ตอนที่ 12
ตอนที่ 12
เฉิงโม่ ฉันเอาแชทคุณไว้บนสุดเลยนะ
ถึงคุณจะไม่ได้ส่งข้อความมา ฉันเปิดวีแชทขึ้นมาคนแรกที่เห็นก็คือคุณ
——ไดอารี่ของนางรวย
ตอนปีหนึ่งเฉิงซินเริ่มเขียนนวนิยายออนไลน์ นามปากกาใช้ชื่อพ้องเสียงว่า “ถังซิน” เธอเขียนตามใจชอบอย่างมาก ไม่ได้เขียนตามความต้องการตลาดเลย อยากเขียนอะไรก็เขียน ความคิดเธอค่อนข้างแปลก แต่กลับเป็นที่นิยมโดยบังเอิญ
ตอนนี้ แฟนคลับเธอในเวยโป๋มีมากกว่าล้านคนแล้ว
เรื่องที่ดังที่สุดคือเรื่อง ทำฝันให้คุณ หลายปีก่อนสื่อสิ่งพิมพ์ยังทำได้ดี หนังสือออกสู่ท้องตลาดก็ขายดีสุดๆ พิมพ์ซ้ำไม่หยุดหย่อน ได้รับความสนใจจากบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์อย่างแน่นอน
เฉิงซินไม่เคยทำสัญญาในเว็บไซต์ ลิขสิทธิ์ผลงานของเธอทั้งหมดอยู่ในมือเธอ ตอนนั้นมีบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ไม่น้อยเคยมาคุยเรื่องการซื้อขายลิขสิทธิ์กับเธอ แต่เธอไม่ขาย
คนอื่นนึกว่าเธอตั้งใจจะโก่งราคา เธอเพียงพูดตรงๆว่า “ไม่น่าสนใจ ไม่ขาย”
หัวรั้นขนาดนี้
เพราะว่าฐานะทางบ้านเธอไม่เลว ไม่ได้ขาดเงินทานข้าว ไม่อยากขายก็ไม่ขาย จนกระทั่งตอนที่เธอกำลังจะเรียนจบ บริษัทภาพยนตร์สือกวางก็มาหา เสนอราคาที่สูงกว่าบริษัทภาพยนตร์ก่อนหน้านี้นิดหน่อย
เฉิงซินไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ขายให้
เพราะว่าเธอเห็น CEO ที่รับกิจการคนใหม่ในอินเตอร์เน็ตว่าหน้าตาดีมาก ตอนนั้นเฉิงโม่อายุแค่ยี่สิบสามปี รูปลักษณ์ไม่ได้ต่างจากตอนนี้มาก แต่นิสัยใจคอไม่เหมือนเดิมแล้ว ความเข้มงวดและความไม่แยแสในร่างกายผู้ชายคนนี้เหมือนจะรุนแรงขึ้น ยิ่งนานก็ยิ่งเข้มข้น
แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือ บริษัทภาพยนตร์สือกวางนั้นเก็บ IP เกือบสี่ปีแล้วที่ซื้อมาแต่ก็ยังไม่ได้คิดจะเปลี่ยนโปรเจ็ค
เธอคิดว่าหลักๆแล้วไม่มีความเป็นไปได้ที่จะย้ายไปฉายในโทรทัศน์
ยังไงก็ไม่คิดว่าลู่จือสิงจะชอบเรื่องนี้
เฉิงซินลังเลไปสักพัก เธอก็ส่งอิโมติคอนโผล่ศีรษะออกมาจากหลังกำแพงให้กับลู่จือสิง “สวัสดีค่ะผ.อ.ลู่ เรื่อง ทำฝันให้คุณ เหลืออีกเดือนกว่าจะหมดอายุ คุณอยากเอาไปถ่ายทำหรือว่าซื้อไปคะ?”
เธอพูดจบ ก็เปลี่ยนชื่อเขาในโน้ต จะได้จำได้ง่าย
ลู่จือสิง: “ฉันไม่เก็บลิขสิทธิ์”
เขาถ่ายทำผลงานดั้งเดิมน้อยมาก เขามีแบบแผนในการร่วมงานกับนักเขียนและทีมถ่ายทำ และร่วมการเขียนบทด้วย เป็นผู้กำกับที่ความสามารถรอบด้าน ภาพยนตร์ที่เขาเพิ่งทำเสร็จในช่วงนี้ก็เป็นเรื่องที่เขาเขียนเอง
ลู่จือสิง: “เธอลองไปพิจารณาดู พิจารณาเรียบร้อยแล้วก็ให้คำตอบฉัน หรือไม่ก็นัดเวลาออมาคุยกันหน่อยไหม?”
เฉิงซินค่อนข้างตื้นตันใจ รู้ว่าลู่จือสิงเป็นผู้กำกับที่ได้รับรางวัลมามากมาย ผลงานเมื่อหลายปีก่อนได้รับรางวัลภาพยนตร์วรรณกรรม สองปีนี้เริ่มทำภาพยนตร์ธุรกิจ ได้รับคำชมจากสาธารณะและการขายตั๋วก็ไม่เลว ไม่สามารถโยนทิ้งโอกาสนี้ไปได้
และเขามีนักเขียนบทที่ทำงานร่วมกันตายตัว การเรียกมาคุยเป็นเรื่องที่หาได้น้อยมากจริงๆ
ถ้าเป็นนักเขียนบทต๊อกต๋อยคนอื่นบางทีอาจจะตอบรับตกลงทันทีโดยไม่ต้องคิด แต่เฉิงซินค่อนข้างลังเล ถ้าเกิดได้ถ่ายทำขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เธออยากให้บริษัทภาพยนตร์สือกวางถ่ายให้มากกว่า
น่าเสียดาย ลิขสิทธิ์ถูกทิ้งไว้สี่ปี คุณพ่อเฉิงก็ไม่ได้มีความคิดอยากจะถ่ายทำมัน
ถ้าคุณพ่อลู่สามารถพาเธอบินได้ล่ะ?
เธอสามารถกระโดดจากนักเขียนบทต๊อกต๋อยไปได้อีกสามขั้นไหม?
เฉิงซินนั่งขัดสมาธิบนโซฟา คิดเครื่องคิดเลข ใครให้เฉิงซินไม่ให้เธอถ่ายล่ะ ถ้าถ่ายออกมาดังพลุแตกล่ะก็ เธอก็อยากดูว่าเขาจะเสียดายไหม เธอจินตนาการท่าทางเสียดายของเฉิงโม่ ก็อดดีใจไม่ได้ ดีใจเสร็จแล้วก็ตอบกลับลู่จือสิง “ได้ค่ะ ให้ฉันพิจารณาสักนิดนะคะ”
ลู่จือสิง “ได้ ฉันจะรอ”
……
ห้าโมงเย็น เฉิงโม่ออกจากบริษัทไป คืนนี้เขามีงานเลี้ยงสังสรรค์ เขามีทานอาหารเย็นกับประธานเฉินฮั่นของสื่อเจียอี้ สือกวางกับเจียอี้มีผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ทำร่วมกันมาไม่น้อย เป็นหุ้นส่วนกันมาตลอด เพียงแต่สองปีมานี้เจียอี้ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาฝึกฝนนักแสดง
เฉิงโม่รู้จุดประสงค์ในการนัดทานอาหารเย็นครั้งนี้ของเฉินฮั่น โปรเจ็คใหม่เขาอยากจะร่วมงานด้วย และอยากเอานักแสดงของตัวเองหลายคนเข้าทีม
บนโต๊ะอาหาร เฉินฮั่นได้พูดเรื่องนี้ เขายกแก้วเบียร์มองเฉิงโม่ ยิ้มพูด “ว่าไง? หลายปีมานี้เราก็พัฒนากันได้ไม่เลว นักแสดงหน้าใหม่หลายคนการแสดงก็โอเค ไม่ได้หน้าตาดีอย่างเดียว”
เฉิงโม่พิงเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย มองแก้วไวน์เบียร์แวบหนึ่ง ยิ้มอ่อนแล้วพูด “ยังไม่ได้กำหนดอะไรเลย ถึงเวลาถ้าบทเหมาะค่อยว่ากัน”
เฉินฮั่วปีนี้อายุสามสิบห้าแล้ว แก่กว่าเฉิงโม่หลายปี แต่การทำงานในบริษัทตัวเองไม่ดีเท่าสือกวาง ทำงานมาตั้งหลายปีแล้วแต่ยังต้องคอยรับใช้ เขาหัวเราะ “ได้ รอกำหนดโปรเจ็คได้ก่อน ฉันจะได้เลี้ยงประธานเฉิงอีกสักมื้อ”
เฉิงโม่จิบไวน์แดงหนึ่งอึก แล้วยิ้มอย่างไร้อารมณ์
อาหารเย็นเสร็จสิ้นลง เฉินฮั่วพูดขึ้น “ประธานเฉิง ยังมีอีกงานเลี้ยงหนึ่ง รองประธานก็อยู่ ไปเที่ยวด้วยกันไหม?”
งานเลี้ยงประเภทนี้ปกติแล้วจะหาดาราที่ไม่มีชื่อเสียงร่วมดื่มด้วย เฉิงโม่อยู่ในวงการนี้มานานแล้ว ทำไมจะไม่รู้ เขาหัวเราะด้วยท่าทีเดิม “ไม่ต้องหรอก ที่บ้านมีลูกแมวรออยู่น่ะครับ”
ลูกแมว?
เฉินฮั่วอึ้งไปสักพัก
เฉิงโม่ก็หมุนตัวเดินออกไปแล้ว เขายืนอยู่ที่เดิม หันศีรษะไปถามผู้ช่วย “ช่วงนี้เฉิงโม่มีแฟนหรอ? หรือว่ามีคนรัก?”
ผู้ช่วยส่ายหน้า “ไม่ได้ยินมานะครับ อาจจะเป็นแมวจริงๆก็ได้?”
เฉินฮั่วยิ้มเยาะ “ยุ่งขนาดนั้น อยู่อพาร์ทเมนต์คนเดียว จะไปเลี้ยงแมวได้ไง ไม่ใช่แฟนก็คนรักแหละ อยู่ในวงการนี้ ใครจะไปใสสะอาดเป็นผ้าขาว คงแค่เล่นๆ อย่าไปมองว่าเขาซื่อเลย ฉันคิดว่าเขาก็แอบบ้าคลั่งเหมือนกัน แค่ซ่อนไว้แค่นั้น”
เฉิงโม่รีบกลับมาหาแมวจริงๆ เมื่อคืนเฉิงหนิงหนิงบอกว่าจะมาเอาแมวไปด้วยตัวเอง เธอรู้รหัสอพาร์ทเมนต์เขา สุดท้ายคุณหนูก็ออกไปเที่ยวในเมืองจนลืม ตอนนี้เขารถติดอยู่บนทางด่วน เดาว่าอีกสองชั่วโมงถึงจะถึง
ถ้าเขายังไม่กลับไป กลัวว่าลูกแมวตัวนั้นจะหิวตายได้
หลังจากลงรถ เขาก็ถอดเนกไทออก แล้วพูดกับคนขับ “ไปเถอะ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉิงโม่เปิดประตูบ้าน กดเปิดไฟที่ห้องนั่งเล่น ก็รับรู้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ดี ลูกแมวน้อยแรกเกิด “แหกกล่อง” ออกมาแล้ว กระโดดออกมาจากกล่อง ตอนนี้กำลังร้องแง้วๆอย่างบ้าคลั่งและข่วนโซฟาหนังแท้ที่เขาเลือกมาอย่างดี
ใต้โซฟามีเศษนุ่นในหมอนกระจุยกระจาย นิตยสารและหนังสือพิมพ์บนโต๊ะชาก็ไม่รอด ห้องนั่งเล่นทั้งห้องเละเทะไปหมด
เฉิงโม่ยืนอยู่ตรงทางเข้า “……”
เขาเม้มปาก คิ้วเลิกขึ้น แล้วก้าวเท้ายาวเดินเข้าไปอุ้มแมวตัวนั้นทันที
ลูกแมวแรกเกิดคงจะหิวจนเป็นบ้าแล้วจริงๆ อารมณ์ก็ไม่ดี ดุร้ายกว่าเมื่อวานที่ร้องเมี้ยวสองทีมาก โดนอุ้มขึ้นมาก็ร้องแง้วโหยหวน พอเฉิงโม่ได้ยินก็คิดว่าตัวเองออกแรงเกินไป ทำให้มันเจ็บ ก็รีบปล่อยมือ
ใครจะไปคิดว่าพอปล่อยมือ ลูกแมวแรกเกิดขนฟูก็กระโดดขึ้นมือเขา แล้วข่วนลงมาอย่างแรง
เฉิงโม่ขมวดคิ้ว ร้องซี้ดเสียงต่ำ แล้วรีบเอามือออกทันที
ลูกแมวแรกเกิดขึ้นไปบนโซฟาเหมือนก้อนข้าวปั้น ม้วนตัวหนึ่งรอบ นอนบนโซฟาอย่างเพิกเฉย แล้วมองเฉิงโม่ด้วยแววตาน่าสงสาร
เฉิงโม่มองหลังมือตัวเองที่ถูกข่วนหลายรอย มีสองที่ลึกจนเลือดออกนิดหน่อย เขาขมวดคิ้ว เบนหน้าหนี แล้วถอนหายใจออกมาหนักหน่วง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย
เขาฟังเสียงร้องเมี้ยวๆอย่างรำคาญ ผ่านไปสักพักก็แกะอาหารแมวที่เหลือนิดหน่อยใส่ในชามอย่างยอมรับชะตากรรม ลูกแมวแรกเกิดได้ยินเสียง ก็รีบลงมาอย่างรวดเร็ว ก้อนขนฟูมุดเข้าไปในชาม เริ่มกินอย่างมีความสุข
เฉิงโม่ก้มศีรษะมองลงไปอย่างรำคาญ ยกมือขึ้นคลายเนกไทออก และปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบนด้วยมือเดียวอย่างรวดเร็ว
เขาหมุนตัวกลับไปหน้าโซฟา กวาดตามองโซฟาที่ถูกข่วน มุมปากขยับขึ้นมา ยิ้มเย็นชาพลางยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปให้เฉิงหนิงหนิงดู
เฉิงหนิงหนิงกำลังรถติดอยู่บนทางด่วน คนไปเที่ยวในเมืองเยอะมากในวันสุดสัปดาห์ กลับมาก็รถติดอยู่แล้ว
เธอเห็นข้อความ ในใจก็เต้นตึกๆ “แมว......ข่วนหรอ?”
เฉิงโม่ “ฉันทำหรือไง?”
เฉิงหนิงหนิง “……”
เธอรีบพิมพ์ข้อความไป “ฉันๆๆๆรีบกลับไป! รับประกันว่าถึงก่อนห้าทุ่ม! รีบเอามันไป!”
เฉิงหนิงหนิงกลัวว่าจะโกรธจนเอาแมวไปทิ้ง ไม่ก็เผามัน
ปลอบประโลม การันตีอีกครั้ง “ตอนนี้ฉันรถติดอยู่ ข้างหน้าก็ไม่ติดแล้ว พี่รอฉันนะ มันเป็นแค่แมวตัวหนึ่ง อย่าทำอะไรมันน้า โซฟา......โซฟาเดี๋ยวฉันชดใช้ให้ พรุ่งนี้ฉันซื้อตัวใหม่ไปให้!”
โซฟาตัวนั้นของเขาแพงโคตร เฉิงหนิงหนิงพูดจบก็รู้สึกเจ็บแปลบ
เฉิงโม่ไม่มีอารมณ์อ่านข้อความไร้สาระของเธอ เขามองมือตัวเอง แล้วมองแมวที่มาจากไหนก็ไม่รู้ หันกลับมานั่งบนโซฟา เอนหลังพิง ขมวดคิ้วแล้วสบถออกมา “บ้าเอ๊ย”
โทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เขาก้มลงมอง เห็นรูปโปรไฟล์ของเฉิงซินเด้งขึ้นมาบนสุด
นางรวย: “คุณพ่อเฉิงคะ”
เฉิงโม่ “……”
เฉิงซินยังไม่ได้รับการตอบ ก็ส่งรูปภาพลูกแมวทำท่าน่ารักไปหนึ่งรูป เป็นแมวพันธุ์ชินชิล่าที่เธอเลี้ยงที่บ้าน ถูกเอามาทำเป็นสติกเกอร์
เฉิงโม่เห็นแมวตัวนั้นแล้วก็หงุดหงิด เขาใช้มือเดียวยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วมองที่หลังมือ พิมพ์ไปหนึ่งประโยค “ถูกแมวข่วนต้องฉีดวัคซีนไหม”
เขาไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อน ที่บ้านก็ไม่เคยเลี้ยง ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ความประทับใจแรกต้องไม่ใช่ทะเลาะกันอย่างแน่นอน
เฉิงซินพอเห็นก็รีบถาม “คุณถูกแมวข่วนหรอ?”
เธอคิดถึงก่อนหน้านี้ที่เขาถามเธอว่าแมวที่เธอเลี้ยงที่บ้านคือพันธุ์อะไร ก็เกิดความสงสัย “คุณเลี้ยงแมวหรอ?”
เป็นไปได้ไหมนะ?
เฉิงโม่เลี้ยงแมว?
เขาจะเลี้ยงแมวได้อย่างไร เฉิงซินส่ายศีรษะ อดคิดเพ้อเจ้อไม่ได้
เฉิงโม่ตอบกลับอย่างอดกลั้น “เก็บมาได้”
เก็บมาได้?!!
ถ้าแมวที่บ้านข่วนยังโอเค นี่แมวเก็บมาได้ ใครจะไปรู้ว่ามันมีโรคหรือเปล่าอ่ะ!
เฉิงซินรีบโทรไปหาทันที เฉิงโม่พอเห็นก็หรี่ตารับสาย
เฉิงซินพูดอย่างร้อนใจ “คุณถูกแมวที่เก็บได้ข่วนหรอ? งั้นต้องไปตรวจนะ โดนข่วนตรงไหน? คุณ......” เธอหยุดไปสักพัก แล้วถามเสียงแผ่ว “คุณอยู่ที่บ้านคนเดียวไหม?”
เฉิงโม่มองลูกแมวแรกเกิดที่กินอิ่มแล้วกำลังเลียหางอยู่ เอ่ยด้วยโทนเสียงรำคาญ “มีแมวตัวนั้นด้วย”
เฉิงซิน “……”
เธอวาง iPad ลงทันที วิ่งเข้าห้องไป เปิดตู้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้วควานหยิบเสื้อผ้าสองชุดออกมาวางลงบนเตียง ถอดกางเกงอยู่บ้านออก แล้วสวมกางเกงยีน ดึงเอวกางเกงยีนกระโดดไปมาอยู่กับที่ กระโดดไปมาค่อนข้างสับสนวุ่นวาย แต่กลับพูดออกไปอย่างใจเย็น “เอางี้นะ ฉันจะบอกคุณว่าถ้าเป็นแมวบ้านตัวเองเนี่ยแข็งแรงจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นตัวที่เก็บมาจากข้างนอกล่ะก็ไม่ได้แล้ว ถ้ามันมีโรคล่ะ? อันตรายมากนะ ฉันรู้ว่าจะต้องจัดการยังไง คุณไปล้างน้ำก่อน ฉันจะไปดูให้ คุณ......คุณรอฉันแป๊ปเดียว”
ไม่รอให้เฉิงโม่พูดอะไร เธอก็วางสายทันที
กลัวจะถูกปฏิเสธ
เฉิงโม่ขมวดคิ้ววางโทรศัพท์ลง มองดูจอโทรศัพท์ที่ดำสนิท
เขาบอกให้เธอมาได้หรอ?
เขาเอนอยู่บนโซฟา คิดถึงน้ำเสียงร้อนรนของเธอเมื่อครู่ เป็นห่วงเขาขนาดนั้น ชอบจริงๆหรอ?
เริ่มชอบตั้งแต่ตอนไหนนะ?
เฉิงโม่นึกย้อนไปหน่อย เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องหลายเดือนช่วงนี้ เขาลังเลว่าจะให้เธอมาดีไหม สุดท้ายก็ทิ้งโทรศัพท์ลงไป ลุกขึ้นเข้าห้องครัวไปรินน้ำหนึ่งแก้ว
……
เฉิงซินขับรถมา ที่ที่เธออาศัยใกล้ ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว
เธอรู้เพียงเขตที่เฉิงโม่อาศัยอยู่ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ตึกไหน เข้าไปในเขตก็ยังต้องทำการบันทึกสัมภาษณ์ลงทะเบียน ยุ่งยากมาก
เธอโทรศัพท์หาเฉิงโม่ “เฉิงโม่ คุณอยู่ตึกไหนอ่ะ?”
เฉิงโม่เอาเศษหนังสือพิมพ์ยัดใส่ถังขยะ ได้ยินเธอเรียกชื่อตัวเองก็หยุดไปสักพักก่อนพูด “ตึก 12 ชั้น 15 เอารถจอดใต้ตึกก็ได้”
“โอเค” เฉิงซินพูด “งั้นคุณรอฉันก่อนนะ”
ห้านาทีต่อมา ออดก็ดังขึ้น
เฉิงโม่มองเห็นร่างที่สะพายเป้สวมเสื้อขนสัตว์สีขาวตัวกว้าง กางเกงยีน ทรงผมไม่สั้นไม่ยาวนุ่มนิ่ม ใบหน้าที่เล็กและขาวอยู่ในจอมอนิเตอร์ ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าพุ่งเข้าในจอมอนิเตอร์แล้วยิ้มหวาน “ฉันมาแล้วค่า”
เขาก้มหน้าหลุดยิ้ม ให้เธอเข้ามา
อพาร์ทเมนต์ที่เฉิงโม่อาศัยอยู่เป็นอพาร์ทเมนต์หรูหราที่เป็นของเขาทั้งชั้น ลิฟต์มาถึงประตูห้อง
เฉิงซินเดินออกจากลิฟต์มา พบว่าประตูเปิดอยู่ เธอก้าวเท้าเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาบ้านของเฉิงโม่ ในใจตื่นเต้นและคาดหวัง มือวางอยู่ที่ประตูค่อยๆผลักออก เดินเข้าประตูไปอย่างช้าๆ สมองก็คิดต่างๆนานา เห็นแมวชินชิล่าสีขาวตัวหนึ่งกำลังปีนอยู่บนโต๊ะชา......
แมวดูสะอาดและสวยมาก ไม่เหมือนเก็บมาได้เลยอ่ะ......
“ประ......ประธานเฉิง”
“เข้ามาสิ”
เฉิงโม่เดินออกมาจากห้องครัว เสื้อผ้าบนกายยังไม่ได้เปลี่ยน ยังเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสูท เนกไทเอาออกแล้ว ปลดกระดุมสองเม็ดที่ปกคอเสื้อ ดูผ่อนคลายกว่าตอนเช้ามาก
เฉิงซินเปลี่ยนรองเท้าเดินเข้ามา เธอเดินตรงไปที่หน้าเฉิงโม่ทันที “ขอฉันดูมือคุณหน่อย”
เฉิงโม่มองเธอหนึ่งที ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย หลังมือของเขามีรอยข่วนหลายจุด มีสองจุดที่ชัดเจนว่าเลือดออก
เฉิงซินดูแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ สองมือประคองมอเขาไว้
เฉิงโม่นิ่งไปสักพักโดยไม่ขยับ
มือของเขาเพิ่งล้างน้ำมา ค่อนข้างเย็น ปลายนิ้วเธอสั่นเล็กน้อย มองดูบริเวณที่ถูกข่วนจนแดงหลายจุด ใบหน้าเล็กก็ขมวดจนเป็นปม เธอเม้มริมฝีปาก แล้วใช้ปลายนิ้วมือสัมผัสอย่างแผ่วเบา
เฉิงโม่กึ่งหรี่ตามองเธอ ดึงมือออกมาอย่างกระสับกระส่าย “เข้ามาใกล้ทำไม?”
เฉิงซินเงยหน้ายิ้มกว้าง “เมื่อกี้ฉันคิดว่าจะเลียแผลให้คุณดีไหม น้ำลายฆ่าเชื้อ”
เฉิงโม่ “……”