ตอนที่ 13 ความหึงหวงที่ซ่อนเร้น   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 13 ความหึงหวงที่ซ่อนเร้น
ต๭นที่ 13 ความหึงหวงที่ซ่อนเร้น สิ้นประโยค ไม่เพียงแต่แขไขที่รู้สึกไม่สบายใจ แม้แต่สายตาของเทวิณก็เย็นลงหลายส่วน “แม่ครับ ผมแต่งงานกับเธอแล้ว เธอเป็นสะใภ้ของแม่ ไม่ใช่คนนอก” “ทำไมแม่ไม่ยักจำไม่ได้ว่าตัวเองมีสะใภ้?” เทวิณเดินผ่านโซฟาไปหา มองดูเด็กผู้หญิงที่นิ่งเฉยไม่เอ่ยอะไรสักคำคนนั้นแล้วจูงมือเธอ “คราวหน้าก็จำได้ก็พอแล้ว” “แก!” นมิดาเบิ่งตาโต อะไรที่อยากพูดสุดท้ายก็พูดไม่ออก จะอย่างไรก็ไม่สามารถเสียกิริยาต่อหน้าคนนอกได้ “แม่จะไปหาปู่แกก่อน ตอนเย็นค่อยคุยกับแก” แขไขมองนมิดาที่เดินผ่านตัวเธอไปโดยที่ไม่ชายตาแลเธอสักนิด พฤติกรรมที่ไม่เอาเธอเข้าไปในลูกตาให้รู้สึกระคายทำได้ชนิดแบบสิบเต็มสิบไปเลย เธอช้อนสายตามองผู้ชายคนนั้นที่กุมมือของตัวเองไว้ ค่อยๆปลดออกเบาๆ รู้สึกถึงแรงแผ่วเบานี้ เทวิณก็เงยหน้ามอง เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่เพียงไม่ยอมคลายมือกลับจุบแน่นขึ้นไปอีก สบตากับเด็กสาวที่เงยหน้ามอง จากนั้นก็เลื่อนหนีอย่างรวดเร็ว จูงมือเธอเข้าไปในห้องอาหาร “กินข้าวเถอะ” อาหารมื้อนี้ผู้เฒ่าไม่ได้มาร่วมด้วย นมิดาก็ไม่ได้ลงมาเหมือนกัน ในนั้นมีเพียงพวกเขาสองคนกับแม่บ้านที่อยู่ด้านข้างเท่านั้น ในห้องอาหารแสนเงียบมีเพียงเสียงช้อนกระทบกับถ้วยเท่านั้น มีอาหารหลายชนิดที่แขไขไม่รู้จัก คำว่า ‘อึดอัด’ สองคำนี้ติดแน่นอยู่บนตัวเธอ เธอไม่มีความอยากอาหารจนเกือบที่ว่าแทบจะฟุบหน้ากับโต๊ะอยู่แล้ว แขไขมองข้าวสวยในถ้วยตรงหน้าตัวเอง ตอนที่กำลังกลัดกลุ้มกับอนาคตข้างหน้าอยู่นั่น อยู่ ๆบนข้าวสวยก็มีกุ้งตัวหนึ่งวางอยู่บนนั้น เธอที่มองตามตะเกียบก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นใบหน้าที่เย็นเฉียบเกินจะเปรียบนั่น “ฉันคีบเองก็ได้ค่ะ....” เทวิณมองถ้วยข้าวตรงหน้าเธอ “คุณนี่เลี้ยงง่ายดี” แขไขเดิมเพียงแค่รู้สึกขัดเขินที่เขาช่วยคีบอาหารให้เธอ แต่พอได้ฟังประโยคหลังที่ว่าเธอเลี้ยงง่าย หัวใจก็กระหน่ำเต้นผิดจังหวะ ก้มหน้าก้มตากินอาหารแต่โดยดี เห็นสาวน้อยคนนั้นหูแดงขึ้นมาอีกแล้ว หัวใจของเทวิณก็รู้สึกยุบยิบแปลกๆอยู่หลายส่วน ช่างเถอะ ก็แค่เด็กน้อยวัยยี่สิบปีจะมาเข้าใจอะไร อาหารมื้อนั้นทั้งสองคนกินไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากจบมื้ออาหารอย่างรีบร้อน ตัว เทวิณก็ไม่ได้รีรออะไรอีก เห็นว่าผู้เฒ่าไม่ยอมลงมาก็พาแขไขกลับบ้าน ก่อนขึ้นรถนมิดาก็เรียกทั้งสองไว้ ผู้ชายคนนั้นเปิดประตูรถหันมากำชับเธอ “รอผมอยู่ในรถนี่แหล่ะ” แขไขพยักหน้ารับ ภาวนาให้ตัวเองไม่ต้องลงไป ประตูรถปิดลง ปิดกั้นทุกเสียงจากด้านนอก มองดูเงาสูงด้านหลังของผู้ชายคนนั้นกับเงาเยือกเย็นของนมิดา แล้ว เธอก็แอบรู้สึกใจไม่สงบ แต่ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกหดหู่ การไม่ได้รับการยอมรับ ไม่เป็นที่ต้องการนั้น ก็เหมือนกับสภาวะที่หลายปีมานี้เธอได้เผชิญสมัยอยู่ในตระกูลดาวริศกุล นั่นแหล่ะ แขไขสะบัดหัวใส่ความคิดฟุ้งซ่านนั่นออกไป ไม่อยากรู้สึกโทษตัวเองจนมากเกินไป การแต่งงานครั้งนี้ของเธอกับเทวิณ เดิมต่างก็เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างคว้าในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทำงานเข้าขากันพอแล้ว พอลงจากรถ สายตาของนมิดาก็เพ่งไปที่ฝั่งข้างคนขับ ขยับไปด้านข้างขวางเธอไว้ น้ำเสียงแฝงกลิ่นคำเตือน “แม่ครับ” “ภูมิหลังของเด็กคนนั้นฉันได้ดูแล้ว เห็นว่าเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูล ที่จริงเป็นก็เป็นลูกคนเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายน่ะนะ ได้ยินว่าแม้แท้ๆยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนี่?” เอ่ยถึงครอบครัวของแขไขหัวคิ้วของนมิดาก็ย่นเขาหากันจนแทบจะบี้แมลงตายได้ “แม่ครับที่ผมแต่งงานกับเธอเพราะมีเหตุผล” ได้ยินดังนั้นนมิดายิ่งเหยียดหยาม “เหตุผลอะไร ช่วยให้แกเป็นคนใหญ่คนโตได้ หรือว่าช่วยสนับสนุนธุรกิจได้กันล่ะฮึ?” “ผมไม่จำเป็นต้องอาศัยการแต่งงานมาช่วยพยุงเรื่องงาน” สำหรับเทวิณการแต่งงานเพื่อแลกผลประโยชน์กับผู้ชายหน้าขาวเกาะผู้หญิงนั้นไม่มีความแตกต่างกันสักนิด “ต่อให้ไม่จำเป็นแต่แกก็ไม่ควรคนหาแบบนี้!” หลายปีนี้ตัวนมิดาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยแนะนำผู้หญิงให้เขา แต่เขากลับไม่เอาทั้งหมด เดิมนึกว่ามาตรฐานของเขาสูงเกินไป ทว่าพอหันกลับมาอีกทีกลับไปคว้าคนแบบนี้มาเสียได้ อย่างไรเธอก็รับไม่ได้ “ถ้าแม่ไม่พอใจก็ไม่ต้องไปเจอเธอ ครั้งนี้ที่พาเธอมาด้วยเพราะคุณปู่ต้องการ ผมจะไม่ให้เธอมาบ้านหลังนี้อีก” กล่าวจบ ไม่รอดูปฏิกิริยาของนมิดาก็หมุนตัวขึ้นรถไป นมิดามองตามทิศทางที่ เดินจากไป โมโหจนกระทืบเท้า ตั้งแต่เล็กจนโตนอกจากคำพูดของดำรงชัยแล้วเทวิณล้วนไม่เอาใครมาไว้ในสายตาด้วยซ้ำ มาตอนนี้ต่อให้อยากยุ่งก็ยุ่งด้วยไม่ได้แล้ว .... ระหว่างทางกลับ อารมณ์ของแขไขราบเรียบ หันหน้ามองนอกหน้าต่าง ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ความเงียบที่แผ่ซ่านในห้องโดยสารเป็นความกดดันที่อธิบายไม่ถูก พอไฟแดงสว่างขึ้นมา เทวิณก็หันหน้าไปคล้ายต้องการเอ่ยอะไรสักอย่าง อยู่ ๆมือถือของเธอก็ส่งเสียงขึ้นมา ตอนที่ผู้ชายคนนั้นกลืนคำพูดลงคอ ก็เห็นเธอยกมือถือขึ้นมาดู เพียงแวบเดียวเท่านั้นใบหน้าเล็กๆเฉยชาก็เปลี่ยนจากมืดครึ่มเป็นสว่างสดใส จากนั้นก็กดรับสายอย่างไม่ลังเล “พี่ชาย?” ความแต่งต่างที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดของเด็กสาวส่งให้ริมฝีปากบางของผู้ชายคนนั้นเม้มปากแน่น ก่อนที่จะเก็บกลับสายตาเย็นเฉียบของตัวเอง ทางด้านอีกฝั่ง ปิติกรเพิ่งลงจากเครื่องบิน รอบตัวยังปรากฏเสียงเซ็งแซ่ของผู้โดยสาร เวลาเกือบครึ่งเดือนที่ไปทำงานที่แคนนาดา ทำให้ทั้งตัวรู้สึกเหนื่อยจนแทบระเบิดอยู่แล้ว ทว่าพอได้ยินเสียงอ่อนโยนที่คุ้นหู วินาทีนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย “พี่กลับมาแล้ว เธออยู่ไหน?” “ฉันกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน” “อีกครู่นึงพี่จะไปที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปที่บริษัท กลับมาครั้งนี้พี่เอาช็อกโกแลตที่เธอชอบมาด้วย แล้วก็ยังมี...” “พี่” นิ้วมือแขไขที่กุมโทรศัพท์ทั้งห้าค่อยๆรวบเข้าหากัน หลังจากสูดลมหายใจลึก เธอถึงได้บอกออกไป “ฉันไม่ได้อยู่ที่ตระกูลดาวริศกุลแล้ว” ปลายเท้าของปิติกรที่เลื่อนไปด้านหน้าหยุดนิ่ง เขาจำไม่ได้ว่านอกจากตระกูลดาวริศกุล แล้วเธอยังมีที่ไปที่ไหนได้อีก ตอนนี้กุลยานอนอยู่ที่โรงพยาบาล คงไม่ใช่บ้านของเพื่อนกระมัง? ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆมองมาอย่างไม่เข้าใจ “ประธานปิติ....” ปิติกรยกมือให้คนคนนั้นเงียบเสียงลง แล้วค่อยหันกลับไปสนทนาต่อ “อยู่ที่ธิภางั้นเหรอ?” “เปล่าค่ะ...” ฝ่ามือถูกโทรศัพท์กดทับจนรู้สึกเจ็บ แขไขแทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจออยู่แล้ว “ฉัน...” ตอนที่เธอกำลังจะเปิดปาก ด้านข้างก็มีเงาดำสายหนึ่งเบียดเข้ามา เห็นเพียงผู้ชายคนนั้นที่เดิมกำลังขับรถอยู่เบี่ยงตัวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากบางไกลจากข้างหูเธอไปไม่เกินสามเซนติเมตร “เมียจ๋า จะคุยอีกนานมั้ย?” “.....” แขไขย่นไหล่ เทียบกับน้ำเสียงออดอ้อนนั่นแล้ว สายตาแช่แข็งนั่นยิ่งชวนผวา นัยน์ตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นแสดงออกว่าไม่พอใจและกำลังตักเตือนเธออยู่ เขาตั้งใจ เขาตั้งใจให้ปิติกรได้ยิน แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฝั่งปิติกรที่อยู่อีกด้านของสายกำลังใกล้จะเป็นบ้าเพราะประโยคนี้ เขารีบยกมือลูบศีรษะ พยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้ตัวเองเขวี้ยงโทรศัพท์ออกไป “แขไข ส่งที่อยู่เธอให้พี่” ตอนนี้แขไขไม่กล้าพูดอะไรให้มากอีก ทำเพียงเอ่ยเสียงเบาหนึ่งประโยค “พี่ชาย...” “เร็วเข้า อย่าให้ต้องพูดเป็นครั้งที่สาม!” หลังจากตัดสาย ผู้ชายคนนั้นที่ฟุบอยู่ข้างๆก็ยังไม่ไป รถจอดอยู่ที่พักรถชั่วคราว เธอกำลังลังเลว่าจะส่งที่อยู่ให้ ปิติกรดีมั้ยอยู่นั่นเอง “เทวิณ คุณช่วยถอยไปหน่อยได้มั้ย?” ผู้ชายคนนั้นหรี่ตาลง แม้จะไม่พอใจแต่ก็ให้หลบไปด้านข้าง ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ถ้าเธอกล้าส่งข้อความหาคนที่เรียกว่า ‘พี่ชาย’ จริงๆล่ะก็... เทวิณกำลังคิด แขไขก็คล้ายกับตั้งใจทดสอบอย่างไรอย่างนั้น กดเปิดกล่องข้อความของปิติกรแล้วพิมพ์ตำแหน่งของคฤหาสน์ลงไป ‘เปรี้ยง’ คล้ายกับเส้นสมองที่อยู่ด้านหลังสุดของสมองได้ขาดสะบั้นลงแล้ว ยังไม่พิมพ์ไม่ทันเสร็จ มือใหญ่ของผู้ชายคนนั้นก็ยื่นออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลงคว้ามือถือในมือเธอไป ออกแรงข้อมือเล็กน้อยก็โยนมือถือเครื่องบางนั่นออกนอกหน้าต่างรถ แขไขมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “คุณทำอะไร!” “แขไข คุณลืมที่เคยพูดกับผมแล้วงั้นหรือไง?”
已经是最新一章了
加载中