ตอนที่ 4 นำไป อ๋องเย่
1/
ตอนที่ 4 นำไป อ๋องเย่
แม่ทัพผู้เลิศล้นของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 4 นำไป อ๋องเย่
ตอนที่ 4 นำไป อ๋องเย่ อาจเพราะสีหน้าของจ้าวชิงหยิงนิ่งทื่อมากเกินไป เชี่ยนลิ่งคิดว่านางไม่รู้ว่าอ๋องเย่คือผู้ใด ทำได้เพียงกล่าวเสริมหนึ่งประโยค “ท่านผู้นั้นเป็นถึงรัชทายาทอ๋องเย่ เขาเข้ามาช่วยกอบกู้ฮ่องเต้องค์ใหม่ ก่อนจักรพรรดิองค์ก่อนสวรรคตได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นหนึ่งในสามรัฐมนตรีแห่งราชสำนัก ตอนนี้เขาเพิ่งกลับมาจากกอบกู้ภัยอลหม่าน และตั้งใจมาจวนอ๋องชูเต้เพื่อส่งเถ้ากระดูกของจงหยงโหวหวนเมืองนอน” จ้าวชิงหยิงย่อมรู้แน่อยู่แล้วว่าอ๋องเย่คือบุคคลใด นางเพียงมองที่รูปลักษณ์ของบุรุษผู้นั้น หัวใจก็แทบเต้นพรั่น นี่ก็คืออ๋องเย่ผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรใต้หล้า ครอบคลุมทั่วเขตแดน คือบิดาสวามีในชาติที่แล้วซึ่งนางไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อน ในชาติก่อนเนื่องจากจ้าวชิงหยิงสมรสกับบุตรโทนของอ๋องเย่ ด้วยเหตุนี้จึงถูกสตรีสูงศักดิ์แห่งเมืองหลวงหลายคนริษยาว่าร้ายอยู่สองปีเต็ม จากนั้นนางมีปากเสียงกับโจวเฉินทั่น คำนินทาจากด้านนอกจึงค่อยๆ ซาลง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบอกปัดว่างานเสกสมรสของจ้าวชิงหยิงในอดีตชาติยิ่งใหญ่เพียงใด นางคือราชธิดาแห่งมเหสีของราชวงศ์ เป็นพระเจ้าหลานเธอในทูลกระหม่อมหญิงใหญ่ ฐานันดรอันโดดเด่นเยี่ยงนี้ สมรสกับบุตรของอ๋องเย่ก็ยังคงเป็นงานเสกสมรสอันสูงศักดิ์ พระอัยกีของจ้าวชิงหยิงคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์ นางใช้เวลาส่วนใหญ่ครึ่งค่อนปีทุกๆ ปีในตำหนักองค์หญิง ดังนั้นเมื่อครั้นจ้าวชิงหยิงยังเล็กก็มักได้ยินเรื่องราวมหัศจรรย์ของอ๋องเย่เป็นเนืองนิจ ว่ากันว่าอ๋องเย่ยามอายุสิบห้าก็นำทัพทหารออกศึก ปีสถาปนาราชวงศ์อ๋องเย่อาวุโสทิวงคตด้วยโรค โจวห้าวหรันซึ่งอายุเพียงสิบเจ็ดชันษาก็ขึ้นเป็นอ๋องเย่คนใหม่ ช่วงหลายสิบปีมานี้เขาออกรบทั่วสารทิศ ถูกมู่จงฮ่องเต้เรียกรับใช้อยู่บ่อยครั้งต่อมาราชสำนักเกิดโกลาหล มู่จงฮ่องเต้ประชวรหนักได้ส่งราชโองการลับให้แก่อ๋องเย่ อ๋องเย่แก้ปัญหาจลาจลสู่ความสงบอย่างไม่เสียความคาดหวังของปวงชน ราชสำนักคืนสู่ความสงบ ต่อมาถูกมู่จงฮ่องเต้ละอุปการ อุปถัมภ์องค์ชายองค์แรกที่เพิ่งแปดชันษา ซึ่งก็คือฮ่องเต้น้อยในปัจจุบัน จ้าวชิงหยิงเติบโตด้วยการฟังเรื่องราวมหัศจรรย์ของอ๋องเย่ แรกเริ่มได้สมรสกับโจวเฉินทั่น นางไม่รู้ว่าเบิกบานใจเท่าใด ทว่าท้ายที่สุดนางก็ไร้วาสนาต่อจวนอ๋องเย่ จ้าวชิงหยิงเสกสมรสกับโจวเฉินทั่นในเดือนอ้ายปีรัชศกหยวนเจีย ยามปียี่รัชศกหยวนเจียอ๋องเย่ก็ออกไปแก้ปัญหาการจลาจลยังแคว้นหนาน แม้แต่งานสมรสโอ่อ่าของบุตรชายก็ล้วนไม่ได้หวนกลับ และหลังจากนั้น นางก็ตายลง จ้าวชิงหยิงคิดไม่ถึง นางแต่งเข้าจวนอ๋องเย่ล้วนไร้บุญได้พบหน้ากับอ๋องเย่ ทว่าหลังจากฟื้นชีพ กลับได้พบกับเทพแห่งสงครามในตำนาน ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในทรวงของจ้าวชิงหยิงช่างซับซ้อนนัก นางกับโจวเฉินทั่นวิวาทกันเช่นนี้ อิงจากอุปนิสัยของจ้าวชิงหยิงเดิมทีชิงชังเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ปราศจากความรู้สึกดีๆ ต่อจวนอ๋องเย่ทั้งหมดเข้าไปใหญ่ ทว่าวินาทีนี้จ้าวชิงหยิงประจักษ์ถึงความสุภาพของอ๋องเย่ พบว่าตนเองไม่อาจก่อเกิดจิตใจเคียดแค้นได้เลยสักนิด เพียงอ๋องเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ความกดดันอันไร้เงาก็ครอบคลุมเหล่าผู้พบเห็นไปสิ้น ทำให้ผู้คนแม้แต่จะกำเนิดความดูถูกในจิตใจล้วนไม่กล้า ยิ่งจะกล้าติเตียนได้อย่างไรกัน ที่แท้ท่านผู้นี้ก็คืออ๋องเย่...ความตกสะเทือนในทรวงของจ้าวชิงหยิงไร้คำบรรยาย อ๋องเย่ยังหนุ่มเพียงนี้ รูปพรรณสัณฐานเองก็เฟื่องฟูถึงขีดสุด เพียงแต่เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ ก็ปราศจากผู้ใดสังเกตถึงรูปโฉมของเขาเป็นที่เรียบร้อย รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ภายใต้การขนันสังหารเช่นนี้ ยังจะมีผู้ใดบังอาจวิจารณ์รูปลักษณ์ของอ๋องเย่อีกเล่า อาจเป็นเพราะจ้าวชิงหยิงจ้องเขม็งนานเกินไป โจวห้าวหรันผู้คุ้นชินกับการถูกคนจับตาจ้องเป็นเวลานานยังล้วนขยับเรียวคิ้วเบาๆ โจวห้าวหรันเป็นแม่ทัพในกองทหาร เป็นหัวหน้าจวนแห่งจวนอ๋อง สถานะไม่อาจขาดแคลนการถูกจับจ้อง ทว่าดุจแม่นางน้อยอย่างจ้าวชิงหยิงที่สาวพรั่นเช่นนี้กลับมีน้อย เขารบศึกมาหลายปี กลิ่นอายการสังหารบนเรือนกายลอยคลุ้ง ก็แม้เชียนไท่ฮาวเห็นเขาแล้วยังค่อนข้างกำกัด ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงสตรีนางอื่น ยามที่อยู่ในเมืองหลวง ผู้หญิงที่สาวๆ หน่อยเห็นเขาล้วนต้องโค้งคำนับ คุณหนูสูงศักดิ์ที่ยังไม่ออกเรือนยิ่งขวัญเสียจนไม่กล้าแม้แต่เงยหน้า คนที่เป็นฝ่ายมองเขาก่อนเยี่ยงจ้าวชิงหยิงแบบนี้นับว่าจำนวนน้อย สามารถจับจ้องไม่หลบเลี่ยงสายตาเป็นเวลานานเพียงนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นแล้ว อีกประการ แววตาของแม่นางน้อยผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก โจวห้าวหรันแย้มรอยยิ้มน้อยๆ หันกลับไปมอง แววไต่สวนในดวงตาถูกซ่อนไว้ในส่วนลึก แทบจะมองไม่เห็น จ้าวชิงหยิงปะทะเข้ากับสายตาของโจวห้าวหรัน สบตาเป็นเวลาสั้นๆ ชั่วขณะ จ้าวชิงหยิงก็รีบก้มหน้างุด เบนเลี่ยงสายตาของอ๋องเย่ โจวห้าวหรันเห็นว่าจ้าวชิงหยิงก้มหน้า และไม่บังคับสตรีตัวน้อยผู้นี้อีก หากไม่ใช่ว่าจ้าวชิงหยิงมองเป็นเวลานานเกินไป แววตาเองก็ประหลาดเหลือแสน โจวห้าวหรันยิ่งไม่อาจมองสบตากลับกับแม่นางน้อยคนหนึ่งแน่ แรงกดดันที่สบตากับเขาโจวห้าวหรันย่อมรู้ชัดอยู่แล้ว เป็นเพียงสตรีนางหนึ่งเท่านั้น เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็จบแล้ว จ้าวชิงหยิงก้มหน้า หัวใจในแผงอกเต้นพรั่นเรื่อย ช่างน่ากลัวเหลือเกิน พ่อสามีในอดีตชาติของนางที่แท้ก็น่ากลัวเพียงนี้ เดิมนางทึกทักว่าระหว่างบุตรบิดาไม่หน้าแตกต่างกันเท่าใด ทว่าปัจจุบันเห็นตัวจริงแล้วจึงประจักษ์ จินตนาการของนางที่มีต่ออ๋องเย่นั้นยังตื้นเขินเกินไป หลังจากที่ฝูงชนรู้ถึงการมาเยือนของอ๋องเย่ บรรยากาศในที่เกิดเหตุพลันแตกต่างไป ผู้พิพากษามณฑลและอาวุโสสภาดุจเผชิญหน้าต่อศัตรูผู้น่าเกรงขาม หวังโผและแม่หลินถอยกรูดไปยังมุมกำแพงตั้งนานแล้ว เนื้อตัวสั่นเทา จ้าวชิงหยิงเองก็ก้มหน้าต่ำ เหมือนกระต่ายหูลู่ ยังจะเหลือภูมิฐานแห่งปัญญาชน โจวห้าวหรันตั้งใจมาเยี่ยมเยือนจากแดนไกลไม่ใช่เพื่อสดับฟังจ้าวชิงหยิงกับป้าของนางวิวาทะกัน เขาเคาะแผ่นหลังผู้พิพากษามณฑล ก่อนถาม “หลุมฝังศพของจ้าวเชียนอยู่ที่ใด” การสัญจรมาจวนชูเต้ครั้งนี้ของเขาคือนำเถ้ากระดูกของจ้าวเชียนมาส่งกลบดิน และถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนธิดาโทนของจ้าวเชียน เชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของจ้าวเชียนก่อนลาลับ ตอนนี้ดูท่าทางว่าจ้าวเชียนพรรณนาต่อบุตรีของเขาไม่ใคร่แม่นยำ โจวห้าวหรันคิดตกเรื่องของจ้าวชิงหยิงแล้ว ย่อมนึกอยากขุดกรัณฑ์ฝังกระดูกแด่จ้าวเชียนเป็นธรรมดา ขุดกรัณฑ์มิใช่เรื่องเล็ก อาวุโสสภาและผู้ใหญ่บ้านนำทางโจวห้าวหรันไปยังหลุมฝังศพของจ้าวเชียน บุรุษในหมู่บ้านเองก็ตามไปครึ่งหนึ่ง เวลาเช่นนี้จ้าวชิงหยิงยิ่งไม่พึงพอใจในสถานะสตรีของตนเอง ก็เพราะนางเป็นผู้หญิง ดังนั้นแม้แต่ส่งกระดูกของบิดาบังเกิดเกล้าอันเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ล้วนไม่อาจเข้าร่วมด้วยตนเองได้ เนื่องจากเหตุสุดวิสัยเรื่องนี้ สติของแม่หลินหลุดลอย ไม่มีกะใจจัดการกับความสัมพันธ์ต่อจ้าวชิงหยิงไปตั้งนานแล้ว จ้าวชิงหยิงเองก็กลับสู่เรือนพักของตนเองด้วยจิตใจอันหนักอึ้ง เดิมทีนางต้องออกไปรับน้ำสำหรับเช็ดถูพื้น เวลาล่วงเลยนานเพียงนี้ น้ำบนพื้นล้วนแห้งสนิทแล้ว จ้าวชิงหยิงจ้องคราบน้ำแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แววสับสนขุ่นมัวในดวงตาสลายไป แววตาค่อยๆ แน่วแน่ขึ้นมา นางไม่อาจอาศัยอยู่ในหมู่บ้านโฉดเขลาแห่งนี้ได้อีก คนในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนมีแซ่เดียวกัน นางหลีกหนีจากหลี่ต๋า หลี่อื่นๆ ได้ แต่ว่าหนีไม่พ้นหลี่เอ้อ หลี่ซาน ฐานะนางร่ำรวยแต่กลับไม่มีอำนาจแห่งการป้องกันตัวเอง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ต่อไป ก็รังแต่จะรนหาลู่ทางฆ่าตัวตายแก่ตนเองเท่านั้น จ้าวชิงหยิงฟื้นคืนชีพอีกครั้ง สิ่งที่หวงแหนมากที่สุดก็คือชีวิตของตนเอง อีกทั้งนางเป็นผู้หญิงกำพร้าตัวคนเดียว ไร้บิดามารดรคุ้มกัน ไม่มีการขัดขวางจากต้นตระกูล ซ้ำยังเติบโตด้วยใบหน้าอันเหนื่อยล้า แม้ว่านางจะเอาที่นาท้องไร่ทั้งหมดปลงเป็นตั๋วเงิน วางแผนหนีออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ ตลอดเส้นทางก็วิ่งหนีไปได้ไม่นานนัก วิธีเดียว ก็คืออ๋องเย่ ถึงแม้จ้าวชิงหยิงไม่ใคร่เต็มใจข้องเกี่ยวกับครอบครัวของอ๋องเย่อีกต่อไปนัก มาจนถึงปัจจุบัน ก็มีเพียงอ๋องเย่ที่สามารถพานางจากไปโดยปราศจากความสูญเสียแม้แต่น้อย อนึ่งยังหาสถานที่ปลอดภัยให้นางปักหลักได้ด้วย สำหรับวิธีการโน้มน้าวอ๋องเย่เช่นไร...จ้าวชิงหยิงผู้ไม่เคยเกลี้ยกล่อมสาไถผู้ชายใดก็ค่อนข้างลำบากเสียแล้ว เช่นนี้ นางจะพยายามเต็มที่ก็แล้วกัน... ขุดกรัณฑ์ปักโลงมิใช่เรื่องเล็กน้อย รอจนตรากตรำ ท้องนภาก็มืดสนิทเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่บ้านกระตือรือร้นเป็นยิ่ง พลันเรียนเชิญอ๋องเย่ไปเสวนาที่จวน เชียนลิ่งเองก็เชื้อเชิญอ๋องเย่ไปเมืองพิพากษา เขาได้ตระเตรียมสุราชั้นเลิศเอาไว้แล้ว โจวห้าวหรันไม่ปรารถนาจะลำเค็ญเกินเหตุ เขาจรทัพทหารหลายปี ไม่ได้จู้จี้จุกจิกต่อสภาพแวดล้อมแต่ใดมา ดังนั้นจึงไม่ได้นำขบวนคนไปยังเมืองพิพากษาด้วยใจจรรโลง แต่กลับนำคนไปหยุดพักชั่วคราวที่เรือนผู้ใหญ่บ้านหนึ่งคืน โจวห้าวหรันนำทัพทหารใหญ่โตกลับราชสำนักครั้งนี้ ยามที่สัญจรมาครึ่งทาง เขาได้พาคนสนิทออกจากขบวนทัพใหญ่ มาส่งร่างไร้วิญญาณของจ้าวเชียนกลบดินที่จวนชูเต้ก่อนอันดับแรก วันพรุ่งค่อยตรงดิ่งตามขบวนทัพทหารไป อย่างไรเสียก็ยังเป็นช่วงเวลาเคลื่อนทัพ เขาเป็นถึงหัวหน้าขบวนใหญ่หนีออกจากขบวนนานเกินไปก็ดูไม่ดี โจวห้าวหรันไม่ตอบรับไปค้างแรมที่เมืองพิพากษา เชียนลิ่งถึงแม้จะซุ่มเสียใจ แต่ส่วนลึกด้านในใจเองก็ผ่อนปรนลมหายใจเบาๆ สนิทปัญญาชนดุจสนิทสิงห์ ท่านผู้นี้ถึงแม้จะมิใช่ปัญญาชน แต่ว่าอิทธิพลกว้างใหญ่ไม่น้อย เขายังไม่อยากเดิมพันหน้าที่การงานในอนาคตของตนเองเปล่าๆ หรอก เมื่อผู้ใหญ่บ้านทราบว่ารัชทายาทอ๋องเย่จะพักค้างที่เรือนของตนเองจริงๆ เขาก็ปลาบปลื้มใจ พลันรีบจัดกำลังคนกลับไปทำความสะอาดห้องหับ อีกทั้งยังไปป่าวประกาศคหบดีคนอื่นๆ ที่มีห้องว่าง การมาเยือนครั้งนี้อ๋องเย่ยังนำคนสนิทมาด้วยจำนวนมาก ต่อให้ในหมู่บ้านมีพื้นที่กว้าง ห้องว่างก็เยอะโข แต่ต้องรองรับคนจำนวนมากเพียงนี้ก็มิใช่เรื่องเล็ก ผู้ใหญ่บ้านเดินอย่างกุลีกุจอ โจวห้าวหรันไม่เร่งรีบวกกลับ ลงจากอาชา เดินตามไป เนิบนาบบนถนนหมู่บ้านสาดแสงจันทร์ เขาไม่ค่อยมีเวลาผ่อนคลายเยี่ยงนี้มากนัก ไม่มีเรื่องศึกสงคราม ไม่มีงานราชสำนัก ไม่มีความบันเทิงจรรโลงใจ เหนือศีรษะคือท้องนภาอันเต็มไปด้วยดวงดาราคณานับ ใต้เท้าคือพื้นดินอันเคลือบแฝงด้วยหมอกหนาว ไร้จุดประสงค์ ปราศจากผู้คนก่อกวน ท่ามกลางหมู่บ้านพลันย่างสู่ความมืดสนิทสุดขีด แสงดาวพร่างพราวบนฟากฟ้าสาดสะท้อนบนเงาเลือนรางกลางพฤกษาสองข้างทาง ใบหูของโจวห้าวหรันพลันขยับ ฝีเท้าหยุดกึก เมฆทะมึนบนเวหาปิดดวงจันทรามิด เงามืดวะไหวกลางก้านสาขาต้นไม้ มองไม่ค่อยชัดเจน ทำได้เพียงมองเห็นเงาอันเลือนราง “....ท่านพ่อ บุตรีอกตัญญูขออภัยท่านแล้ว ข้าร่างกายปวกเปียกไร้กำลัง ตั้งแต่ถือกำเนิดก็คร่าชีวิตท่านแม่ ซ้ำยังเหนื่อยให้ท่านวิ่งวุ่นทั่วทิศเพื่อข้า หกปีก่อนท่านบอกว่าจะจัดงานแต่งแก่ข้า ให้ข้ากลับบ้านไปรอข่าวดีจากท่านอย่างสงบใจ แต่ว่าคิดไม่ถึงการจากลงระหว่างบุตรีบิดาครั้งนี้ จะเป็นการลาชั่วนิรันดร์ ท่านพ่อท่านตายเพื่อประเทศชาติ เป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่ของราชสำนักทั้งหมด บุตรีควรจะภาคภูมิใจในตัวท่าน...แต่ว่า บุตรียินดีให้ท่านพ่อไม่ไปเมืองหลวงเลยสักครั้งดีกว่า บุตรีเองไม่อยากแต่งงานอะไรแล้ว พวกเราสองพ่อลูกพึ่งพากัน มีชีวิตอย่างดีเช่นนี้ต่อไปน่าจะดีเพียงใด ปัจจุบันวิญญาณวีรบุรุษแห่งท่านกลับมา เถ้ากระดูกคืนเมืองนอน ข้าก็ยังมิอาจส่งท่านกลบดินด้วยตาตนเองได้อย่างสงบใจ...” โจวห้าวหรันหยุดอยู่ที่เดิม สีหน้าพร่ามัวอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองไม่ค่อยชัดแจ้ง คนยืนเบื้องหลังอยู่ที่ไกลๆ เห็นว่าอ๋องเย่ไม่ขยับเขยื้อน นึกอยากก้าวมาเบื้องหน้าไถ่ถาม แต่กลับถูกโจวห้าวหรันส่งสัญญาณมือให้หยุดอยู่กับที่ ที่แห่งนี้สีนภามืดมน โจวห้าวหรันเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ และมิได้เคลื่อนไหวอย่างเสียงดังเกินไป จ้าวชิงหยิงไม่รู้เรื่องบนท้องถนนด้านนอก นางหมกมุ่นอยู่กับความโศกเศร้า คุกเข่าอยู่ใต้ต้นเท้าที่นางเคยสะกดรอยท่านพ่อสมัยเยาว์วัย “ท่านพ่อ บุตรีเคารพท่านเป็นวีรบุรุษ ตลอดทางนี้ท่านไปดี ข้ากำเนิดมาท่านแม่ก็ตายลง ท่านเลี้ยงดูข้ามาในฐานะทั้งบิดาและมารดา บุตรีมิอยากออกเรือน มิอยากออกเรือนจริงๆ ข้าเพียงอยากเป็นสาวน้อยผู้คอบปรนนิบัติรับใช้ข้างกายท่านพ่อ ปัจจุบันนี้ท่านคืนสู่เมืองนอน บุตรีมาส่งท่านไปสบาย หากว่ารับรู้ในโลกยมบาล ท่านมิต้องเหลือกังวลต่อบุตรีอกตัญญูอีกแล้ว” “หากว่าเจ้าไม่ออกเรือนไปชั่วชีวิตจริงๆ เขาจึงมิอาจตายตาหลับได้นะ” จ้าวชิงหยิงตกใจ หยัดกายขึ้นยืนจากที่คุกเข่าอยู่ พวงแก้มยังคงเหลือคราบน้ำตาแห้งกรังอยู่ นางมองไปยังทิศทางที่มีคนเข้ามา จ้องอยู่สักพัก คราวนี้จึงจำคนที่เอ่ยคำได้ท่ามกลางความมืดสลัว “รัชทายาทอ๋องเย่?” “ข้าเอง” โจวห้าวหรันเดินออกมาจากเงาพร่าเลือนอย่างเนิบนาบ เขาหยุดอยู่สถานที่ที่ห่างจากจ้าวชิงหยิงสามก้าว มองเด็กสาวผู้ปวกเปียกขาวซีด รอบเอวยังไม่เท่าลำแขนของเขาคนนี้ ก่อนถอนใจพรืด “เจ้าอายุอ่อนวัย ยังมีช่วงเวลายังสะพรั่งงาม ไฉนจึงกล่าวตัดพ้อเช่นนี้กันเล่า” “มิใช่ตัดพ้อเสียหน่อย” จ้าวชิงหยิงไม่คุ้นชินกับการถูกคนมองนางร่ำไห้ นึกอยากยกมือขึ้นปาดน้ำตากลับรู้สึกว่าเช่นนี้โจ่งแจ้งเกินไป ฉะนั้นนางจึงไม่มองหน้า สมองด้านอย่างสุดความสามารถ “วันนี้ให้ท่านอ๋องเย่เห็นเรื่องขบขันแล้ว ในเมื่อสาวน้อยเกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแยแสเรื่องงานเรือน ไม่สู้เจรจากับท่านอ๋องเย่ตรงๆ กระมัง ท่านเห็นสภาพของข้าในตอนนี้ ต่อให้ท่านช่วยข้าคืนหนังสือทองของท่านพ่อ ท่านคิดว่าข้าจะรักษาเอาไว้ได้หรือ ท่านป้าแท้ๆ ของป้าก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน พวกเขาล้วนแซ่หลี่ แต่ข้าแซ่หลิน หาแม้นต่อจากนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าแม้แต่จะหนีก็หนีออกไปมิได้แล้ว” โจวห้าวหรันสัมผัสได้ถึงประเด็นหลักอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่เต็มใจแต่งงาน?” “ใต้แผ่นหล้าหญิงสาวมากมายเพียงนั้น แต่ละคนก็มีวิถีชีวิตของแต่ละคน ไฉนต้องแต่งงานด้วยเล่า!” จ้าวชิงหยิงอดกลั้นส่งเสียงดังไม่ได้ จากนั้นนางก็ตระหนักว่าอารมณ์ของตนเองเลิ่กลั่กมากเกินไป นางสูดลมหายใจลึก ก้มหน้างุด กล่าวเสียงแผ่น “ขออภัย ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว” เด็กสาวในปัจจุบันไฉนจึงมิประสงค์แต่งงานกันเสียหมด โจวห้าวหรันเองก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญจะกล่าวละเอียดต่อแม่นางน้อยผู้ยังมิได้ออกเรือนนัก ทำได้เพียงถ่วงหัวข้อสนทนาอันนี้ มิบังคับนางอีก แต่เอ่ยถามเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าวางแผนไว้อย่างไร” “รัชทายาทอ๋องเย่” จู่ๆ จ้าวชิงหยิงก็ยอบกายถวายคำนับอย่างนอบน้อมต่ออ๋องเย่ เหลือบสายตาขึ้น มองโจวห้าวหรันอย่างมั่นคงและแน่วแน่ “ข้าน้อยชื่นชมความสำเร็จของอ๋องเย่ตั้งแต่วัยเด็ก บัดนี้สามารถเห็นตัวจริงของท่าน ก็เป็นพรแห่งชีวิตของข้าน้อยทั้งปางก่อนและปางปัจจุบันนัก วันนี้ขอบพระทัยในความช่วยเหลือ ข้าน้อยทราบดีว่าเช่นนี้เป็นการมักมาก แต่ว่ายังอยากลองวิงวอนต่อท่าน พาข้าออกจากหมู่บ้านแซ่หลี่ทีเถิด รอหลังจากออกจากที่นี่แล้ว อ๋องเย่ให้ข้าไปอยู่ในเมืองเล็กๆ ไร้ผู้คนรู้จักสักแห่งหนึ่งก็ได้ตามอำเภอใจ ข้าน้อยเองมิอยากได้ชื่อว่าเป็นธิดาสูงศักดิ์แห่งจงหยงโหว หลังจากนั้นจะขอเฝ้าแผ่นป้ายและคำนับท่านพ่อ ทุกวันคอยสักการะท่าน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายชั่วนิจ เท่านี้ก็พึงพอใจแล้ว” โจวห้าวหรันทอดสายตาบนร่างกายของนาง นำเสียงไม่แบ่งแยกพึงใจหรือว่าเคืองขุ่น “เจ้าแค่นึกอยากออกจากที่นี่ นี่คือบ้านเกิดของเจ้า สถานที่รวมตัวญาติมิตรเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าบนโลกใบนี้” “ข้าน้อยคิดอย่างรอบคอบแล้ว ที่นี่ก็กล่าวไม่แน่ว่าเป็นบ้านเกิด ท่านพ่อกับท่านป้าหนีมาที่นี่เนื่องจากความอดอยาก ท่านป้าแต่งงานเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่ว่าท่านพ่อเนื่องจากข้าไม่ค่อยปลอดภัย จึงวิ่งวุ่นทั่วสารทิศ สำหรับข้านั้น ที่นี่ก็ยิ่งไม่แน่ว่าเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว สถานที่ที่มีท่านพ่ออยู่ จึงจะเป็นบ้านเกิดของข้า” โจวห้าวหรันมองจ้าวชิงหยิงพักหนึ่ง จากนั้นจึงเหลือบสายตาขึ้น ทอดมองไปยังท้องนภาอันเต็มไปด้วยดวงดาราเบื้องหลัง จ้าวชิงหยิงกระวนกระวายใจไม่หยุด ฝ่ามือแทบจะผุดเม็ดเหงื่อออกมา พฤติกรรมของนางบัดนี้สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง ทว่าอ๋องเย่วันพรุ่งก็จะจากไปแล้ว คืนนี้นางไม่ลงมือ เช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว โจวห้าวหรันละสายตาจากฟากฟ้าพร่างดารากลับมา มองจ้าวชิงหยิงเบาๆ แวบหนึ่ง และหันหลังให้ หัวใจของจ้าวชิงหยิงแทบจะแดดิ้น อ๋องเย่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร นางตั้งใจเลียนแบบท่าทางของหลิวอ้าย ร่ำไห้อย่าง “ไม่ตั้งใจ” และถูกคนอื่นได้ยินเข้า ยังจะล้มเหลวอีกเชียวหรือ จ้าวชิงหยิงอดสาวเท้าตามสองก้าวไม่ได้ “รัชทายาทอ๋องเย่...” “ท้องฟ้าดึกดื่นแล้ว ข้างนอกก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ เจ้ากลับไปก่อนเถิด” “ท่านยังไม่พูดว่าจะพาข้าออกไปหรือไม่กันแน่!” โจวห้าวหรันลอบถอนใจ เขากุมอำนาจหลายปี ถูกคนตามเช่นนี้ถือว่าเป็นครั้งแรก เคราะห์ดีที่คนสนิทผู้ติดตามที่อยู่เบื้องหลังยืนอยู่ค่อนข้างไกล มิเช่นนั้นให้พวกเขาได้ยินประโยคนี้เข้า วันพรุ่งกิจส่วนตัวของเขาก็แพร่งพรายเสียแล้ว คนเหล่านี้ติดตามอ๋องเย่มาหลายปี ถือกำเนิดจนตาย สละชีวัน โจวห้าวหรันมองว่าคนเหล่านี้คือพี่น้อง ทว่าเหล่าผู้อาวุโสนี้มีสิ่งที่ไม่ดีเหมือนกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือใส่ใจเรื่องส่วนตัวของเขามากเกินไป ชายามิใช่ปัจจัยจำเป็น จวนอ๋องเย่ปัจจุบันเป็นเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว และเขาเองก็มิได้ขาดแคลนทายาท ด้วยเหตุนี้ ก็ยิ่งมิจำเป็นต้องแต่งชายาเข้าจวนอ๋องอีกครั้งแล้ว นับประสาที่เบื้องหน้าเป็นแม่นางน้อยแบบบาง ดูท่าทีนางน่าจะอายุไม่เกินสิบห้าสิบหก เยาว์วัยกว่าบุตรชายของเขา โจวห้าวหรันรู้ว่าจ้าวชิงหยิงโพล่งประโยคนี้ออกมาเพียงเพราะรีบร้อน มิได้มีความหมายอื่นใด แต่โจวห้าวหรันเองก็อายุค่อนศตวรรษแล้ว เขาเองก็มิอยากเสื่อมเสียชื่อเสียง ณ สถานที่พรรค์นี้ ฉะนั้นเขาจึงหยุดชะงักเรือนกาย และอธิบายแผนการของตนเองแก่นางในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน “ข้าสามารถหาสถานที่ปลอดภัยให้เจ้าแห่งหนึ่งได้ ให้เจ้าลงหลักปักฐาน เจ้ามิต้องรีบร้อน จ้าวเชียนมีบุญคุณต่อชีวิตข้า เจ้าเป็นธิดาโทนของเขา ข้ามิอาจละทิ้งไม่ใยดีเจ้าได้เจ้า” ในที่สุดจ้าวชิงหยิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ได้รับคำมั่นของอ๋องเย่เช่นนี้ก็ดี โจวห้าวหรันขึ้นเป็นอ๋องเย่ตั้งแต่อายุสิบเจ็ด หรือว่าอาจจะเร็วกว่านั้น นับแต่อายุสิบห้าปีก็ร่วมทัพเริ่มออกศึก ก็มิได้ถูกคนตะโกนใส่อย่างไม่เกรงใจเช่นนี้อีกแล้ว โจวห้าวหรันไม่อยากถือสาแม่นางน้อยคนนี้ เขาเดินไปเบื้องหน้าต่อ ยังมิทันได้ย่างสองก้าวเบื้องหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังลอยมา แม่นางน้อยคนนั้นเดินตามมาอีกแล้ว “รัชทายาทอ๋องเย่ วันพรุ่งหากข้าตามท่านไปล่ะก็ คืนนี้ต้องเก็บข้าวของหรือไม่ วันพรุ่งจะรวมตัวกันยามเท่าใด” ยังเป็นถ้อยคำอันคลุมเครือที่หากถูกคนอื่นได้ยินเข้าจะต้องเข้าใจสงสัยในคุณธรรมของเขาอีกครั้ง โจวห้าวหรันทำได้เพียงยืนนิ่ง กล่าวต่อจ้าวชิงหยิง “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าย่อมส่งคนไปตระเตรียม แม้นางหลิน เวลาดึกดื่นแล้ว เจ้ากลับไปก่อน” มิให้จ้าวชิงหยิงเก็บสัมภาระนางเข้าใจได้ แต่แม้กระทั่งชั่วยามใดล้วนไม่บอกหรือ จ้าวชิงหยิงฉงนใจนัก อดพูดไม่ได้ “รัชทายาทอ๋องเย่ ท่านไม่น่าจะตุกติกกับข้ากระมัง” โจวห้าวหรันคาดไม่ถึง จะมีวันนี้ สามารถได้ยินคำประเภทนี้จากปากคนข้างๆ เขายิ้มเบาบาง พลางถาม “เจ้าพูดอันใด” จ้าวชิงหยิงหุบปาก ภายใต้แววตาของโจวห้าหรันค่อยๆ ก้มหน้าต่ำ โจวห้าวหรันเห็นว่าเป็นเช่นนี้จึงละสายตา ยังคงเดินตรงไปที่อาชาศึกของตนเองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว รอจนโจวห้าวหรันเดินออกไปแล้ว อาจเพราะจ้าวชิงหยิงคิดว่าเขาไม่ได้ยิน ใช้น้ำเสียงอันบางเบาสบถประโยคหนึ่งออกมา “ล้วนมิใช่คนดี” โจวห้าวหรันหยุดชะงักฝีเท้า แววตาขรึมลง เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนยั่วยุไม่หยุดหย่อน เขาไม่ได้หันหน้ามอง กล่าวต่อคนเบื้องหลังอย่างผะแผ่ว “ลมกลางคืนหนาวยะเยือก อย่างไรเสียแม่นางหลินรีบกลับไปเถิด ครั้งต่อไปเจ้าค่อยคิดว่าจะพูดสิ่งใดกับข้า ตรงมาหาข้าย่อมได้ มิต้องถ่อวิ่งมาตั้งไกลตากลมเย็นอยู่ใต้ต้นไม้เยี่ยงนี้” หลังจากจ้าวชิงหยิงกล่าวประโยคนี้จบก็นึกเสียใจภายหลัง เมื่อครู่อารมณ์นางเดือดดาลขึ้นกระหม่อม ไม่รู้ว่านึกถึงโจวเฉินทั่นได้อย่างไร ในทรวงคิดว่าคนบ้านนี้ล้วนไร้คนดี ผู้ใดจะนึกว่าโพล่งออกมาจริงๆ นางพูดพ่นออกมาก็เสียใจภายหลังแล้ว โจวเฉินทั่นขอโทษนางมิใช่เรื่องเสแสร้ง ทว่าอ๋องเย่กลับไม่ได้ทำเรื่องขออภัยใดๆ ต่อนางเลยสักนิด เขาคือเทพคุ้มกันแห่งราชวงศ์นี้ หนำซ้ำยังช่วยเหลือตนเองอีก นางสามารถพ่นคำพูดเยี่ยงนี้ออกมาได้อย่างไร รอจนกระทั่งได้ยินประโยคหลังที่อ๋องเย่กล่าว จ้าวชิงหยิงหน้าแดงแทบระเบิด แม้แต่น้ำคำแทบจะไม่ได้เอ่ยออกมา “ท่านทราบ?” จะไม่รู้ได้อย่างไร การปกปิดตัวตนและทักษะของนางย่ำแย่เกินไป ครั้งนี้โจวห้าวหรันไม่ได้รีรออีกต่อไป เดินตรงดิ่งท่ามกลางรัตติกาล
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 4 นำไป อ๋องเย่
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A