บทที่ 140 เขากล่าวขอโทษ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 140 เขากล่าวขอโทษ
บทที่ 140 เขากล่าวขอโทษ “ปัง” ประตูรถเปิดออก ชายหนุ่มที่ใส่ชุดดำทั้งตัวเดินมาหาเธออย่างรวดเร็ว สวรรค์ เธอไม่คิดจริงๆว่าคนที่จะมาหาเธอเป็นคนแรกนั้นคือปุริม เพราะเธอบอกกับนภนต์เป็นคนแรก แต่ เขายังคงเร็วกว่าชายหนุ่มสาวเท้ากว้างๆเข้ามาหาเธอ รองเท้าหนังสีดำของเขาที่กระทบกับไฟรถจนมันวาว ทำให้เธอที่ได้ยินเสียงรองเท้าของเขาตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เส้นผมต่างยุ่งเหยิง ตกลงมาข้างหน้าทำให้ปุริมที่อยู่ในสายตานั้นดูขุ่นมัวมากขึ้น “หมับ” เธอถูกดึงขึ้นมา “ขึ้นรถ” บอกให้เธอขึ้นรถ แต่ความจริงเป็นปุริมที่ลากเธอขึ้นรถมา ร่างกายถูกจับโยนไปที่ข้างหลังรถ ปุริมออกรถไปอย่างรวดเร็ว ขับรถพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “อือ หาอีกครั้ง หาต่อไป” เพ็ญนีติ์ขดตัวเองที่มุมหนึ่งของที่นั่งข้างหลังนี้ ในรถนั้นช่างอบอุ่น ทำให้ร่างกายที่เย็นเยียบของเธอเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมา ได้ยินเขาคุยโทรศัพท์เธอรู้ว่าด้วยวิธีนี้ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาได้ส่งคนออกตามหาทั้งสี่ทิศแล้วหัว ใจรู้สึกสงบขึ้นมา ในที่สุดก็มีคนสามารถประคองเธอกลับขึ้นมาได้แล้ว รถขับด้วยความเร็วสูง แต่เธอกลับไม่รู้ว่ามันเร็วเลยสักนิด ไม่รู้ว่าปุริมฝ่ามากี่ไฟแดงแล้ว สายตาของเธอจับจ้องไปที่ไฟข้างนอกรถเท่านั้น สติของเธอเริ่มไม่ชัดเจนแล้ว เด็กๆหายตัวไป ใจของเธอก็โดนคว้าออกไปเช่นกัน เขายังคงขับรถต่อไปไม่หยุด จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ แม้แต่ประโยคหนึ่งเธอก็ไม่ได้พูด ทันใดนั้น ภายในรถก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงนั้นยิ่งดังขึ้น และยิ่งแสบแก้วหูมากขึ้น “คุณผู้หญิง โทรศัพท์คุณ” ปุริมหมุนพวงมาลัยหนึ่งครั้ง พร้อมกล่าวเสียงเย็น ไม่มีข่าวคราวใดใดของอ้อยและส้มเลย เขาส่งคนออกไปตามเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้นอกจากรอและออกไปตามหา เขาเองก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว เพ็ญนีติ์รู้สึกตัว ถึงได้รู้ว่าโทรศัพท์กำลังดังอยู่ รีบรับอย่างเร็วไว เธอคิดว่าเป็นอ้อยและส้มนึกขึ้นได้เลยโทรหาเธอ แต่เมื่อมองถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ “นภนต์ค่ะ ฉัน... ฉันอยู่บนรถ” “อยู่ที่ไหนนะครับ” นภนต์ไม่ได้ยินเธอที่กล่าวเสียงเบา จึงได้ถามอย่างร้อนรน “ฉันอยู่...” เธอเงยหน้าลอบมองปุริม ตอนนั้นไม่รู้ว่าควรตอบนภนต์ไปเช่นไรดี ถ้าเรียกนภนต์แล้วก็ไม่ควรเรียกปุริมอีกด้วย แต่เธอ เพราะความรีบร้อนจึงได้เรียกชายหนุ่มทั้งสองคน รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก เธอกล่าวเสียงเบา: “ฉันอยู่บนรถของปุริมค่ะ” เธอไม่สามารถโกหกได้ ดังนั้น เธอที่จิตใจกำลังสับสนก็ได้กล่าวความจริงออกไป “ครับ ผมไปตามหาเด็กๆนะ ได้ข่าวก็ติดต่อผมมาด้วยแล้วกัน เพ็ญนีติ์อย่าได้กลัว เด็กๆจะต้องไม่เป็นไรครับ” ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของนภนต์จะดูร้อนรน แต่ก็มีความอบอุ่นแฝงมาด้วย ปลอบโยนจนใจของเธอเริ่มสงบลง “ใช่ค่ะ เด็กๆจะต้องไม่เป็นอะไร” เธอตอบเสียงแผ่ว น้ำใสใสคลออยู่ในดวงตา ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน ในช่วงเวลานี้เองก็ต้องทรุดกันทั้งนั้นรถที่กำลังขับอยู่ก็หยุดลง หลังจากนั้นชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็กระโดดลงจากรถไป “ปึง” แล้วก็ดึงประตูที่นั่งด้านหลังของรถอย่างแรง ในตอนที่ประตูรถเปิดออก รู้สึกถึงลมหายใจที่กรุ่นโกรธ เธอได้กลิ่นถึงดินปืนที่ลอยออกมา จิตใต้สำนึกบังคับมือของเธอให้ยกขึ้นมากำแขนของตัวเอง เธอกลัวมาก กลัวว่าเขาจะทำเหมือนเธอเป็นลูกไก่หยิบขึ้นมาแล้วหลังจากนั้นก็จะโยนออกไปนอกรถอย่างเย็นชา เด็กๆหายไป เขาคงโกรธจัด เขาคงโทษว่าเป็นเธอที่ทำให้ลูกๆหายไป แต่เธอ ไม่คิดเลยจริงๆ ภายใต้เส้นผมที่ยุ่งเหยิงนั้นคือแววตาที่หวาดกลัวและสับสน น้ำใสใสยังคงคลออยู่ในดวงตา เธอมองเขาที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดตนหนึ่ง เธอวัญหนีดีฝ่อความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน การหายตัวไปของอ้อยและส้มเหมือนกับดึงวิญญาณของเธอไปด้วย ทำให้ความคิดของเธอตอบสนองช้าไปหมด มือของเขาชนเข้ากับมือเล็กของเธอที่กำเข้าหากัน มือของเธอเย็นและเริ่มซีด มันคือความอ่อนแอและความอ่อนไหวของผู้หญิง ทำให้มือใหญ่ของเขาชะงักนิ่งไป หลังจากนั้นเขาจ้องมาในตาของเธอ แล้วมือของเขาก็ค่อยๆกอบกุมมือของเธอและถ่ายเทความเยือกเย็นที่มือของเธอไปยังมือของเขา ความอบอุ่นช่วงเวลานั้นทำให้เพ็ญนีติ์เงยหน้าอย่างช้าๆ เธอมองปุริม เธอรู้ว่าที่เด็กๆหายตัวไปแบบนี้ เขาเองก็คงทรมานเหมือนกับเธอ ก้มหน้าต่ำ อ้ำอึ้ง แล้วเธอก็กล่าวเสียงอ่อน: “ขอโทษค่ะ” แต่ร่างบางยังคงสั่นเทา ตั้งแต่ขึ้นรถเขามา เธอยังคงสั่นไม่หยุด ทันใดนั้นด้านหน้าเริ่มมืดและอบอุ่น เพ็ญนีติ์รู้สึกแค่ร่างกายเริ่มเบา เธอถูกปุริมอุ้ม หลังจากนั้นทั้งร่างก็มานั่งอยู่ที่นั่งคนขับของเขา ประตูรถปิดลง เขามาประจำที่ตำแหน่งคนขับ โดยเธอยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเขา อ้อมกอดของของเขาช่างอบอุ่น ความอบอุ่นนั้นทำให้เธอเริ่มชอบ จิตใต้สั่งนึกสั่งให้เธอขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ในตอนนั้นเธอลืมไปแล้วว่าต้องหนีไปจากเขา “ปุริม หาอ้อยกับส้มไม่เจอค่ะ” “ผมรู้” มือของเขาลูบที่หลังของเธออย่างแผ่วเบา ปลอบประโลมเหมือนเธอเป็นเด็กน้อยก็ไม่ปาน “อย่าได้กลัว เด็กๆจะต้องไม่เป็นอะไร” คำพูดของเขาเหมือนกับนภนต์ แต่เธอก็ยังคงกลัว แค่เพียงนาทีเดียวที่หาเด็กๆไม่เจอ เธอก็ยังไม่วางใจแม้แต่นาทีเดียว ใจนั้นรู้สึกลอยอยู่ในอากาศ มันทำให้เธอเหมือนอยู่ไม่สู้ตายๆไปซะ เพียงแค่เขาเคลื่อนไหว เพียงแค่เขากล่าวออกมาเพียงประโยคเดียว น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีกครั้ง ทรมานมาก มันทรมานจนทำให้เธอรับมันไม่ไหวอีกต่อไป “ปุริม จะไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหมคะ” “ไม่เป็นไร เชื่อผมเถอะ” ในขณะที่พูดมือหนึ่งก็ผละออกจากเธอ เพียงใช้มือหนึ่งโอบเอวเธอให้ซบเขาต่อ ที่นั่งฝั่งคนขับดูแคบไปถนัดตา เมื่อนั่งกันสองคน เขาขับรถด้วยมือเดียว ตรงไปยังวิลล่าอย่างรวดเร็ว หากว่าเด็กๆไปที่นั่นจริงๆ นั่นเป็นเรื่องที่เขานึกขึ้นได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งความเป็นไปได้ใดใดไป เขาอยากหาลูกๆให้เจอโดยเร็วที่สุด เพ็ญนีติ์หลับตาลง ที่เด่นชัดคือเกลียดเขา บอกกับตัวเองไว้อย่างชัดเจนว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่พบเจอเขาอีก แต่เวลานี้ เธอโยนเรื่องทั้งหมดไปไว้หลังสมอง และซบตัวร้องไห้ในอ้อมกอดของเขาอย่างโง่งม ถึงแม้ว่าปุริมจะขับรถด้วยมือเดียว แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความเร็วของรถแม้แต่น้อย โทรศัพท์ของปุริมดังขึ้น เสียงที่ดังขึ้นทำให้เพ็ญนีติ์เอื้อมไปหยิบจากหน้ารถก่อนเขา และกดรับสาย ไม่สนว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ บางทีอาจจะเป็นข่าวคราวของอ้อยกับส้มนี่ “ท่านประธานครับ พวกผมได้ทำการตรวจสอบแล้ว ผู้หญิงคนนั้นยังคงนิ่งเงียบอยู่ครับ ไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน ตอนนี้ได้ส่งคนไปตรวจตราแล้ว ถ้าได้ข่าวคราวเมื่อไหร่ก็จะแจ้งมาทางเราครับ” เพ็ญนีติ์ส่งโทรศัพท์ไปยังข้างหูของปุริม ทั้งสองคนห่างกันเพียงเล็กน้อย เชื่อว่ายังไงเขาก็ได้ยิน “หาต่อไป เมื่อเจอแล้วรีบแจ้งฉันทันที” กล่าวจบ เขาเอียงหัวออก เพื่อให้เพ็ญนีติ์นำโทรศัพท์ไปเก็บไว้ที่หน้ารถ “ผู้หญิงคนนั้นคือใครคะ” เธอยังอยากสืบหาต่อ แต่ลำบากที่ไม่มีเวลาและโอกาส ช่วงเวลาที่เด็กๆไปโรงเรียนอนุบาลนั้นเธอถึงได้มีเวลาบ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่า จะเกิดเรื่องกับเด็กๆขึ้น เขาก้มหน้าเหลือบมองเธอ แล้วเงยหน้ามองทาง เขายังคงขับรถ แต่สายตากลับเหมือนจับจ้องมายังน้ำตาที่ดวงตาของเธอ ลดคางลงจนตอหนวดที่เริ่มแข็งของเขาถูกับหน้าผากของเธอไปมาจนเรียบ ”ยังไม่แน่ชัด ถ้าแน่ชัดแล้ว ผมจะบอกคุณ” “เป็นนาราหรือไม่” กล่าวออกไปทันที ภาพในอดีตค่อยๆผุดขึ้นในหัว สัมผัสที่หกของเธอทำให้กล่าวออกมาว่านารา แต่ไหนแต่ไรมาที่นาราติดต่อเธอมาในแต่ก่อนนั้นต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง คงไม่ใช่ว่าอยากให้เธอแยกเพ็ญภัทร์กับปุริมอย่างง่ายดาย “บอกว่ายังไม่แน่ชัด คุณอย่าได้เดามั่วๆเช่นนั้น หลับตาพักผ่อนสักครู่เถอะ ประเดี๋ยวก็ถึงวิลล่าแล้ว บางทีเด็กๆอาจจะรอพวกเราอยู่ที่ใกล้ๆตรงนั้น” คำว่า ‘พวกเรา’ เขากล่าวออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ทำเหมือนว่าระหว่างเขาและเธอยังคงมีความเกี่ยวข้องต่อกัน ขบริมีปากอย่างอดกลั้น ทันใดนั้นเธอก็ยืดหลังตรง หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากที่ไหนถึงได้ดิ้นรนหนีจากเขาเพื่อไปยังที่นั่งข้างคนขับเพราะการดิ้นรนที่บ้าคลั่งของเธอและรถกำลังอยู่บนทางโค้ง ทำให้มีเสียงแตรเสียงกรีดร้องมาจากข้างหลังรถ “อย่าขยับ ไม่อย่างนั้น ยังไม่เกิดเรื่องกับเด็กๆ พวกเราคงต้องมีเรื่องกันก่อน” กล่าวว่า ‘พวกเรา’ อีกครั้ง ปุริมดูไม่ได้รู้สึกว่าเขาพูดอะไรผิดไปเลยสักนิด รถยังคงขับต่อไป ในที่สุดทางโค้งก็เปลี่ยนเป็นทางตรง ทำให้เจ้าของรถBMWที่อยู่ข้างหลังรถถอนหายใจอย่างโล่งอก เพ็ญนีติ์ทุบตีที่อกของปุริมอย่างเอาเป็นเอาตาย “ฉันกับคุณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก สักนิดก็ไม่มี อย่าได้พูดว่าพวกเรา อย่าได้พูดว่าพวกเรา อย่า... อย่า...” เสียงของเธอเริ่มแผ่วลงจนพูดได้แค่ “อย่า” เท่านั้น ผ่านไปช้า น้ำเสียงก็ยิ่งแผ่วลง เพราะไม่ว่าเธอจะทุบตีเขาเช่นไร เขาก็ยังคงไม่ไหวติง ก้อนอกที่แข็งแกร่งของเขาทำให้มือเธอที่ทุบตีอยู่เริ่มเจ็บ ในที่สุดรถก็หยุดจอด เธอเองก็เงียบลงเช่นกัน หน้าประตูใหญ่ของวิลล่า สายตาประดุจเหยี่ยวของปุริมกวาดมองไปมาหนึ่งรอบ แล้วถึงเปิดประตูรถ พร้อมดึงมือของเพ็ญนีติ์ให้ลงจากรถมาด้วยกัน ขาของเธอดูอ่อนแรง ซวนเซจนต้องถูกเขาลากถึงจะตามเขาทันแม้จะฝืนใจก็ตาม เดินรอบวิล่าหนึ่งรอบก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กๆ สุดท้าย พวกเขาก็กลับไปที่รถกันอีกครั้ง เธอคิดว่าเขาจะขับรถเข้าไปในวิลล่า แต่ปุริมกลับลากมือของเธอไปยังที่รถ “ขึ้นรถ” ครั้งนี้เพ็ญนีติ์ยอมขึ้นรถแต่โดยดี เธอรีบขึ้นไปยังที่นั่งข้างคนขับ เธอจะไม่ยอมโดนเขากอดอีกแล้วรถออกตัวอีกครั้งเมื่อถึงวิลล่าของเขา แต่เขายังไม่พาเธอเข้าไปพวกเขายังต้องตามหาเด็กๆ ภายในรถนั้นช่างเงียบงัน ทั้งสองคนต่างหมกมุ่นกับเรื่องในใจของตนเอง และเรื่องของอ้อยและส้ม นั่นคงเป็นเรื่องเดียวที่พวกเขาจะเชื่อมโยงถึงกัน ครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะอ้อยและส้ม ชีวิตนี้ของเธอคิดไว้แล้วว่าจนเขาตายก็จะไม่มาพบเจอกันอีก ไฟรถสว่างขึ้น สว่างราวกับความฝัน ในตอนที่เพ็ญนีติ์เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง หูของเธอก็ได้ยินเสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นมา “ขอโทษ” เสียงทุ้มของชายหนุ่ม แต่แผ่วเบาส่งเสียงมาที่หูของเธอ เขากล่าวขอโทษเธอ เขากล่าวขอโทษเธออีกครั้งและอีกครั้ง
已经是最新一章了
加载中