ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
เฉิงโม่ วันนี้ฉันไม่มีความสุขเลย
ฉันคิดถึงสงครามเย็นหลายวัน
——ไดอารี่ของนางรวย
น้ำเสียงชัดเจนและนุ่มนวลของสาวน้อย ดังก้องในห้องฝึกซ้อมส่วนตัว
บรรยากาศสงบไปสามวินาที
ในใจเฉิงโม่ยากที่จะคาดเดา หรือว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้คิดผิด? เขามีสติกลับคืนมา กึ่งหรี่ตามองเฉิงซินที่เบิกตากว้างนั่งอยู่บนเบาะ พูดออกมาอย่างช้าสุดขีด “เธอ อยาก ได้ แค่ ฉัน?”
สายตาของเฉิงซินเลิ่กลั่กไปแวบหนึ่ง ภายในใจตื่นตระหนก ขณะที่มองสีหน้าของเฉิงโม่ด้วยความตื่นตระหนกและหมดหนทางนั้น ก็หายไปในพริบตา เธอฟังคำพูดเขาจบ ก็หัวเราะออกมาอย่างกระอักกระอ่วน แล้วรีบอธิบายอีกว่า “ไม่ใช่ๆ ฉันหมายถึงฉันแค่อยากได้คุณเป็นผู้กำกับให้ฉัน เพราะคุณสุดยอดมาก ปีที่แล้วภาพยนตร์ที่คุณกำกับขายตั๋วได้มากกว่าห้าพันล้านแน่ะ คุณเป็นคนที่สุดยอดที่สุดที่ฉันรู้จัก แถมฉันก็คุ้นเคยกับคุณมากที่สุด ฉันเลยแค่อยากได้คุณ......” เธอหยุดประโยคอย่างระมัดระวังสุดๆ “มาเป็นผู้กำกับให้ฉัน ช่วยฉันถ่ายทำบทละครของฉันเอง ได้ไหม?”
“ฉันไม่อยากให้คุณหาคนอื่นให้ ฉันเชื่อใจคุณ”
เธอเน้นย้ำอีกครั้ง ดวงตาโตมองเขาอย่างคาดหวัง นัยน์ตาราวกับมีแสงไฟวูบผ่าน
เฉิงโม่เอนหลังพิงอุปกรณ์ออกกำลังกาย แขนสองข้างกอดอกอยู่ ก้มลงมานิดๆมองเธอ อย่างไม่ค่อยมั่นใจ “อย่างนั้นหรอ?”
เฉิงซินออกแรงพยักหน้า “ใช่”
เฉิงโม่เบนศีรษะออกมาเล็กน้อย หันข้างให้เธอ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เฉิงซินแอบมองเขา รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ รออยู่สักพัก จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้าฉันไม่รับปากล่ะ?”
เฉิงซิน “……”
เธอกะพริบตาอยู่หลายที นิ่งไปเลย
เธอถามคำถามนี้ออกมาได้นั้นคือผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว คิดว่า 80% เฉิงโม่ต้องรับปากแน่ จะพูดอย่างไรดีล่ะ? เพราะว่าเธอเป็นเพื่อนกับเฉิงโม่มาตั้งปีกว่า เธอรู้ว่าคำพูดที่ออกมาจากเฉิงโม่นั้นถูกต้องแน่นอน เขารับปากเธอแล้ว ตราบใดที่เธอเอ่ยปากขอ เขาต้องรับปากเธออย่างแน่นอน
ถึงตอนนั้นเฉิงโม่จะรับปากเธอ แต่เป็นเพียงเงื่อนไขผลประโยชน์
ตอนที่เธอยอมรับโดยปริยาย ไม่คิดอยากได้ผลประโยชน์อะไรอยู่แล้ว แค่คิดอยากได้ผลประโยชน์ในความสัมพันธ์เท่านั้น
ตอนนี้ เฉิงโม่บอกว่าไม่รับปากงั้นหรอ?
เขาไม่รับปาก?
จู่ๆเฉิงซินก็รู้สึกแย่ขึ้นมา เธอเม้มปากแน่น วินาทีต่อมา เธอก็จ้องเขาทันที “เฉิงโม่ พอฉันหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งฉันเลยนะ!”
เฉิงโม่หัวเราะเยาะตัวเอง “ฉันได้ประโยชน์ด้วยหรอ?”
เฉิงซิน “……”
ไม่มี เขาถูกน็อคดาวน์ PK ไปแล้ว
เธอกัดปากล่าง แล้วจ้องเขาอีกครั้ง “คุณเป็นเจ้านายบริษัทมหาชนจำกัดมีเงินหมื่นล้าน ไม่อายหรอ? ค้าขายกันไม่สำเร็จก็ยังเป็นเพื่อนกันได้! พูดแบบนี้น่าอายจริงๆ!”
เฉิงโม่ “……”
เขามองเธอ มุมปากกระตุกขึ้นเป็นยิ้มอย่างเย็นชา ราวกับหัวเราะเยาะตัวเอง “เธอยังจำได้ว่าฉันเป็นเจ้านายหรอเนี่ย ดุขนาดนี้? เธอทำแบบนี้กับเจ้านายเธอได้ไง? ถ้าเป็นคนอื่นโดนไล่ออกไปแล้วนะ”
เฉิงซินพองปาก ในใจก็คิดว่าถ้าเป็นคนอื่น เธอคงไม่มาเสียเวลาไปกับเขาอย่างระมัดระวังหรอก
เธอก้มศีรษะลงอย่างน้อยใจ แทบไม่ได้ยินเสียง เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบามาก “งั้นตกลงคุณจะรับปากไหม......”
เฉิงโม่ไม่พูดไปชั่วครู่หนึ่ง ถ้าเธอแค่อยากเป็นนักเขียนบท ถ้าอยากจะถ่ายทำหนังเรื่องหนึ่งจริงๆล่ะก็ เขาสามารถให้คำแนะนำและแนวทางที่ดีกว่านี้กับเธอได้ ถ้าเงินลงทุนของบริษัทไม่ผ่านข้อเสนอล่ะก็ เขาก็ช่วยเธอหาทุนได้ หาหุ้นส่วนมาทำงานร่วมกัน
สรุปง่ายๆว่า เฉิงโม่เป็นคนที่มีระเบียบวินัยและกฎเกณฑ์มากๆคนหนึ่ง เขากำหนดเค้าโครงเรื่องมากมายให้กับตัวเอง เขามีความชอบที่เฉพาะเจาะจงของตัวเองด้วย ก็เหมือนกับผู้หญิง เขาชอบแบบตู้หลิง แนวนั้น อ่อนโยนราวกับน้ำ และมีบุคลิกเฉพาะตนที่แสดงความสามารถออกมา
เขาสัญญาง่ายๆไม่ได้จริงๆ
เขาเป็นนักธุรกิจ บางคำพูดไม่สามารถพูดได้อย่างตายตัวจนเกินไป ไม่อาจทำเรื่องได้อย่างที่ปากว่าตายตัวขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเหลือช่องว่างไว้บ้าง
เมื่อเฉิงซินขอบตาร้อนผ่าว ตอนที่รู้สึกหมดหวัง เฉิงโม่ก็ยืนขึ้นมา แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันแนะนำผู้กำกับที่เหมาะกับบทละครเธอได้ แล้วก็ให้ทุนส่วนตัวด้วย เพียงแต่......”
เพียงแต่......
เพียงแต่อะไรล่ะ?
เพียงแต่ไม่ชอบเธอ ไม่อย่างนั้นก็รับปากได้อยู่แล้ว
เฉิงซินไม่อยากฟัง เธอยืนขึ้นมาทันที แล้วพึมพำ “ไม่รับปากก็ไม่รับปาก ยังไงฉันก็แค่ลองพูดดู คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดเถอะ”
เธอไม่คิดจะอยากได้อะไรจากเฉิงโม่จริงๆ เธอแค่อยากได้คนคนนี้ วิธีนี้มันใช้ไม่ได้ เธอก็แค่เปลี่ยนวิธีใหม่
เฉิงซินพูดจบ ก็หันหลังกำลังจะไป
เฉิงโม่มองไปที่เธอ แล้วตะโกนเสียงทุ้ม “กลับมา”
“ทำไม?” เฉิงซินหันศีรษะกลับมา
เฉิงโม่เดิมทีคิดจะพูด ถ้าบทละครเธอมันดีมากจริงๆ เขาจะเป็นผู้กำกับให้ แต่หลังจากถูกประโยคนั้นของเธอขัดจังหวะ จู่ๆก็ดูเหมือนว่าไม่เหมาะที่จะพูด แล้วก็พูดไม่ค่อยออก ถ้าตามนิสัยของเขาเมื่อก่อน เรื่องแบบนี้เขาคงไม่รับปากแน่นอน
เขากระตุกริมฝีปาก แล้วพูดออกไปอย่างสะเปะสะปะ “เธอบอกว่าจะอยู่คุยเป็นเพื่อนฉันไม่ใช่หรอ?”
เฉิงซินเชิดหน้าเล็กน้อยอย่างภูมิใจ แล้วจ้องมองเขาราวกับเป็นราชินี “เมื่อกี้ฉันมีความสุข ถึงอยากจะคุยเป็นเพื่อนคุณ”
ตอนนี้ ฉันไม่มีความสุขแล้ว
ให้ผีอยู่เป็นเพื่อนคุณแล้วกัน
เธอทำหน้าตาบูดบึ้ง หันร่างเดินออกจากประตู หลายวินาทีก็ไม่เห็นเงาแล้ว
เฉิงโม่เอนหลังพิงเครื่องออกกำลังกายด้วยสีหน้าเย็นชา เขาเบนหน้าออกมามองกระจกบนกำแพงฝั่งตรงข้าม ในหัวก็นึกถึงสีหน้าท่าทางของเธอที่แสดงออกมาเล็กน้อยเมื่อครู่ที่ดูระมัดระวัง ผิดหวัง จริงจัง น้อยใจ โกรธเคือง และปากไม่ตรงกับใจ......
และใบหน้าบูดบึ้งของ “สาวน้อยไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนแล้วเพราะไม่พอใจ” ในตอนสุดท้าย
ทุกอย่างมันอยู่ในหัวเขาอย่างรุนแรง เขาก้มศีรษะลง แล้วยกมุมปากขึ้น
……
เฉิงซินเดินมาถึงประตูทางเข้า นึกถึงการแสดงออกของตัวเอง เมื่อครู่เธอหนักแน่นเหมือนสุนัขแก่แน่ๆ เฉิงโม่คงไม่รู้สึกอะไรหรอกมั้ง? เธอปลอบใจตัวเอง แล้วไปเอากระเป๋า
กลับถึงบ้าน กลุ่มวีแชทสามคนดังขึ้น ตู้หลิงกลับมาแล้ว
ตู้เสี่ยวหลิง: ฉันกลับมาแล้วน้า
สวี่เสี่ยวหยวน: กอดน้า @นางรวย พรุ่งนี้อย่าลืมมาช่วยฉันดูร้านด้วย
เฉิงซินนอนอยู่บนเตียง หันตัวกลับมา
เธอไม่มีอารมณ์ดู หยิบเสื้อผ้าไปอาบน้ำ แล้วสั่งอาหารเข้ามาทาน อาหารมาแล้วก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทาน ไม่ง่ายแล้วที่จะไปยิมอีกครั้ง ทานมื้อดึกนี้ไปก็ไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
เธอกลืนน้ำลาย แล้วเอาอาหารใส่เข้าตู้เย็น
ไม่ทานแล้ว เพื่อความสวยงามและความร่ำรวย
เก้าโมงเช้าวันต่อมา เฉิงซินขับรถ Macan คันนั้นของเธอไปที่หน้าสตูดิโอแห่งหนึ่ง สตูดิโอไม่ใหญ่ ตำแหน่งที่ตั้งก็ไม่ค่อยดี ข้อดีข้อเดียวคือจอดรถได้ เธอเปิดประตูลงจากรถ สวี่หยวนกำลังโน้มตัวปลดล็อค เธอสูง 172 เซนติเมตร เอวเล็กขายาว หุ่นเหมือนนางแบบ ในเดือนมีนาคม เธอสวมเสื้อคลุมตัวกว้างใส่สบาย ด้านในมีเสื้อขนสัตว์ตัวสั้น กางเกงเอวต่ำ เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องสวยและห่วงเจาะสะดือ
เฉิงซินเดินเข้าไป ยืนมือไปแตะ “แกทนหนาวได้ไงเนี่ย?”
สวี่หยวนปลดล็อคได้แล้ว แล้วหันศีรษะมามองเธอแวบหนึ่ง “ถ้าแกมีกล้ามหน้าท้อง แกก็ต้องอยากโชว์”
เฉิงซิน “……”
เธอไม่มีไง
สวี่หยวนหัวเราะ แล้วเปิดประตูกระจก “ทานข้าวเช้าหรือยัง?”
เฉิงซินตามอยู่ด้านหลัง แล้วตอบอย่างสดใส “ยัง ฉันมาช่วยแกดูร้านหนึ่งวัน แกต้องเลี้ยงครบสามมื้อแล้วไหม?”
สวี่หยวนก็รู้ เธอหยิบกล่องข้าวหนึ่งกล่องให้เธอ “ซาลาเปาทอด”
เฉิงซินถือกล่องข้าวเดินไปที่เคาเตอร์อย่างดีใจ เปิดกล่องข้าวขึ้นมาทาน มองดูสวี่หยวนยุ่งกับการเปิดผ้าม่านร้านออก เปลี่ยนชุดให้โมเดลที่โชว์หน้าร้าน รอเธอทานเสร็จ สวี่หยวนก็จัดร้านเรียบร้อยแล้ว เธอดูเวลาไปด้วยแล้วก็จัดภาพร่างไปด้วย แล้วพูดออกมาโดยที่ไม่ได้เงยหน้า “เหมือนเมื่อก่อนเลยเนอะ พวกเลคกิ้งสายเดี่ยวต่างๆแกขายหลายร้อย ราคาเสื้อไม่ต่ำกว่าสองพัน เสื้อคลุมห้ามแพงเกินแสน ราคาตามอารมณ์ ขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็ช่างมัน ”
“อืม ฉันชอบทำแบบนี้ที่สุด”
เฉิงซินทิ้งกล่องข้าวลงถังขยะ ทำไมเธอตอบตกลงมาช่วยดูร้านอย่างง่ายดาย สตูดิโอเสื้อผ้าที่สวี่หยวนเปิดกับเพื่อนนั้นทำแค่สินค้าที่มีแบบเดียวและสั่งทำ ราคาก็ตามช่วงเวลา มีความสุขที่ขายได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เธออารมณ์ดี เห็นว่าผู้หญิงหน้าตาสวย ก็ขายถูกลงหน่อย
ถ้าอารมณ์เธอไม่ดี เห็นว่าใครดูรวยไม่กลัวขนหน้าแข็งร่วง ก็คิดแพง การขายแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นดี
พอดีเลย......
วันนี้อารมณ์เธอไม่ค่อยดีงามเท่าไหร่
ร้านค้าแบบสวี่หยวนตอนแรกยากที่จะอยู่รอดอย่างมาก ยิ่งไม่ใช่แบรนด์ดัง แถมยังขายแพงขนาดนั้น มีคนซื้อก็แปลกใจแล้ว ถ้าเธอกับตู้หลิงไม่ได้ช่วยโฆษณาให้ บวกกับความขยันของเธอและพวกเพื่อน ร้านคงเจ๊งไปนานแล้ว
ตอนนี้มีลูกค้าประจำนิดหน่อย พวกคุณหนูบ้านรวยและดาราที่ไม่ค่อยดัง
เพราะว่าแบบเสื้อผ้าทุกแบบของที่นี่มีแค่ตัวเดียวเท่านั้น ใส่ในที่สาธารณะไม่ต้องกังวลว่าจะไปซ้ำกับคนอื่น
สวี่หยวนมองเธอหนึ่งทีแล้วขมวดคิ้ว “วันนี้แกอารมณ์ไม่ดีอ่อ?”
เฉิงซินยู่ปาก “ปกติ”
“โดนประธานเฉิงของแกใจร้ายใส่มาหรอ?”
“……”
“เขาทำอะไร?”
เรื่องนี้พูดไม่กี่ประโยคไม่เข้าใจหรอก เฉิงซินมองสวี่หยวนทำท่าเตรียมจะออกประตูไป ก็โบกมือขึ้นมา “ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน แกไปทำธุระก่อน”
สวี่หยวนเลิกคิ้ว “งั้นฉันไปละ ถ้าวันนี้มีคนมา อย่าคิดราคาเกินไปล่ะ”
ปกติพวกคุณหนูไม่ค่อยต่อราคากันหรอก ถ้าราคาแพงเกินไป ไม่แน่ว่าครั้งหน้าอาจจะไม่มาซื้อแล้ว
ดังนั้น เธอบอกให้เฉิงซินอย่าใจร้ายจนเกินไป
เฉิงซินยกมือขึ้นทำท่า OK
หลังจากสวี่หยวนไปแล้ว เธอก็ดูแลร้านที่กว้างร้อยกว่าตารางเมตรคนเดียว ร้านนี้ชื่อเสียงไม่ค่อยดีในแถวร้านใกล้ๆ ดังในเรื่องราคาแพง ปกติไม่ค่อยมีคนเข้ามา เธอมีเวลาว่างจนเบื่อ เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเขียนประวัติย่อของบุคคลต่อ แม้ว่าเฉิงโม่จะไม่เห็นด้วยที่จะเป็นผู้กำกับให้เธอ แต่บทละครก็ยังต้องเขียน
ไม่มีลูกค้าเลยตลอดเช้า ตอนเที่ยงทานอาหารกล่อง เธอเอนบนโต๊ะนอนกลางวัน มีเวลาว่างมาก
สุดท้าย ในตอนบ่ายสี่โมงกว่า ก็มีรถมาเซราติสีแดงจอดอยู่นอกประตูร้าน สองร้อยกว่าล้าน!
เฉิงซินตาเป็นประกาย คุณหนูมาแล้ว!
เธอรีบนั่งขึ้นมา จัดทรงผมและกระโปรงให้เรียบร้อย เดินออกมาจากเคาเตอร์อย่างสง่างาม แล้วรออยู่ที่หน้าประตู
มีสาวน้อยสองคนที่แต่งตัววิจิตรงดงามลงมาจากรถ อายุประมาณยี่สิบปี ในมือทั้งสองถือกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่ จูงมือกันเข้ามา สาวน้อยที่สวมเสื้อโค้ทสีชมพูพูดอย่างตื่นเต้น “นี่เป็นร้านที่ฉันบอกเธอ ทุกตัวมีอยู่แบบเดียว! แล้วรูปแบบก็ใหม่มาก ไม่ซ้ำใครแน่นอน!”
เฉิงหนิงหนิงก็ดีใจมากเหมือนกัน มองดูเสื้อผ้าที่โชว์อย่างกระตือรือร้น แล้วพูดอย่างกระโดดโลดเต้น “ฉันอยากลองตัวนั้น”
เธอชี้ไปที่โมเดลที่โชว์อยู่
พอพูดออกไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงคนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “งั้นเดี๋ยวดิฉันด้วยเอาออกมานะคะ”
เฉิงหนิงหนิงหันศีรษะไป ขณะที่สายตาเธอสบเข้ากับยิ้มหวานของเฉิงซิน ก็ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ นี่ นี่มันนักเขียนบทสาวสวยที่พี่ชายเขาจีบไม่ติดใช่ไหมนะ?!
เฉิงซินยิ้มหวานแล้วพูดขึ้น “ลองดูตัวอื่นอีกก็ได้นะคะ เลือกเสร็จแล้วค่อยเอาไปลองพร้อมกันก็ได้ค่ะ”
เฉิงหนิงหนิงมองเธอด้วยความเหลือเชื่อ คิดว่าไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่นักเขียนบทใช่ไหม? ทำไมมาเปิดสตูดิโอขายเสื้อผ้าแล้วล่ะ? จำผิดคนหรอ? เธอรีบก้มศีรษะเลื่อนดูอัลบั้มรูปภาพ แล้วก็แอบกวาดสายตามอง แล้วเงยหน้ามองเฉิงซินอีกครั้ง สายตาจับจ้องไปที่ลักยิ้มบางๆบนแก้มขวาของเธอ
ไม่ผิด เธอนี่แหละ!
หยางเฟยมองเธออย่างแปลกใจ เดินเข้ามาถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นหรอ?”
เฉิงหนิงหนิงส่ายหน้า ควบคุมความตื่นเต้นในใจไม่ได้ เธอมองไปที่เฉิงซิน แล้วยิ้มกว้างพลางถาม “คุณเป็นดีไซน์เนอร์ที่นี่ใช่ไหมคะ?”
เฉิงซินยิ้ม “ไม่ใช่ค่ะ ฉันเป็นเพื่อนของเธอ มาช่วยดูร้านหนึ่งวันนะคะ”
อย่างนี้นี่เอง
เฉิงหนิงหนิงครุ่นคิดสักพัก ตัดสินใจจะลองเสื้อผ้าตามปกติ เธอเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน แอบเหลือบมองเฉิงซิน ตัวจริงไม่ต่างจากรูปภาพ ใส่เดรสยาวสีครีมสบายตัว ขาวมากและผอมมาก ผิวพรรณขาวเนียน เป็นคนสวยคนหนึ่งเลย แต่ว่าไม่ค่อยเหมือนสเปคที่พี่ชายเธอชอบ
“ช่วยฉันหยิบสองตัวนั้นให้ฉันลองหน่อยค่ะ” เฉิงหนิงหนิงมองเฉิงซินบ่อยมาก ค่อยๆเดินไปเลือกเสื้อผ้า “แล้วก็ตัวนี้ค่ะ”
เฉิงซินช่วยเธอหยิบเสื้อผ้าอย่างขยันขันแข็ง จากนั้นก็แขวนทุกตัวไว้ในห้องลองเสื้อผ้า แถมแนะนำเครื่องประดับเสริมเล็กๆน้อยๆให้ ทั้งหมดนี้เป็นงานแฮดเมดที่สวี่หยวนทำในตอนที่ว่าง เธอถามด้วยรอยยิ้มกว้าง “ยังมีอีกไหมคะ?”
เฉิงหนิงหนิงมองเธอ ส่ายหน้ายิ้ม “ไม่ต้องแล้วค่ะ”
ได้ยินพวกเขาพูดว่าเธอมีแฟนแล้ว แถมเป็นเจ้าหน้าที่กองทัพด้วย
เสียดายอ่ะ.....
ไม่อย่างนั้นเธอสามารถจับคู่เธอกับพี่ชายที่น่าสงสารของเธอได้
เฉิงซินรู้ที่ไหนว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทำท่าเชิญอย่างสุภาพ “เชิญเข้าไปลองเสื้อได้เลยค่ะ”
เฉิงหนิงหนิงพยักหน้า หยางเฟยลองนานแล้ว กำลังกระตุ้นเธออยู่ในห้องลองเสื้อผ้า “เร็วซี่! เดี๋ยวต้องไปกินข้าวแล้วนะ เดี๋ยวสาย”
“รู้แล้ว” เฉิงหนิงหนิงตอบ
เฉิงซินยืนอยู่ด้านนอก บริการสองสาวอย่างสุดหัวใจ
สุดท้าย คุณหนูทั้งสองก็ซื้อไปหลายชุด เฉิงซินห่อให้เฉิงหนิงหนิงก่อน ห่อไปด้วยก็บอกราคาไปด้วย สุดท้ายก็ยิ้มกว้างพูด “ถ้ารู้สึกว่าราคาไม่คุ้มไม่อยากได้แล้ว ฉันช่วยเอาออกให้ได้นะคะ”
เฉิงหนิงหนิงพยักหน้าแล้วยิ้ม “ค่ะ”
จากนั้น เฉิงซินก็บอกราคาแต่ละชิ้น เธอมองเสื้อผ้าชิ้นนั้นในมือตัวเองอย่างสงสัย
สายเดี่ยวตัวนั้นแปดพันหยวนหรอ? เสื้อขนสัตว์ตัวนั้นราคาหมื่นแปด? เสื้อคลุมยีนส์ราคาสี่หมื่นแปด??
เธอมองหยางเฟย
หยางเฟยกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนที่เธอมาคราวที่แล้วไม่แพงขนาดนี้นะ
แต่ว่าทั้งสองซื้อเก่งตั้งแต่เด็กแล้ว ซื้อเสื้อผ้า ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมอย่างไม่กะพริบตา เพียงแต่ประหลาดใจนิดหน่อย ร้านสตูดิโอเล็กๆแห่งนี้ยังขายแพงขนาดนี้
สุดท้าย หยางเฟยก็หยิบเสื้อคลุมตัวละห้าหมื่นหยวนออกมา รู้สึกว่าไม่คุ้ม ให้เธอไปซื้อกระเป๋าดีกว่า
เฉิงหนิงหนิงมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเฉิงซิน เธอยิ้มเม้มปาก “ฉันรูดบัตรนะคะ”
หลายนาทีต่อมา เฉิงซินก็เดินไปส่งทั้งคู่หน้ารถ วางของเข้าหลังรถให้พวกเขา โบกมือพลางยิ้มเล็กน้อย “โอกาสหน้ายินดีต้อนรับค่า”
หลังจากเฉิงซินมองรถพวกเขาขับออกไป ก็เดินเข้าร้านไปอย่างอารมณ์ดี หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วถ่ายจำนวนเงินที่รับมาให้สวี่หยวนดู
สวี่หยวนกำลังขับรถอยู่ มาถึงประตูทางเข้าร้านถึงจะเห็น เธอมองแล้วเบิกตากว้าง แสนกว่า?!
เธอผลักประตูรถ รีบเดินเข้าไปในร้าน กวาดสายตามองเสื้อผ้าอันน้อยนิดที่อยู่ในร้าน ทราบในใจดีอยู่แล้ว เธอยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้เฉิงซินที่กำลังทานของว่างพร้อมชาอยู่ “โหดมาก”
สวี่หยวนพูดอย่างยอมรับ “ใครใจกว้าง ให้แกได้ขูดเงินขนาดนี้”
เฉิงซินยิ้ม “คุณหนูสองคน ขับรถเซราติคันละสองล้านกว่า”
สวี่หยวน “รวยจริง”
เฉิงซินพยักหน้า มองเธอด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับ
สวี่หยวน “……”
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโอนเงินให้เธอ
เฉิงซินรับเงินมาอย่างดีใจ แล้วยังแคปรูปลงโมเมนต์ในวีแชทด้วย
……
พลบค่ำ เฉิงโม่กลับมาที่ลานหน้าบ้านตระกูลเฉิง ทานอาหารเสร็จก็เข้าไปห้องทำงานคุยงานกับคุณพ่อเฉิงเต๋อหง
คุยเสร็จก็ออกมาจากห้องทำงาน ก็เห็นเฉิงหนิงหนิงถุงชอปปิ้งใบใหญ่ขึ้นมาข้างบน เฉิงหนิงหนิงเงยหน้ามองเขาแล้วโอดครวญ “พี่ วันนี้ฉันโดนขูดรีดมาอ่ะ”
มือเฉิงโม่ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วมองเธอ “อะไรนะ?”
เฉิงหนิงหนิงเดินขึ้นไปข้างบนแล้วหอบหนัก พูดขึ้น “พี่รอฉันแป๊ป” เธอทิ้งถุงชอปปิ้งไว้ในห้อง แล้ววิ่งออกมา พบว่าพี่ชายเธอกำลังนั่งดูโทรศัพท์อยู่บนราวกั้นแกะสลักไม้ฉลุ เธอเดินมายืนนิ่งตรงหน้าเขา
เฉิงโม่พูดเสียงเรียบ “เงินขาดหรอ?”
เฉิงหนิงหนิง “......ขาดนิดหน่อย”
เฉิงโม่พยักหน้าตามอำเภอใจ “พรุ่งนี้ให้คนโอนไปให้” พูดจบ ก็ลุกขึ้นเตรียมออกไป
“เดี๋ยว!”
เฉิงหนิงหนิงขวางทางตรงหน้าเขา คิ้วสวยขมวด แล้วเอ่ยเสียงเบา “วันนี้ฉันโดนตู้หลิงขูดรีดเงินมา ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่พอคิดว่าพี่จีบไม่ติด เธอก็ไม่ใช่พี่สะใภ้ฉัน ฉันให้เธอหลายหมื่นหยวนไปเปล่าๆ ฉันรู้สึกว่า......”
เธอหยุดไป รู้สึกขุ่นเคือง “ฉันโกรธนิดหน่อย!”
เฉิงโม่ “……”
เขาหยุดอยู่ที่เดิม แล้วก้มลงไปมองเธอ “หมายความว่าไง?”
เฉิงหนิงหนิงเล่าเรื่องที่ไปซื้อเสื้อผ้าให้ฟังหนึ่งรอบ พอเฉิงโม่ฟังจบใบหน้าก็แสดงออกอะไร เขาเคยได้ยินร้านนั้นของสวี่หยวน เพราะเฉิงซินเคยพูดต่อนห้าเขาหลายหน เธอบอกว่าเธอชอบช่วยสวี่หยวนดูร้านมากที่สุด อยากขายเท่าไหร่ก็ขายเท่านั้น
พอดูร้านเสร็จ สวี่หยวนยังให้ติ๊บเธอเยอะมากอีกด้วย
เขานึกถึงท่าทางอ่อนหวานของตู้หลิง ไม่คิดว่าเธอจะขูดรีดคนอื่น......
“เธอซื้อมาเองนี่ ขูดรีดก็ขูดไปแล้ว”