ตอนที่ 121 โลกที่ไม่สามารถเดินเข้าได้   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 121 โลกที่ไม่สามารถเดินเข้าได้
ตอนที่ 121 โลกที่ไม่สามารถเดินเข้าได้ นั่นเป็นโลกที่เพ็ญนีติ์ไม่สามารถเดินเข้า ตอนนั้นเธอไม่รู้จักปุริม เธอวางนิ้วลงที่ริมฝีปากบนรูปชายหนุ่ม ราวว่าสามารถรับรู้ถึงความอุ่นตอนเช้าที่เขาจูบเธอได้ แต่ชายหนุ่มในรูปที่อยู่บนหนังสือนั้น คนที่เขาจะจูบและรักกลับเป็นหญิงที่ชื่อเพ็ญภัทร์ อยากดูหนังสือเล่มนี้จัง ไม่ว่าในเรื่องราวนั้นจะเกี่ยวกับปุริมและเพ็ญภัทร์ก็ตาม แต่เธอช่างอยากดูเหลือเกิน เดินไปตรงหน้าต่าง ผ้าม่านที่บังแสนนั้นปิดกั้นแสงขั้นนอกไว้ และทำให้ดวงตาเธอสบายมากขึ้นในการอ่าน เปิดไปหนึ่งหน้า แล้วเริ่มอ่านขึ้นมาทีละตัว ณ ตอนนั้นเธอสามารถสัมผัสถึงความรักอ่อนโยนของตัวอักษรได้ ตัวอักษรนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าของความเจ็บปวดที่แฝงไว้ลึกๆแทบทุกตัว จริงๆแล้ว เพียงแค่หน้าแรกเธอก็สามารถเดาตอนจบได้เลย เพราะนี่เป็นความรักที่ถูกกำหนดว่าไร้ผลรู้แล้ว ฉะนั้น เขาเพียงทำได้แค่หันหลังให้กับความรักลึกในใจซึ่งที่ไร้ความหวังต่อเพ็ญภัทร์นั้น เพียงแค่อยากรักเธอ ราวว่าเป็นเขา แต่ก็ราวว่าเป็นทุกคนในชีวิต ท้องฟ้าเริ่มค่ำลงเรื่อยๆ แต่เธอยังเคลิ้มอยู่กับเรื่องราวของเรื่องนี้อย่างห้ามตัวไม่อยู่ อีกทั้งลืมไปเลยด้วยว่าห้องนั่งเล่นข้างๆยังมีส้มและอ้อยอยู่ ห้องอ่านหนังสือที่เริ่มมืดมน แต่เธอกลับไร้ความรู้สึก เพียงยังคงจ้องหนังสือนั้นไว้ เจ็บปวดร้าวจนลึกกับความรักของนางเอกและพระเอกที่ร้าวรัก ด้านหลังมีเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา แต่ไม่ใช่ส้มและอ่อย ชายหนุ่มค่อยๆเดินเข้ามาหลังเธอ จากนั้นยื่นมือเปิดสวิ๊ตไฟ แสงไฟที่สว่างขึ้นกะทันหันทำให้เพ็ญนีติ์ต้องกระพริบตา จากนั้นพลางหันกลับมา แต่กลับสบตากับปุริม “ดูไปแบบนี้สายตาคุณเสีย...”เขาพูดไป สายตาพลางกวาดไปที่หนังสือเล่มนั้น เพียงแค่อยากรักคุณ นักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียง แต่กลับเขียนเรื่องราวที่แสนจะให้เธอสัมผัสถึงความร้าวรักนั้น ไม่ได้พูดต่อไปอีก เขาเพียงพูดไปครึ่งหนึ่ง แล้วเอามือวางลงที่หนังสือ “ให้ผมเถอะ เด็กๆหิวแล้ว รอคุณไปกินข้าวด้วยกัน”พูดไป เขาพลางเอาหนังสือจากมือเธอไปอย่างเฉย หนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า “เพียงแค่อยากรักคุณ” “ฉัน...”เธออยากบอกว่าตัวเองยังอ่านไม่จบ และยังอยากอ่านต่อ แต่เขาพลางเอาหนังสือแล้วเดินไปที่โต๊ะแล้ว จากนั้นเอากุญแจออกเปิดลิ้นชัก พลางโยนหนังสือเข้าไป “อย่าอ่านหนังสือที่ไม่มีสาระแบบนี้ บนนั้นมีหนังสือมากมาย คุณสามารถดูได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มเสร็จ น้ำเสียงที่นิ่งไร้ความสงสัยอะไร ราวว่าไม่มีอะไร แค่เธอกลับรู้สึกกว่าเขากำลังบังเธอออกจากโลกของเขากับเพ็ญภัทร์ให้อยู่ด้านนอก ราวว่าเขาไม่อยากให้เธอรู้เรื่องของเขากับเพ็ญภัทร์มากไป เรื่องราวที่ไม่ได้เห็นตอนจบ ก็เหมือนไม่สามารถคาดเดาปุริมกับเพ็ญภัทร์ หรือว่าตอนจบของเขาเหมือนกับตัวเอง เดินออกมาด้วยความคิดนั้นจากห้อง แม้แต่ฝีเท้ายังรู้สึกหนักมากขึ้น “คุณเลิกงานเช้าจัง” “อืม เป็นห่วงคุณและลูกเลยกลับมาเช้าหน่อย”หนังสือเล่มนั้นถูกเขาซ้อนไปที่ลิ้นชักหนึ่งล๊อคไว้ระหว่างที่เธอเดินออกมากับเขา บางทีอาจจะไม่สามารถเปิดให้เธออ่านได้อีกครั้งเลย หัวเราะเบาๆ “ขอบคุณนะ”แต่ในใจนั้นกลับเป็นความรู้สึกที่เศร้า เวลาที่เขาให้เธอนั้นไม่รู้นานแค่ไหน? จะเป็นเวลามาทั้งชีวิตหรือเปล่า? ถ้านานแบบนั้น เขาก็คงจะเอาตอนจบของหนังสือเล่มนั้นให้เธออ่าน แต่เสียดาย ถึงแม้เขาอยากให้เธออ่านให้จบเลยตอนนี้เธอเองก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านแล้ว สิ่งที่มีคือความตึงเครียดลังเลใจ เด็กๆได้ออกมาจากห้องนั่งเล่นมาห้องอาหารแล้ว ไปห้องอาหารต้องผ่านห้องโถง ตอนที่เหยียบพรมไปนั้น เธอกลับเห็นดอกเยอบีร่า สองช่อที่เสียบอยู่บนโต๊ะอาหาร นั่นเป็นดอกไม้ที่เพ็ญนีติ์ชอบ นั่งลงอย่างเงียบๆ เธอเพียงเห็นเด็กๆที่แสนจะมีความสุขได้ง่ายมาก เพราะพวกเขาไม่ต้องไม่คิดเกี่ยวกับสิ่งโลกภายนอก “หม่ามี๊ แด๊ดดี๊ซื้อเป็ดย่างปักกิ่งกลับมานะ หอมมากเลย” “เชฟที่มาจากปักกิ่งเป็นคนลงย่างเองเลย ยังร้อนอยู่เลยนะ ก็เพราะนี่แหล่ะผมเลยไปเรียกคุณที่ห้อง รอให้เย็นแล้วจะไม่อร่อย”ปุริมชี้ไปเป็ดปักกิ่งบนโต๊ะราวว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ขอบคุณ”คีบมาเข้าปากชิ้นหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ รสชาติไม่แย่ เนื้อที่เข้าปากแล้วก็เหมือนสลายไปเลยไม่มีความเนี่ยน “อร่อย ส้ม อ้อย กินเถอะ” เด็กๆกินตามเธอขึ้นมา หลายวันแล้วที่ไม่ได้กินข้างโต๊ะเดียวกันกับปุริม ราวว่าเด็กๆจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเหมือนก่อนหน้านี้ ปุริมดูออก เลยคีบสองชิ้นที่ดีสุดวางไปที่จานเด็กทั้งสอง“จิ้มน้ำจิ้มยิ่งอร่อยนะ” “ขอบคุณค่ะแด๊ดดี๊” เมื่อกินข้างเสร็จเด็กน้อยสองคนเอาแต่อ้อนวอนให้เขาเล่านิทาน เพ็ญนีติ์พิงดูทีวีที่โซฟา ในห้องโถงเต็มไปด้วยความสุข ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นบางทีทั้งชีวิตนี้คงจะเป็นแบบนี้ตลอดไปแล้ว แต่ทุกอย่างจะเป็นแบบนี้จริงเหรอ? เพ็ญภัทร์ยังคงเป็นจุดหนึ่งในใจปุริม แต่เขากลับบอกเธออย่างไม่หนีให้เธอเดินผ่านช่วงเวลาที่มีเพ็ญภัทร์นี้ไปด้วยกัน บางทีที่เอียงหัวไปเห็นเขาดูร่าเริงขยับได้สบายแผลเขาคงใกล้หายดีแล้ว เมื่อวานที่ทายาก็เห็นแผลยุบแล้ว นั่นเป็นรอยของเนื้อที่สร้างขึ้นมาใหม่ และจะหายดีเร็วๆนี้ “แด๊ดดี๊ เล่าอีกเรื่องเถอะ หนูอยากฟังเรื่องเจ้าหญิงหิมะ” “เคยเล่าแล้วไม่ใช่เหรอ?” “เล่าอีกรีบเถอะนะ น่าฟังมาก แด๊ดดี๊ สามารถให้แม่มดที่เอามีดฟันลงมาแล้วไม่โดนเจ้าหญิงได้ไหมค้า?หนูไม่อยากให้เจ้าหญิงต้องกินแอ้บเปิ้ลที่มีพิษ”ส้มสะบัดแขนปุริมไปมาร้องขอไว้ เพ็ญนีติ์ยิ้งเบาๆ แล้วยื่นรีโมทร์ในมือปิดทีงีไป จากนั้นเดินไปนั่งตรงข้ามลูก“ส้ม หนูคิดนะ ถ้าเจ้าหญิงไม่กินแอบเปิ้ลมีพิษลูกนั้นแล้วเขายังต้องการให้เจ้าชายมาช่วยไหมคะ?” “ใช่สิ ถ้าเขาไม่กินแอบเปิ้ลมีพิษก็จะไม่นอนบนThe glass coffin แล้วไม่เจอเจ้าชายแน่นอน” “ฉะนั้นแล้ว จริงๆแม่มดก็ถือว่าได้เป็นแม่สื่อให้เจ้าหญิงกับเจ้าชาย เข้าใจไหมค้า?บางทีคนเราอาจจะพลิกร้ายเป็นดีแล้วมีความสุขทั้งชีวิตได้” อ้อยและส้มเริ่มคิดคำพูดเธอไว้ จากนั้นค่อยๆเข้าใจขึ้นมา “อืม แด๊ดดี๊ งั้นก็เล่าตามก่อนหน้านั้นเลย เราอยากฟังอีกรอบ คำพูดหม่ามี๊มีเหตุผลมาก” ฟังนิยายก็เหมือนการเป็นมนุษย์ จริงๆทั้งชีวิตของคนเราไม่สามารถแน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายก็มีผลกรรมของมันอยู่แล้ว ก็ราวกับเธอและปุริม จริงๆแล้วการพบเจอเขาเป็นความโชคดีของเธอ แต่การพบเจอเขาก็เป็นความโชคร้ายของเธอเช่นกัน ปุริมมีความอดทนใจเริ่มเล่านิทานเจ้าหญิงหิมะให้เด็กๆอีกครั้ง ทุกครั้งที่เห็นเขาเล่านิทานให้ลูก อารมณ์แววตานั้นช่างไม่เหมือนเขาเลย ช่างมีความตั้งใจต่อลูกๆเหลือเกิน ทั้งห้องโถงสงบลง เหลือแต่เสียงปุริม แม้แต่เธอก็เริ่มฟังนิทานขึ้นมา นิทานที่ได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ก็ไม่รู้ส้มและอ้อยฟังแล้วกี่รอบ แต่เธอผู้เป็นแม่นั้นยังคงชอบนิทานเรื่องนี้ ชอบคิดซ้ำเรื่องตอนต่างของความเศร้าเจ้าหญิงที่ค่อยๆมีความสุขขึ้นมา “โอ้ยหม่ามี๊ จมูกหม่ามี๊มีเลือดไหลออกมา”ระหว่างที่พิงโซฟาฟังเสียงเข้มคมของปุริมไป จู่ๆก็ได้ยินอ้อยตะโกนขึ้นมา “น้าน้ำเอาน้ำเย็นมาเร็ว”ปุริมหันไปมองเพ็ยนีติ์ พลางเรียกน้าน้ำขึ้นมา “ค่ะคุณผู้ชาย”น้าน้ำรีบไปเอาน้ำเย็น แล้วให้เพ็ญนีติ์นอนหงายโวฟา พลางเอาทิชชูที่โต๊ะพลางมาเช็คให้ ปุริมลุกขึ้นมาแล้ว ยื่นมือไปแย่งทิชชู่มา “ให้ฉันมาเอง” หลังตาลงแล้วหัวเริ่มเวียน อาจเป็นเพราะเสียเลือดไปเยอะ เพ็ญนีติ์ไม่ได้คิดมาก และไม่ช้าน้าน้ำก็ตวงน้ำเย็นแล้วเอาทิชชู่อ่อนๆยัดเข้ารูจมูก “ห้ามขยับ เดี๋ยวรอไม่หยุดแล้วจริงๆค่อยลุกขึ้น” “ก็ได้”เธอมีความไม่จงใจ เริ่มเวียนหัวขึ้นเรื่อยๆ“แต่ฉันอยากนอนนะปุริม” “ผมนอนที่นี่ก่อน ผมพาส้มกับอ้อยขึ้นไป เดี๋ยวปลอบพวกเข้าเข้านอนแล้วค่อยพาคุณขึ้นไปนะ ”เขาดูแลเธอเหมือนเด็ก เสียงปลิวลอยอยู่ข้างหูเธอ บางทีเธออาจจะไม่จำเป็นต้องคิดมากอะไรแล้ว เขาเคยบอกให้เวลาเขาหน่อยงั้นก็ให้เถอะ เพียงแค่อยากรักคุณ แต่เมื่อคิดแบบนี้แล้ว เธอกลับอยากรู้ตอนจบของเรื่องนั้นมากขึ้น เห็นเธอไม่พูดและหลับตาลง เขาพลางเอารีโทมร์ข้างเธอแล้วเปิดรายการทีวีขึ้นมา เป็นรายการช่องคอนเสริต์ “เพ็ญนีติ์ คุณฟังเพลงนะ เดะผมจะรีบลงมา” “แด๊ดดี๊ เราไม่ต้องแด๊ดดี๊ส่งขึ้นไป และไม่ต้องแด๊ดดี๊ปลอบนอนด้วย หนูและอ้อนดูแลตัวเองได้ เมื่อก่อนตอนหม่ามี๊ไม่สบายเราก็ไม่ดื้อไม่ต้องให้หม่ามี๊ปลอบนอนเลย เรายังสักผ้าเองด้วย” “พู๊ก”เพ็ญนีติ์ขำออกมา แต่ว่ายังดีที่เธอเอามือขึ้นมาปิดปากทัน ถึงได้มีเสียงออกมาเบาๆ เพราะปุริมเป็นตัวกลางที่บังเธอกับส้มและอ้อยไว้ เด็กน้อยสองคนเลยไม่เห็นว่าเธอขำออกมาแล้ว ครั้งนั้นส้มที่สักผ้าใช้น้ำไปสามกะละมัง เอาทั้งห้องน้ำท่วมไปเลย ถ้าไม่ใช่น้าน้ำมาเห็นก่อนก็คงท่วมไปทั้งตึกแล้ว แต่เรื่องนี้ห้ามพูดขึ้นมาอีก เพราะเธอไม่อยากให้เด็กขาดความกระตือรือร้น เด็กๆที่ชอบออกแรงเป็นเรื่องดี ควรจะให้กำลังใจ ปุริมราวว่าได้ยินเสียงหัวเราะเธอแล้ว แต่ก็ไม่ได้ชัดเท่าไหร่ แต่ก็มองไปทางส้มและอ่อย “งั้นแด๊ดดี๊ส่งเราขึ้นไปแล้วห่มผ้าให้ก็ลงมาได้ไหม?” “ก็ได้ค่ะ”เด็กน้อยสองคนตกลงแล้ว แต่ในใจยังคงเป็นห่วงเธอ เพียงแค่เลือดกำเดาไหลเอง เธอเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะเธอเป็นแบบนี้มานานหลายปีแล้ว เพียงแต่ไม่ให้เด็กๆรู้แค่นั้น นึกถึงครั้งนั้นที่เธอตามปุริมไปที่บริษัท ก็เพราะเลือดกำเดาไหลติดที่ผ้าปู เธออีกทั้งบอกกับจำรูญว่าตัวเองเสียตัวไปแล้ว ตอนนี้คิดๆแล้วช่างขายหน้าที่สุด
已经是最新一章了
加载中