจะมาเทียบชั้นกับฉันงั้นเหรอ?”
เซี่ยหลิงหลิงอึ้งไปเธอเข้าใจสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการจะสื่อในทันที
ความสัมพันธ์แม่เลี้ยงมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องหย่าของเจ้าของร่างคนเดิม?
“เธออยากจะได้บ้านหลังนั้นของเขาใช่มั้ย?ฉันเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอเมื่อเธอได้หุ้นมาแล้วพอถึงเวลาก็โอนมาให้ฉันซะฉันจะให้บ้านสองหลังกับเธอมีทางให้เธอเลือกเยอะแยะหากเธอยังไม่รู้จักพออีกล่ะก็ระวังจะไม่ได้อะไรเลย!”
เธอถอนหายใจกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ในใจแต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด
เธอเบือนหน้าหนีแล้วพูด:“หนูยังตัดสินใจไม่ได้”
เย่ซีเกิดอาการรนขึ้นมาทันทีคว้าแขนของเซี่ยหลิงหลิงขึ้นมาเล็บสีเขียวมัจฉะของเธอจิกแน่นเข้าไปบนผิวหนังขาวๆของเซี่ยหลิงหลิงจิกซะจนเซี่ยหลิงหลิงเริ่มรู้สึกเจ็บ
สีหน้าของเย่ซีนั้นช่างดูน่าเกลียด:“เธออย่ามาทำลีลากับฉันนะ!เธออย่าลืมสิเธอไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มีที่พึ่งพิงในตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะฉันเธอก็คงไม่มีปัญญาได้แต่งงานกับเฉิงรุ่ยหรอก!เธอคงไม่ได้โง่จนถึงขั้นคิดว่าเขาจะมาชอบเธอหรอกนะฉันจะบอกอะไรเธอให้ในตอนนั้นมันก็เป็นเพราะบ้านหลังนี้เขาถึงยอมแต่งงานกับเธอ!”
“บ้านหลังนี้มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่ของเขาเหลือเอาไว้ให้ก่อนตายเธอเลิกคิดไปได้เลย!”
“......”
เซี่ยหลิงหลิงฟังเธอหลุดอธิบายสถานการณ์ที่แท้จริงออกมาจนหมดในที่สุดเธอก็ได้รู้อย่างชัดเจนแล้วว่าเพราะอะไรเฉิงรุ่ยถึงได้มาแต่งงานกับเจ้าของร่างคนเดิม
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม!ทำความเข้าใจสถานการณ์ใหม่นะอย่าโง่อีกเลย!”
เซี่ยหลิงหลิงตอบกลับไปเพียงแค่อืม
เย่ซีจ้องเธอตาเขม็งเพื่อหุ้นของเฉิงรุ่ยเธอวางแผนมาตั้งหลายปีก็เพื่อรอให้วันนี้มาถึงจะยอมให้เซี่ยหลิงหลิงมาทำลายมันลงได้ยังไงกัน
ข้อมือของเธอเจ็บปวดอยู่อย่างนั้นมันทำให้เซี่ยหลิงหลิงรู้สึกเหนื่อยใจ
เธอได้ตระหนักถึงว่าการที่ตัวเองอยากจะเป็นนักแสดงประกอบที่มีชีวิตสงบสุขเรียบง่ายนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หนีเสือปะจรเข้เธอจำเป็นต้องจัดการทุกอย่างให้จบถึงจะได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขสักที
มื้อค่ำที่น่าอึดอัดได้สิ้นสุดลงเซี่ยหลิงหลิงและเฉิงรุ่ยยังคงเรียกแท็กซี่กลับบ้านเหมือนเคยลมเย็นๆพัดโบกมากระทบกับเส้นผมยาวๆของเธอทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบใส่กันจนมาถึงใต้ตึกจนเมื่อเซ่ยหลิงหลิงก้าวขึ้นบันไดอยู่ๆเธอก็หันกลับมาจนเธอปะทะเข้ากับดวงตาของเฉิงรุ่ย
ทั้งคู่ยืนนิ่ง
เซี่ยหลิงหลิงไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องคำพูดที่คุณพ่อเฉิงพูดออกมาในขณะที่แววตาของเฉิงรุ่ยเต็มไปด้วยความสงสัยนั้นเซ่ยหลิงหลิงเกาหัวตัวเองอย่างรู้สึกรำคาญใจคนอย่างเฉิงรุ่ยไม่มีทางคิดแย่งสมบัติของครอบครัวแน่นอนไม่แน่ว่าในวันนึงแม่เลี้ยงของเขาอาจจะบีบเขาออกมาสุดท้ายก็ต้องกลายเป็นยาจก
อยู่ๆเซี่ยหลิงหลิงก็รู้สึกมีความกดดันขึ้นมาอย่างมากถึงเวลาที่เธอจะต้องแบกภาระหนักอึ้งของครอบครัวนี้แล้ว
เฉิงรุ่ยดีกับเธอมากเธอไม่ใช่คนใจดำอำมหิตอะไร
“ไม่เป็นไรนะฉันเองก็พอจะมีเงินอยู่บ้างแม้ว่าเงินจะไม่ได้เยอะเท่าไหร่”เพราะฉะนั้นอยากจะด่ากลับก็ด่ากลับไปเลยอย่าเก็บมันเอาไว้
ใช่
ในแนวคิดของเซี่ยหลิงหลิงคือเพื่อไม่ตัดขาดจากแหล่งการเงินหรือกองมรดกจากพ่อเฉิงรุ่ยถึงได้แสร้งทำเป็นเหมือนไม่สนใจแยแสอะไร
แม่มาด่วนจากไปพ่อก็ไม่สนใจไยดีแม่เลี้ยงก็จ้องแต่จะฮุบสมบัติไม่ทรุดสิแปลกเซี่ยหลิงหลิงเข้าใจอย่างแท้จริงถึงเหตุผลที่เขาเลือกที่จากวิ่งหนีความจริง
เฉิงรุ่ย:“......”
เขาล้วงมือไว้ในกระเป๋าจ้องมองไปที่เซ่ยหลิงหลิงด้วยท่าทีจริงจังใต้แสงไฟอันมืดสลัวกรอบหน้าของเขาดูเรียวรูปตาเรียวสวยคู่นั้นดวงตาที่ฉายแววความอบอุ่น
เซี่ยหลิงหลิงถูกจ้องมองซะจนทำตัวไม่ถูก:“โอเคฉันรู้ว่านายรู้สึกตื้นตันมากแต่ว่า......”
“เดี๋ยวก่อน”
เขาโน้มตัวลงไปข้างหน้าเล็กน้อยทำให้ทั้งสองคนมีระยะที่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
เซี่ยหลิงหลิงถามเตือนไปว่า:“นายจะทำอะไร?ฉันรู้ว่าฉันสวยและก็ใจดีมาก!”หากเจ้าบ้านี่อยากจะจูบเธอล่ะก็คิดผิดครั้งยิ่งใหญ่เลยล่ะ!เธอก็แค่จะรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากๆก็เท่านั้นเองไม่มีอะไรมาก!
ขอขอบคุณจากใจจริงโดยไร้ซึ้งความรักใดๆ!
“เธอ......”
“ฮะ?”
“ทำไมขี้ตาของเธอมันถึงได้เปร่งแสงล่ะ?”เฉิงรุ่ยรู้สึกสงสัยอย่างจริงจัง
เซี่ยหลิงหลิง:“......”
......
เนิ่นนานเป็นความเงียบที่เงียบมากๆ
เสียงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธดังขึ้นมาในความเงียบ
“พวกเราเรียกมันว่าถุงใต้ตา”