บทที่ 131 คุณหนีไม่พ้นหรอก
1/
บทที่ 131 คุณหนีไม่พ้นหรอก
หลงรักสามีจอมปลอม
(
)
已经是第一章了
บทที่ 131 คุณหนีไม่พ้นหรอก
บทที่ 131 คุณหนีไม่พ้นหรอก เพ็ญนีติ์นอนขดตัวอยู่ที่โซฟา ฟังเสียงนาฬิกาเดินที่อยู่บนกำแพง กลางคืนนั้นช่างเงียบสงบ เงียบสงบจนทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออกหลับตาลง เพื่อให้สัมผัสถึงความเงียบรอบตัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้สึกได้แค่ว่าขาเธอเริ่มเหน็บชาคืนนั้น เพ็ญนีติ์นอนขดตัวอยู่ที่โซฟาทั้งคืน และรอเขาอยู่ทั้งคืน แต่เขาก็ยังไม่กลับมา โทรมาสักสาย ก็ไม่มี วันเกิดของเธอในคืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบๆ ไม่มีแม้แต่รสชาติของวันเกิดเลยสักนิดฟ้าสว่าง แสงแดดสาดส่องมา เธอจึงตื่นขึ้น นอนมาหนึ่งคืน แต่ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงอยู่ดี เพราะไม่เคยนอนเช่นนี้มาก่อน ได้ยินเสียงเด็กๆเดินออกมาจากห้อง เธอเองก็เดินไปยังห้องครัว เมื่อก่อนก็คุ้นชินกับการไปส่งเด็กๆที่โรงเรียนอนุบาลอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เธอกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเด็กๆขึ้นมามากจริงๆ เป็นเช่นนั้นแล้วเธอมานั่งเสียใจทีหลังก็ไม่ทัน เมื่อเด็กๆทานข้าวเสร็จแล้ว แต่ละคนสะพายกระเป๋าหนังสือของตัวเองเพื่อเตรียมไปโรงเรียนอนุบาล เพ็ญนีติ์เองก็เปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทแล้วเช่นกัน พอจะไปส่งอ้อยและส้มไปโรงเรียนอนุบาล ป้าเหมียวที่อยู่ด้านหลังถึงได้กล่าวขึ้น: “คุณหญิงค่ะ คุณชายได้ให้บอดี้การ์ดมาพาคุณหนูทั้งสองไปโรงเรียนอนุบาลแล้วค่ะ ดังนั้นคุณไม่ต้องไปแล้วค่ะ” บอดี้การ์ดหรือ เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงมาก่อน “ป้าเหมียว ฉันเองก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรนะคะ ให้ฉันไปกับพวกเขาเถอะค่ะ” “นั่น ไม่ต้องหรอกค่ะ” ป้าเหมียวส่ายหน้าเอ่ยแย้งขึ้นมา การกระทำนั้นทำให้เพ็ญนีติ์เข้าใจขึ้นมานิดหน่อย ครั้งนี้คงเป็นเรื่องที่ปุริมวางแผนไว้แล้ว เขาไม่ต้องการให้เธอไปส่งเด็กๆที่โรงเรียนอนุบาล ก็ได้ มีคนขับรถและบอดี้การ์ดมืออาชีพแล้ว เธอเองก็รู้สึกสบายใจขึ้น กล่าวลากับเด็กๆแล้วก็เดินหันหลังกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง เงียบมากจริงๆ ไม่ว่าจะฟ้ามืดหรือฟ้าสว่าง วิลล่าในเขตเมืองดรัลนี้ก็เงียบเป็นพิเศษอยู่แล้ว เมื่อมาถึงห้องหนังสือ ในตอนที่เธอจะผลักประตู ถึงได้รู้ว่าประตูของห้องหนังสือได้ถูกล็อกไว้ เธอสามารถไปหาป้าเหมียวเพื่อเอากุญแจได้ แต่ว่าห้องหนังสือนั้นไม่เคยล็อกมาก่อน เธอเองก็รู้ หันตัวกลับไปยังห้องนอน ปุริม ครั้งนี้เขาต้องการจะทำอะไรกัน เรื่องของเด็กๆก็ไม่ให้เธอยื่นมือเข้าไปยุ่ง แล้วก็ไม่ให้เธอเข้าไปในห้องหนังสืออีก นอกจากอยู่ในห้องนอนของตัวเองเธอก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ดูโทรทัศน์ นอกจากดูโทรทัศน์ก็คือดูโทรทัศน์ทั้งหมดคือเปลี่ยนช่องไปมาไม่หยุด คิดว่าคงมีสักรายการที่จะให้ข่าวใหม่ๆเกี่ยวกับปุริมและเพ็ญภัทร์ แต่ก็ไม่มีอะไรเลยโทรศัพท์นั้นอยู่ที่ข้างตัวตลอดเวลา ขอแค่ดังขึ้น เธอก็จะรับมันได้ทันที แต่เช่นนั้น ทั้งนาราและปุริมต่างก็ไม่มีใครโทรมาหาเธอเลย ลูกของเพ็ญภัทร์ยังอยู่ดีหรือไม่นะยิ่งไม่รู้ เธอยิ่งอยากรู้หงุดหงิด กระสับกระส่าย เพ็ญนีติ์ไม่เคยรู้สึกหมดหนทางเช่นนี้มาก่อนตลอดสามวัน ทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิมวิลล่านี้เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้น ทุกเวลาเช้าและเย็นของทุกวันเท่านั้น ที่เด็กๆจะทำให้เธอมีอารมณ์ด้วยได้แต่เด็กๆเองก็ไม่รู้อะไรเช่นกัน เป็นอีกคืน ที่เพ็ญนีติ์เริ่มคุ้นชินกับความเงียบงันยังคงขดตัวที่โซฟา ใบหู ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นท่ามกลางความมืด เหมือนกับว่าเสียงฝีเท้าของคนที่กำลังตรงมายังห้องของเธอนั้นดูกำลังกดเสียงมันไว้ เพื่อไม่ให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมาแต่คงไม่ใช่กับเธอที่อยู่ในห้อง เพราะชายหนุ่มใช้แรงเปิดประตู และใช้แรงปิดมันเช่นกัน “ปึงปังปึงปัง” เสียงนั้นเหมือนต้องการให้เธอรู้สึกตัว ตอนที่ขยับร่างกาย อาการเหน็บชามันทำให้เธอเจ็บไปถึงขั้วกระดูก ไฟใหญ่ในห้องสว่างขึ้น ชายหนุ่มเหมือนจะเห็นเธอแล้ว เขาชะงักไปชั่วครู่ และยิ่งทำเหมือนกับเธอไม่มีตัวตนแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า ค่อยๆลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าคือแผ่นหลังของปุริมที่ชัดเจนในดวงตา เขาเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดมาส่งๆไม่กี่ตัว แล้วโยนมันลงไปในกระเป๋าที่ถือติดตัวมา เสื้อผ้าของเขานั้นไม่เคยมีรอยยับมาก่อน แต่ตอนที่โยนมันลงไปในกระเป๋าเช่นนั้นมันต้องมีรอยยับเป็นแน่ แต่ปุริมหาได้ใส่ใจไม่ เมื่อเลือกเสร็จแล้ว เขาก็หันหลังกลับไปยังประตูทางเข้า ทำเหมือนว่าเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้ นัยน์ตาสีนิลมองไปยังร่างกายของเขาที่เคลื่อนไหวอยู่ มองปุริมที่กำลังจะจากไป เพ็ญนีติ์กล่าวเสียงเบา: “ปุริม เพ็ญภัทร์เป็นอย่างไรบ้างคะ” ชายหนุ่มยืนนิ่งทันที แผ่นหลังที่สูงใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยบรรยากาศคุกรุ่น บรรยากาศนั้นส่งตรงมาที่เพ็ญนีติ์อย่างช้าๆ เหมือนกับต้องการแช่แข็งเธอก็ไม่ปานไม่มีการหันหลังกลับ เหมือนว่าไม่อยากจะชายตาแลเธอ “เพ็ญนีติ์ คุณจำเป็นที่จะต้องรู้หรือ” เพ็ญนีติ์โมโห เขาไม่กลับมาตั้งกี่วัน พอกลับมาก็มากล่าวใส่เธอเช่นนี้ “แล้วทำไมฉันจะรู้ไม่ได้คะ” “ฮะฮะ ถ้าหากไม่ใช่เพราะคำโกหกของคุณ เพ็ญภัทร์ก็คงไม่แท้ง” เขากล่าวเสียงเย็น น้ำเสียงนั้นทำให้ห้องทั้งห้องเหมือนอยู่ในป่าที่หนาวเหน็บ ทำให้คนแม้แต่จะหายใจยังอึดอัด “ปุริม นาราเอาจดหมายนั่นมาให้ฉันอ่านแล้ว นั่นไม่ใช่ฉันเขียนนะ ไม่ใช่จริงๆ ฉันไม่รู้จริงๆว่าใครปลอมลายมือฉันแล้วเขียนจดหมายให้นารากัน ฉันไม่เคยให้นาราไปรับพวกเด็กๆเลยนะคะ” วันนั้น เธอนำจดหมายกลับมาเพ่งดูอยู่นาน ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่ามันประหลาด แต่ไม่ออกจริงๆว่าใครกันที่เป็นคนลอกลายมือของเธอ นอกจากฟ้าลม เธอไม่เคยทำงานมาก่อน ดังนั้นคนที่จะเคยเห็นลายมือของเธอนั้นมีเพียงเพื่อนร่วมห้องตอนที่เรียนที่มหาวิทยาลัยดรัลเท่านั้น นอกนั้นคนอื่นย่อมไม่มีทางรู้แน่นอน เธอลองๆคิดดูว่าคนคนนั้นคือจำรูญหรือว่าญาณินท์ แต่ว่านั่นคือการเดาทั้งหมด เธอไม่มีหลักฐานอะไรเลย คิดเพียงรอให้ปุริมกลับมาแล้วจะให้เขาสืบหาให้ แต่ไม่คิดว่าเขาจะตัดสินว่านั้นเป็นเธอไปแล้ว “เพ็ญนีติ์ คุณอย่ามาทำใสซื่อ คุณทนไม่ได้ที่ผมดีต่อเพ็ญภัทร์ใช่หรือไม่ ฮะฮะ แต่เดิมผมเองก็ไม่เคยสองมาตรฐานกับผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้ว เพียงแค่คุณตีสองหน้าได้เก่ง และเจ้าเล่ห์จนคาดไม่ถึง หน้าอย่างหลังอย่าง” ที่เขากล่าวออกมานั้นทำให้เธอหมดคำจะพูด เป็นเพราะตอนนี้ไม่มีหลักฐานใดใดเอามาตอกหน้าเขา มองเขาอย่างเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน เธอไม่ได้กล่าวอะไรออกไปสักคำ หรือมีเพียงแค่หลักฐานเท่านั้น ที่จะทำให้เขาและเธอเดินไปในเส้นทางเดียวกันได้ ปากที่เผยอยังไม่ทันปิดสนิท ชายหนุ่มก็รีบไปยังหน้าประตูทันใด มีเพียงเธอที่ถูกแช่แข็งอยู่ข้างหลังเท่านั้น “เพ็ญนีติ์ คุณจำเป็นจะต้องรู้หรือ” น้ำเสียงของเขายังดังขึ้นที่ข้างหูของฉันไม่หยุด เธอรู้สึกปวดไปทั้งหัว แต่เดิม ก็คงจำต้องทน ต้องหาหลักฐานมายืนยันก่อนว่าไม่ใช่เธอ แต่ในขณะนี้ เธอรับมันไม่ไหวแล้ว สามวันที่ผ่านมาเธอทำอะไรไม่ได้และกังวลทุกข์จนเธอแทบบ้า บางที ก่อนหน้านี้สักวินาทีหนึ่งเธอยังคงใจเย็นและขอร้องให้เขาปล่อยเธอไปได้ แต่วินาทีนี้เธอกลับเสียใจ วิ่งไปที่ประตู เพื่อไล่ตามชายหนุ่ม “ปุริม ไม่ว่าจะเป็นฉันหรือไม่ คุณบอกฉันที ว่าเพ็ญภัทร์เป็นอย่างไรบ้าง” เธออยากรู้จริงๆ เธอหวังว่าเพ็ญภัทร์จะไม่เป็นอะไร ถึงกระนั้น เธอก็มีความรู้ของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ เธอหวังว่าท้ายที่สุดแล้วปุริมจะตัดความสัมพันธ์กับเพ็ญภัทร์ได้ แต่เธอไม่เคยอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับเพ็ญภัทร์ เลยกล่าวพร้อมกับวิ่งเข้าไป เธอหยุดยืนที่ข้างหน้าของปุริม เพื่อขวางทางไม่ให้เขาไปสายตาสอดประสาน กี่วันแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าเขากัน เขาแก่ลงไปมาก หนวดเคราเริ่มยาว จนปกคลุมไปทั้งคางของเขา นี่คือจุดที่ไม่เคยมีเลยในชีวิตของผู้ชายที่รักความสะอาดเช่นเขา เสื้อผ้ายับย่นไปหมด เหมือนกับว่าเขากลับมาเพื่อเอาเสื้อผ้าเท่านั้น เขาไม่ได้กลับมาเพื่อพบเธอ ดวงตาสีนิลคู่นั้นราวกับมีไฟที่พร้อมจะแผดเผาเธอ ครานั้นน้ำเสียงของเขาที่เต็มไปด้วยการเสียดสีพ่นออกมาทีละคำทีละคำใส่หูของเธอ “ลูกยังอยู่ นี่คงทำให้คุณผิดหวังสินะ แต่ลูกของเธอนั้นพร้อมจากไปตลอดเวลา เป็นเพราะพลาดการส่งตัวไปโรงพยาบาลในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ตอนนี้เธอต้องนอนอยู่บนเตียงเพื่อรักษาความปลอดภัยเท่านั้น เพ็ญนีติ์ ทั้งหมดนี่คือความผิดของคุณ ที่คุณทำท่าใสซื่อมาถามผมคงเพื่อให้ตัวเองสบายใจก็เท่านั้น แต่ผม ไม่อยากหลอกให้คุณสบายใจ คุณรอไว้เถอะ ถ้าหากลูกของเพ็ญภัทร์ไม่อยู่แล้วล่ะก็ ผมจะให้คุณได้ชดใช้แน่” เป็นคำพูดที่ทุเรศมาก เขาจะให้เธอชดใช้ ยิ้มเยาะ โดยที่เจ็บไปทั้งจมูก “ชดใช้ด้วยชีวิตของฉันอย่างนั้นหรือคะ” “ใช่” ทันใดนั้นเขาก็ยืดมือมา ดึงเข้าที่คอเสื้อของเธอ แล้วใช้แรงดันเธอจนแผ่นหลังกระแทกกับกำแพงในชั่วพริบตา จู่ๆก็รู้สึกเจ็บปวดไปหมด “อย่าขวางทางผม หากไม่ใช่เพราะคุณคลอดอ้อยและส้มมา ผมก็คงให้คุณออกไปจากวิลล่าโดยเร็วแล้ว” ถ้าไม่ใช่เพราะอ้อยและส้มอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ระยะสัญญาที่ให้เขาไว้เป็นเวลาครึ่งปี เธอคิด ว่าเธอเองก็จากไปนานแล้วเหมือนกัน บนหน้าผากมีร่องรอยของความเจ็บปวด ลมที่พัดมามีรสชาติของเลือดอยู่ ในตอนที่อยู่โรงเรียนอนุบาล ใจของเธอนั้นสับสนไปมา เธอกลัวว่าเด็กๆจะโดนลักพาตัวไป แต่ไม่คิดว่า นั่นเป็นแผนที่ถูกคนอื่นวางไว้แล้ว ทำให้เธอกระโดดลงไปติดกับแบบไม่รู้ตัว แต่ด้วยความสามารถของตัวเธอเองก็ยากที่จะตรวจสอบให้ลึกลงไปได้ เธอเพียงตัวคนเดียว แต่เธอก็อยากแสดงมันออกไป เปิดเผยถึงจุดประสงค์ของตัวเธอเอง รู้สึกปวดไปทั้งใจ มองแผ่นหลังของเขา เขาไม่เชื่อเธอเลยสักนิด ฮะฮะ แล้วเช่นนั้นมีความจำเป็นอะไรถึงจะขังเธอไว้ที่นี่กัน หันมองแผ่นหลังของเขา เธอกล่าวเสียงเบา: “ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณก็ให้ฉันไปเถอะค่ะ สัญญาสองแผ่นนั้น ช่วยส่งคืนมาให้ฉันด้วย” เท้าของเขาหยุดอยู่ที่บันได “เพ็ญนีติ์ สิ่งที่คุณคิดทั้งหมดหยุดคิดซะ อยู่ในวิลล่านี้เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ หากเพ็ญภัทร์ไม่มีวันดีขึ้น คุณเองก็ไม่มีวันไปจากที่นี่เหมือนกัน”เขาจะลิดรอนอิสระของเธอ ให้อยู่แต่ในห้องนี่ไม่ให้ได้สัมผัสถึงอิสระใดๆ อิสระ ช่างเป็นคำที่ไพเราะมาก เมื่อไร้ซึ่งอิสระก็เหลือเพียงแต่ความมืดเท่านั้นช่วงเวลานั้น เธออยากพาอ้อยและส้มหนีไปด้วยกันจริงๆ หนีไปให้ไกลจากปุริม แต่เขาถึงแม้ว่าจะไม่ได้มองตาของเธอ แต่ก็ยังเดาได้ถึงจิตใจของเธอ “เพ็ญนีติ์ คุณไม่ต้องวางแผนที่จะหนีออกไป อ้อยและส้มต่างใช้นามสกุลพลสังข์แล้ว ผมจะไม่ยอมให้คุณพาพวกเธอไปแน่ๆ วิลล่านี้ได้เพิ่มคนคุ้มกันแล้ว จะมีคนคอยคุ้มกันอ้อยและส้มตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เข้าออกก็เช่นกัน ดังนั้นคุณหนีไปไม่รอดหรอก”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 131 คุณหนีไม่พ้นหรอก
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A