ตอนที่ 5 ป่าเถื่อน
1/
ตอนที่ 5 ป่าเถื่อน
แม่ทัพผู้เลิศล้นของข้า
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 5 ป่าเถื่อน
ตอนที่ 5 ป่าเถื่อน จ้าวชิงหยิงกลับบ้าน นางเพิ่งจะผลักเปิดประตูออก ภายในสวนอันมืดมิดเสียงหนึ่งอันเยือกเย็นก็ดังขึ้น “เจ้าไปไหนแล้ว” จ้าวชิงหยิงถูกทำให้เสียขวัญ นางกุมบริเวณหัวใจไว้ เพ่งสายตา มองคนที่เอื้อนวาจาด้านหลังชัดเจนแล้ว นางลอบกลอกตาขาว แม้กระทั่งคำก็ไม่อยากเอ่ย ครูดแนวกำแพงเดินไปยังห้องของตนเอง หลี่ต๋าเห็นว่าจ้าวชิงหยิงมองเขาดุจของไร้ตัวตน ในทรวงก็ไม่เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง เขารีบสาวเท้ามาเบื้องหน้าบดบังจ้าวชิงหยิงเอาไว้ น้ำเสียงหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ข้าถามเจ้าอยู่นะ!” จ้าวชิงหยิงมุ่นคิ้วนึกอยากอ้อมไปด้านข้าง แต่ว่านางเดินได้ไม่กี่ก้าวหลี่ต๋าก็ตามมาประชิด ท้ายที่สุดก็กั้นเบื้องหน้านาง หลังจากเช่นนี้สามสี่ครั้ง ระยะห่างระหว่างหลี่ต๋าและจ้าวชิงหยิงยิ่งใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกถึงความน่าสนใจ แต่จ้าวชิงหยิงกลับเบื่อหน่าย จ้าวชิงหยิงชักสีหน้า กล่าวเสียงเย็น “หลีกไป” กว่าหลี่ต๋าจะประชิดกับจ้าวชิงหยิงเยี่ยงนี้นับว่าหายาก เขามองเห็นจ้าวชิงหยิงสีหน้าขรึมลง ตนเองก็รู้สึกเคืองขุ่น ทว่ามองใบหน้าของจ้าวชิงหยิง มีผู้ชายคนไหนสามารถโกรธกรุ่นใบหน้าเยี่ยงนี้ได้ลงคอ น้ำเสียงของเขาค่อยๆ อ่อนลง “นี่ไม่ใช่ว่าข้ากังวลต่อเจ้าหรือ เจ้าเป็นแม่นางที่ยังไม่ทันแต่งงาน ดึกดื่นป่านนี้ยังออกไปข้างนอกลำพัง นี่กลายเป็นอะไรไปแล้ว ข้ารอเจ้าตั้งนาน เจ้าเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ เจ้าว่าเรื่องนี้เจ้าทำถูกหรือไม่ เจ้าหากว่านึกอยากออกไปปรนใจ ก็ควรจะบอกท่านแม้และข้าสักหน่อย ข้าจะออกไปเป็นเพื่อนเจ้า” จ้าวชิงหยิงหัวเราะเยาะออกมา แฝงแววเย็นชา “ไม่จำเป็น ข้าจะกลับไปแล้ว” นางกล่าวจบก็เดินไปข้างหน้า ถูกหลี่ต๋าสาวเท้ามาขวางด้านหน้าสองก้าว จ้าวชิงหยิงลองแล้วสองรอบ ล้วนถูกเขาขวางล้อมเอาไว้ เรียวคิ้วของจ้าวชิงหยิงค่อยๆ มุ่นขึ้น เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งมองทางหลี่ต๋า “ท่านหมายความว่าอย่างไร” คนงามก็คือคนงาม ต่อให้เป็นการแสดงออกของสีหน้าจะแสนเย็นชาเยี่ยงนี้ก็ยังงดงามจนคนตะลึง หลี่ต๋าลอบยิ้ม พลางกล่าว “ญาติผู้น้อง ข้าหมายความอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ พวกเราเป็นญาติผู้พี่ผู้น้อง อายุอานามไล่เลี่ยกัน นับแต่ไรก็คือคู่สมรสอันแสนเหมาะสมที่สุด ข้ารู้ว่าท่านลุงเสียแล้ว ช่วงเวลานี้เจ้าตรอมใจนัก เจ้าวางใจ จากนี้ไปข้าจะดูแลเจ้าแทนท่านลุงเอง” จ้าวชิงหยิงยิ้มเบาบางเล็กน้อย ตอนที่นางยิ้มดวงตาโค้งงอเล็กน้อย มันดูสะดุดตากว่าดาวพร่างฟ้าเสียอีก หลี่ต๋ามองจนแทบจะบ้าตายแล้ว ทว่าขณะต่อมา สาวงามก็หุบรอยยิ้ม เรียวปากชาดแดงเอื้อนเอ่ยวาจาทิ่มแทงเสียดสี “ประจวบกับยังสามารถดูแลที่นาท้องไร่เงินทองที่ท่านพ่อข้าเหลือทิ้งไว้ ใช่หรือไม่” การแสดงออกบนใบหน้าของหลี่ต๋าหรี่ลงเล็กน้อย หน้าเผยความอึกอัก “ญาติผู้น้อง เจ้าพูดอันใด...” “ทำไม ชายฉกรรจ์อกสามศอก กล้าทำมิกล้ารับ? ในท้องของท่านกับแม่ท่านทำกรรมอันใดไว้ ตัวท่านเองก็ไม่รู้หรือ ท่านยังนึกว่าตนเองเป็นคนมีเมตตาอีก คิดว่าตัวเองกำลังมีคุณธรรม อยากมีญาติผู้น้องตัวน้อยผู้กำพร้าไร้ที่พึ่ง รีบเก็บความหน้าซื่อใจคดของท่านกลับไปเถิด ไม่มีท่านกับแม่ท่าน ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอย่างดีเท่าใดเชียวเล่า” จ้าวชิงหยิงกล่าวจบ พลางจ้องหลี่ต๋าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง หน้าก็ไม่หันกลับไปมองเขาอีกและเดินอ้อมหลังออกไป ครั้งนี้หลี่ต๋ามิได้เข้ามาขัดขวางนางอีก หลี่ต๋ายืนอยู่คนเดียวสักพัก ขณะที่จ้าวชิงหยิงกำลังเดินเข้าสู่ประตู ก็กล่าวต่อนางโดยพลัน “ญาติผู้น้อง แม่ข้าก็มีอุปนิสัยเช่นนั้น ข้าเองก็ไร้หนทาง ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้นางเย็นชาต่อเจ้าสักหน่อย ทำให้เจ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจบ้าง เจ้าวางใจเถิด คราวนี้ข้าจะไปพูดกับนาง จากนี้ไปมิอาจทำให้เจ้าช้ำใจอีกต่อไปแล้ว ข้าอยากสู่ขอเจ้าด้วยใจจริง ก่อนหน้าที่ทำนบรางวัลของท่านลุงจะวกกลับมา ข้าก็ได้พูดต่อท่านแม่แล้วว่าอยากแต่งเจ้าเป็นภรรยา” “แล้วอย่างไรเล่า” จ้าวชิงหยิงไม่ได้หันหน้ากลับมา ยังคงมีท่าทีอันเย็นเยียบ “นางบอกว่าไม่เห็นด้วย ดังนั้นท่านจึงไม่ได้กล่าวอันใด อีกอย่าง แม้นมิใช่ว่าท่านพ่อข้าถูกตกรางวัลเป็นโหวเย่ ท่านเองก็มิอาจเอ่ยน้ำคำที่จะไม่ทำให้ข้าช้ำใจพรรค์ได้หรอกกระมัง ช่างน่าขันนัก ในใจของท่านมิใช่ยังคิดว่าตนเองคือคนที่น่าหลงใหล มิอาจควบคุมความนึกคิดของตนเองได้ อ๋า อันที่จริงท่านเป็นเพียงแค่คนไม่กล้ารับผิด ท่านก็แค่คนหนึ่งที่ไม่มีจุดยืน ไม่กล้าคัดค้านความไส้ระกำของแม่ท่านเท่านั้น หลังจากกล่าวเสร็จ จ้าวชิงหยิงคร้านจะสบมองสีหน้าของหลี่ต๋า ผลักเปิดประตูออกและเดินเข้าไปด้านใน เท้าข้างหนึ่งของนางเพิ่งจะข้ามธรณีประตู ก็ได้ยินหลี่ต๋ากล่าวขึ้น “ญาติผู้น้อง เจ้าช่างไร้ปราณี หากไม่ใช่เพราะใบหน้านี้ของเจ้าน่ามอง แค่จากอุปนิสัยของเจ้า ล้วนมิอาจมีผู้ชายใดยอมแต่งกับเจ้าสักนิด” จ้าวชิงหยิงโกรธจนขึ้นสมอง หลี่ต๋ากับแม่หลินเหมาะจะเป็นคนครอบครัวเดียวกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ ตนเองไม่มีคุณสมบัติใดแต่กลับคิดว่าสูงส่ง ซ้ำยังดูดีไม่ว่ามาดูถูกผู้หญิง หรือว่าผู้หญิงควรจะประจบสอพลอพวกเขาอย่างนั้นหรือ หลี่ต๋ากับแม่หลินคิดว่าตนเองมีบัลลังก์จักรพรรดิภายในบ้านอย่างนั้นหรือ จ้าวชิงหยิงพ่นลมหายใจในทรวง อดีตชาติการแต่งงานอันล้มเหลวของนางก็เพราะนางมีหนาวในหัวใจ ชั่วชีวิตนี้หวั่นเกรงที่สุดคือถูกคนพูดว่านางขายไม่ออก ไม่อภิปรายถึงประเภทความรักใคร่ฉันท์สามีภรรยาล่ะก็ ตัวพยศนี้ ผู้ใดแตะต้องคนนั้นต้องมีอันเป็นไป จ้าวชิงหยิงหมุนกายกลับมา ซ้ำยังยิ้มให้แก่หลี่ต๋า รูปลักษณ์นางงดงามอย่างไร้คำบรรยาย รอยยิ้มเช่นนี้ประหนึ่งเทพธิดา ทว่าถ้อยคำต่อจากนั้นกลับคมกริบดุจมีดก็ไม่ปาน “ไม่มีผู้ชายยินดีแต่งกับข้าแล้วอย่างไร ท่านพ่อข้าถูกราชสำนักตกรางวัลขึ้นเป็นจงหยงโหว ภายใต้นามข้ายังมีท้องนาพันไร่ ต่อให้ไม่มีผู้ชาย ข้าอาศัยมรดกที่ท่านพ่อเหลือไว้ให้ พึ่งพาตนเอง ชั่วชีวันนี้ก็สามารถมีชีวิตอยู่ดีกว่าท่านเป็นพันเท่าหมื่นเท่า” หลี่ต๋าถูกแม่หลินประหงมเป็นเยี่ยมยอด ได้ยินถ้อยคำพรรค์นี้ เขาโกรธจนอกกระเพื่อม ใช้นิ้วชี้ไปยังจ้าวชิงหยิง “เจ้า...” จ้าวชิงหยิงเลิกเรียวคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าอะไรเล่า เอามือลงเสีย ใครใช้ให้เท้าเอานิ้วชี้มาที่ข้า” จ้าวชิงหยิงในอดีตชาติตอนที่ยังเป็นซูซิ้ว เนื่องจากอุปนิสัยนี้ของนาง จึงถูกฮูหยินซื่อจื่อโก๋กงตักเตือนอยู่บ่อยครั้ง ฮูหยินซื่อจื่อมักกล่าวว่านางเป็นธิดาในมเหสี ถูกตามใจมาแต่เล็ก ก็มิได้ปรับเปลี่ยนอุปนิสัยไร้เหตุผลและเกรี้ยวกราดเช่นนี้ของจ้าวชิงหยิงได้ องค์หญิงโชว่คังได้ยินเข้าก็หัวเราะฮ่าๆ จากคนในครอบครัวดูเด็กของตัวเองเหตุใดจึงดูแลดีเพียงนี้ องค์หญิงใหญ่จึงตรัส ซีเจี่ยเอ๋อมีฐานันดรเป็นหลานสาวของราชสำนัก พระเจ้าหลานเธอในองค์หญิงใหญ่ อารมณ์รุนแรงหน่อยจะเป็นไรเล่า คนอื่นทำผิดแล้ว ก็สมควรได้รับคำดุด่าของซีเจี่ยเอ๋อ จากอดีตจ้าวชิงหยิงแต่งเข้าจวนอ๋องเย่เพื่อเป็นพระชายาซื่อจื่อ สมรสเป็นสะใภ้ฮ่องเต้นับว่ายังเยาว์วัยนัก นางเองมิกล้าอวดเบ่งในจวนอ๋องเย่ ฉะนั้นจึงกำชับคนใต้บัญชา เจ้ากี้เจ้าการธุรกิจของบ้านมากมาย ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังคงถูกผู้อาวุโสในจวนอ๋องชิงชัง เล็ดลอดเข้าหูโจวเฉินทั่นเข้า ย่อมก่อเกิดความเดียดฉันท์อีกเป็นธรรมดา หลังจากจ้าวชิงหยิงคืนชีพอีกครั้งก็มิได้แน่นิ่ง นางเองก็เคยคิดเพราะอารมณ์ของตนเองย่ำแย่เกินไปจริงๆ ใช่หรือไม่ จึงได้ทำไพ่ดีในมือหลุดไป ตกอยู่ในจุดจบอันเวิ้งว้าง บางที อุปนิสัยอย่างหลิวอ้ายนั้น จึงจะเป็นประเภทที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชายได้ จ้าวชิงหยิงเก็บตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มจากนั้นก็อยากเปิดตัวแล้ว อย่างไรเสียชั่วชีวิตนี้นางเองก็ไม่คิดจะแต่งงานอีกครั้งแล้ว คืนชีพหนึ่งครั้งเดิมก็คือพรแห่งสวรรค์ นางไม่จำเป็นต้องดูแคลนตัวเองเพียงเพราะมุมมองของคนอื่น นางก็มีอุปนิสัยที่ผู้คนไม่พึงประสงค์ นางยอมรับ สิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ก็คือไม่แต่งงานอีก ไม่ไปทำร้ายครอบครัวคนอื่น ส่วนชีวิตที่เหลืออยู่นั้น ก็ให้นางใช้ตามอำเภอใจเถิด จากนั้นจ้าวชิงหยิงก็มองข้ามเรื่องนี้ไป ในอดีตคนอื่นถูกนางข่มจนไม่กล้าเงยหน้า ส่วนใหญ่แล้วมาจากฐานันดรของนาง ตอนนี้นางไม่มีราชสำนักยินโก๋กง องค์หญิงโชว่คังแล้ว แม้แต่การคุ้มกันของจวนอ๋องเย่ คนที่ถูกด่าไม่ต่อคำ หลังจากโกรธขึ้นหน้าก็ง่ายต่อการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง หลี่ต๋าก็เป็นเช่นนี้ ทุกประโยคของจ้าวชิงหยิงล้วนประดุจปลายมีดแหลมเสียบเข้าที่หัวใจของเขา ทว่าเขากลับไม่สวนกลับ หลี่ต๋ารุดรีบ ขณะนั้นก็พุ่งเข้ามายังจ้าวชิงหยิง นึกอยากทำให้จ้าวชิงหยิงประจักษ์ว่านางต่างกับผู้ชายหรือไม่กันแน่ จ้าวชิงหยิงเมื่อเห็นอากัปกิริยาของหลี่ต๋าก็สะดุ้งโหยง นางพลิกตัวไปมองห้องด้านบน ค้นพบว่าห้องข้างบนดับไปเรียบร้อยแล้ว ปรากฏความเงียบโดยเจตนา จ้าวชิงหยิงก็เข้าใจทันที คนบ้านนี้วางแผนล้อมเกาทัณฑ์อย่างป่าเถื่อนเอาไว้แต่เนิ่นแล้ว จ้าวชิงหยิงพรั่นกลัวเล็กน้อย ร่างกายนางนี้ไม่ค่อยแข็งแรง เดินเร็วสองก้าวก็ไอได้ จะสามารถขืนเรี่ยวแรงของผู้ชายบึกบึนอย่างหลี่ต๋าได้อย่างไรเล่า นางรู้ว่าตนเองไม่อาจถูกขังอยู่ด้านในห้อง มิเช่นนั้นนางก็ไร้ทางร้องขอชีวิต นางไม่รู้ว่าจะหยิบอะไรจากบริเวณมือดี มองก็ไม่ค่อยชัดจึงตบเข้าไปบนหน้าของหลี่ต๋า หลี่ต๋าถูกฝุ่นผงจากด้านบนพร่าตา กะพริบตาไม่หยุด จ้าวชิงหยิงฉวยโอกาสนี้วิ่งออกไปยังประตู ถลาออกไปนอกประตูสวนอย่างไม่คิดชีวิต ดวงตาหลี่ต๋ามองสิ่งของไม่ชัดแจ้ง ชั่วขณะที่ไม่รู้ตัวก็ปล่อยให้จ้าวชิงหยิงวิ่งผ่านลำตัวไป รอจนในที่สุดดวงตาก็เริ่มดีขึ้น จากนั้นหลี่ต๋าก็พ่นหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง สาวเท้าตามจ้าวชิงหยิงไป จ้าวชิงหยิงเพิ่งจะเปิดกลอนประตู พบว่าหลี่ต๋าตามทันเป็นที่เรียบร้อย นางสติสับสน ออกแรงกระแทกบานประตูเข้าใส่หน้าหลี่ต๋าอย่างจัง ตนเองก็วิ่งซวนเซออกมาด้านนอก ทว่าเรือนร่างแบบบางอย่างจ้าวชิงหยิงนั้นจะสามารถมีเรี่ยวแรงอะไรได้ นางถูกหลี่ต๋าตามทันอย่างฉับไว หลี่ต๋าใช้มือข้างเดียวก็ฉุดจ้าวชิงหยิงเอาไว้ได้ จ้าวชิงหยิงทั้งเตะทั้งตี ก็ล้วนสลัดไม่หลุด คนในหมู่บ้านนี้แซ่หลี่ ชาวบ้านทั้งดุร้ายและผอดแผก ต่อให้ได้ยินเสียงอันผิดปกติของจ้าวชิงหยิงที่นี่เข้า เกรงว่าก็ไม่อาจออกมาช่วยนาง จ้าวชิงหยิงแอบเกลียดที่ตนเรี่ยวแรงน้อย ดูด้วยตานางก็จะถูกนำตัวกลับสู่สวนของแม่หลินแล้ว จ้าวชิงหยิงนึกขึ้นได้ท่ามกลางความรีบร้อน นางเองก็เคยเป็นคุณหนูแห่งตำหนักยินโก๋กง บรรดาคนเหล่านี้มักจะได้รับความสำคัญต่อความปลอดภัย ทุกวันเข้าสู่ราตรีมักจะจัดคนมีเฝ้าที่กำแพงสวน นี่เป็นกรณีสำหรับคนในยุคเฉิงผิง เช่นนั้นอ๋องเย่เล่า? จ้าวชิงหยิงไร้หนทางแล้ว ตัดสินใจเสี่ยงดวงสักตั้ง นางไม่สนว่าจะเป็นหญิงสูงศักดิ์มากี่ปี จากนั้นตะเบ็งคอร้องลั่น “รัชทายาทอ๋องเย่ ท่านตอบตกลงข้าแล้วว่าจะปกป้องข้าเป็นอย่างดี ท่านจะปล่อยให้ข้าถูกคนรังแกหรือ รัชทายาทอ๋อง...” จ้าวชิงหยิงยังไม่ทันจะตะโกนจบ ก็รู้สึกถึงลมวูบหนึ่งพัดวูบอยู่ตรงหลังคอ จากนั้นแรงตรงลำแขนก็คลายลง หลี่ต๋าถูกตีสลบไปแล้ว จ้าวชิงหยิงแน่นิ่ง รีบชักมือของตนเองกลับ ออกแรงเช็ดตรงที่หลี่ต๋าเคยสัมผัส คนที่ลงมือนิ่งเงียบดุจเจดีย์เหล็ก สถิตนิ่งอยู่ด้านหลังอย่างทะมึนดำ หากไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะช่วยชีวิตจ้าวชิงหยิง นางคงเสียขวัญจนเกือบตายแน่ “ขอบคุณ...” จ้าวชิงหยิงมองคนเบื้องหน้า ลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว นางพยายามเผยรอยยิ้มอ่อนโยนไร้พิษภัยออกมา ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ “มิทราบว่าวีรบุรุษท่านนี้เรียงนามว่าอย่างไร” “โจวม่าวเฉิน” บุรุษผู้เหมือนหมีท่านนี้มองจ้าวชิงหยิงด้วยสายตาอันแปลกประหลาดนัก เขาอดกลั้น ท้ายที่สุดก็กลั้นไม่อยู่ “เมื่อครู่เจ้าตะโกนหาท่านอ๋องของพวกเรา?” “ใช่แล้ว” จ้าวชิงหยิงยิ้มอย่างอ่อนโยน พยายามแสดงด้านสงบเสงี่ยมของตนเองต่อผู้มีพระคุณอย่างสุดความสามารถ “ผู้มีพระคุณโจว ท่านสามารถส่งข้าไปยังจวนอ๋องเย่ที่นั่นได้หรือไม่ ท่านเองก็เห็นแล้ว สถานที่แห่งนี้...ข้าแทบจะอยู่ต่อไปมิได้แล้ว” แววตาของโจวม่าวเฉินที่มองจ้าวชิงหยิงไร้หนทางอธิบายเป็นภาษาได้ จ้าวชิงหยิงถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้รอยยิ้มก็ทื่อไป นี่หมายความว่าอย่างไร เมื่อครู่นางร่ำไห้ด่าทอคนดูเราะร้ายมากเกินไป ทำให้หลงเหลือความไม่ประทับใจแก่ผู้คนแล้วหรือไร โจวม่าวเฉินคือผู้ที่ถูกอ๋องเย่จัดพลมาเฝ้าคุ้มกันบุตรีของจ้าวเชียน ตอนที่โจวม่าวเฉินรับหน้าที่นี้ยังประหลาดอยู่นัก ไฉนท่านอ๋องจึงใส่ใจแม่นางน้องท่านนี้ ยามนี้เขานึกได้ จ้าวเชียนกับเขาเป็นมิตรรบกัน พี่น้องที่เหมือนแท่งเหล็ก บุตรีของเขาก็คือบุตรีของโจวม่าวเฉิน เฝ้าเด็กสาวตัวน้อยทั้งคืนก็เหมาะการ คนร่ำวิทยายุทธหูตาว่องไว ตอนที่โจวม่าวเฉินฟุบอยู่ด้านนอกได้ยินจ้าวชิงหยิงด่าคนเข้า เขาก็รู้สึกว่าจ้าวเชียนพรรณนาถึงบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนไม่ใคร่มั่นคงนัก ความผุดผ่องของท่านพ่อเขาคนนี้ก็หนักหนาเกินไปแล้ว แต่ว่าไม่อาจมิพูดได้ ได้ยินเด็กสาวคนนี้ด่าคน นับว่ายังมีพลังนัก ตอนที่มือเท้าของหลี่ต๋าไม่แน่นิ่ง ในทรวงโจวม่าวเฉินสบถคำหยาบ พลันก็รีบเข้ามาช่วยจ้าวชิงหยิง แต่ว่า จะอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึง เขามาช้าเพียงเสี้ยว ได้ยินถ้อยคำอันพึงใจเพียงนี้จากปากของจ้าวชิงหยิง จ้าวชิงหยิงตะโกนถึงใคร อ๋องเย่? สีหน้าของโจวม่าวเฉินดำทะมึนเหมือนหมี ทว่าบทในใจก็คิดติดต่อกันเรื่อย จ้าวชิงหยิงรู้สึกได้ว่านักวรยุทธข้างกายท่านนี้สมองนางแวบแล้วแวบเล่า ในใจนางก็อดระรัวไม่ได้ นางกล่าวอะไรผิดไปแล้วหรือ ในสวนของผู้ใหญ่บ้าน โจวห้าวหรันยังคงจุดตะเกียงตรวจสอบจดหมายเหตุของเมืองหลวง เรื่องภายในเมืองหลวงและทัพทหารขณะนี้ไม่อาจละทิ้งผู้คนได้ นับประสาวันพรุ่งเกรงว่าจะไม่อาจตามทัพคนจำนวนมากตามแผนการได้ เรื่องราวเหล่านี้เริ่มออกนอกแผนการขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าใด บานประตูก็ถูกคนเคาะสามที นี่คือกฎกลางกองทัพ โจวห้าวหรันไม่เงยหน้า พลางกล่าว “เข้ามา” โจวม่าวเฉินเข้ามาในห้อง พูดด้วบใบหน้าบึ้งตัง “ท่านอ๋อง บุตรีแห่งจ้าวเชียนต้องการพบท่าน” โจวห้าวหรันชั่วขณะนั้นก็ชะงักลง คราวนี้จึงเอาบุตรีจ้าวเชียนกับจ้าวชิงหยิงผสานเข้าด้วยกัน โจวห้าวหรันนึกถึงแม่นางน้อยผู้นี้แล้วก็กดหัวคิ้วโดยไม่รู้ตัว “นางเป็นอะไร” “นางบอกว่าวันพรุ่งจะตามท่านไปด้วย วันนี้ก็ไม่กลับไปแล้ว ต้องการพักกับท่านที่นี่” โจวม่าวเฉินสีหน้าบึ้งตังเข้าไปใหญ่ แต่ว่าแววตากลับกำลังลอบสังเกตโจวห้าวหรัน เขาจ้องมองท่านอ๋องผู้ไร้ความปราณีกดหัวคิ้ว ก่อนปรนลมหายใจเบาๆ “ก็บอกแล้วว่าไม่อาจทิ้งนางได้...เอาเถิด ในเมื่อนางสบายใจเช่นนี้ เช่นนั้นก็ให้นางพักอยู่นี่เถิด หมิงต๋า เจ้าไปเก็บกวาดห้องๆ นั้นของข้าออกมา แล้วให้จ้าวชิงหยิงพัก ตอนกลางคืนก็จัดพลไปลาดตระเวนหลายๆ คนที่ห้องนั้น ผลัดเปลี่ยนอย่างขันแข็งหน่อย” โจวห้าวหรันเอ่นจบจากนั้นก็หยุดลง ก่อนเสริมอีกหนึ่งประโยค “เจ้าไปขอเครื่องนอนใหม่ทั้งหมดสักหลายๆ ชุดกับผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านแซ่หลี่ ลงไว้ในบัญชีของข้า วันพรุ่งไปชำระด้วยกัน” หลังจากกล่าวจบ โจวห้าวหรันเองก็ค่อนข้างไม่แน่ใจ “เลี้ยงดูแม่นางน้อยเช่นนี้ยังต้องการอะไรอีก ยังต้องติดตั้งโต๊ะเครื่องแป้งด้วยหรือไม่” ปัญหาข้อนี้ยากเกินไปสำหรับชายชาตรีเยี่ยงพวกเขา จรทัพออกศึกพวกเขาล้วนสามารถกล่าวอย่างฉะฉาน ทว่าแม่นางน้อยอ่อนแอปวกเปียกเฉกเช่นจ้าวชิงหยิงนั้น... โจวห้าวหรันเพียงมองสีหน้าของไม่กี่คนที่อยู่ภายในห้องก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่มีหวัง เขานึกย้อนกลับไปยังเค้าโครงบ้านในจวนอ๋องเย่ พลางกล่าว “ให้ฮูหยินของผู้ใหญ่บ้านไปตระเตรียมเถิด ตอนนี้สิ่งของมากมายอาจติดตั้งไม่ทันการชั่วยามครึ่งแล้ว รอวันพรุ่งไปเมืองผู้พิพากษาค่อยว่ากัน” หลังจากโจวห้าวหรันกำชับเสร็จ ก็พบว่าโจวม่าวเฉินสถิตอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับ โจวห้าวหรันขยับเรียวคิ้วเบาๆ น้ำเสียงไม่ดังไม่แผ่ว ราวกับเป็นคำถามทั่วไป “เป็นอะไรไป” โจวม่าวเฉินดุจเพิ่งตื่นจากนิทรา พลันยืนตรงคำนับทางการทหารแก่โจวห้าวหรัน จากนั้นก็ถอยร่นออก “ข้าน้อยรับบัญชา” จ้าวชิงหยิงรออยู่นอกสวนสักพัก จากนั้นก็ถูกสะใภ้ผู้ใหญ่บ้านนำทางมาภายในห้องอันกว้างขวางห้องหนึ่ง ถึงแม้ตอนที่นางเข้ามาในห้องจะรู้สึกว่าโดยรอบค่อนข้างแปลกไปหน่อย แต่ว่าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร นางลอบอุทานว่าเรือนผู้ใหญ่บ้านที่แท้ก็มั่งคั่งจริงๆ เวลานี้ยังให้เพิ่มห้องให้นางชั่วคราว ล้วนกว้างขวางและอบอุ่นเช่นนี้ ระหว่างทางมาจ้าวชิงหยิงพูดกับโจวม่าวเฉินดีแล้ว เรื่องที่แม่หลินก่อไม่จำเป็นต้องกล่าวต่ออ๋องเย่ เรื่องราวเช่นนี้ไม่ได้สร้างสรรค์เลย จ้าวชิงหยิงไม่ได้สนใจชื่อเสียงของตนเอง นางเพียงรู้สึกว่า อ๋องเย่นับว่าเป็นวีรบุรุษในดวงใจของนางแต่เยาว์ เรื่องส่วนตัวที่ไม่ค่อยดีพรรค์นี้ของนาง ไม่ต้องเรียนต่ออ๋องเย่จะดีกว่า จ้าวชิงหยิงนั่งอยู่บนเครื่องนอนอันนุ่มนิ่ม นึกย้อนกลับไปที่วันนี้ทั้งวัน ท้ายที่สุดสิ่งที่นางคิดมาโดยตลอดได้ถือกำเนิดขึ้นในความเป็นจริงแล้ว เวลานี้นางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็อาจจะเสียใจภายหลังเล็กน้อย จ้าวชิงหยิงเอนแผ่นหลังเข้าในเครื่องนอน ปลายจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นของแสงแดดที่มีเฉพาะในเครื่องนอนที่ผึ่งแดดเสร็จ นางจ้องหัวเตียงพักหนึ่ง พลันกระตุกรอยยิ้มกว้างออกมา ชีวิตพิลึกดุจฝันร้ายในที่สุดก็สิ้นสุดลง จากนี้ทั้งครอบครัวแม่หลินจะเป็นจะตาย จ้าวชิงหยิงล้วนไม่นึกใส่ใจ รอวันพรุ่งนางรีบตื่นแต่เช้ามืด เปิดประตูจ้องอ๋องเย่ อย่างไรเสียไม่ว่าจะอย่างไร นางล้วนต้องพึ่งอ๋องเย่พานางออกไป รอจนหาเมืองเล็กๆ อันแสนสงบและเรียบง่ายได้แล้ว อ๋องเย่ก็ไม่จำเป็นต้องรับนางเป็นภาระอีกแล้ว ชั่วชีวิตที่เหลือ ยามที่จ้าวชิงหยิงจุดธูปเทียนสักการะมอบแด่จ้าวเชียน ท่านแม่ จะต้องขอพรให้อ๋องเย่อายุยืนนานด้วย บุตรชายของเขาทำร้ายนางอย่างทารุณเพียงนี้ จ้าวชิงหยิงเพียงแค่ร้องขออ๋องเย่ช่วยปลดปล่อยนาง ก็ไม่นับว่ามากเกินไปกระมัง จ้าวชิงหยิงคิดเรื่องในใจปนเปกันไปหมด จึงผลอยหลับไปทั้งอย่างนี้ นี่เป็นความรู้สึกปลอดภัยที่หาได้ยากหลังจากที่นางฟื้นคืนมา จ้าวชิงหยิงหลับยาวถึงวันพรุ่ง รอดวงตามองเห็นแสงทิวาทรงกลดจากด้านนอก จ้าวชิงหยิงก็แน่นิ่งอยู่ชั่วหนึ่ง จากนั้นจึงตื่นขึ้นอย่างแข็งทื่อ เวรแล้ว จ้าวชิงหยิงลนลานมวยผม คลุมอาภรณ์และวิ่งออกไปข้างนอด เมื่อผลักเปิดประตู หลังจากที่นางมองเห็นคนผู้นั้นที่อยู่กลางสวน ตนเองก็นิ่งงัน โจวห้าวหรันได้ยินเสียงก็หันหน้ามอง แสงแดดทอดบนเรือนกายเขา เสมือนมีลำแสงทองส่องออกมา “ตื่นแล้ว?” จ้าวชิงหยิงมองอย่างนิ่งทื่อ ปิดประตูลงเบาๆ โจวห้าวหรันหันหน้ากลับไปหวีผมขาวราวหิมะต่อ เรียวปากกลับแฝงรอยยิ้ม โจวม่าวเฉินมองพลางลูบไม่โดนกระหม่อม “คุณหนูตระกูลจ้าวเป็นอันใดไป เหตุใดจึงกลับออกไปแล้ว” โจวห้าวหรันยิ้มบางพลางส่ายหน้า และไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร ผ่านไปสักพัก จ้าวชิงหยิงผลักเปิดประตูออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้พวงแก้มของนางซีดขาว เรือนผมเรียบร้อย ถึงแม้จะมิทันได้ประทินแป้ง แต่ว่ารูปเค้าอันโดดเด่นแทบจะพร่างพราวกว่าแสงทิวา ไม่รู้ว่าโจวห้าวหรันไปเอารถม้าจากที่ใดมาให้นางคันหนึ่ง จ้าวชิงหยิงปลายคางค้างเล็กน้อย ขึ้นรถม้าด้วยอิริยาบถนุ่มนวล อย่างคุณหนูสูงศักดิ์สุดกำลัง หลังจากโจวห้าวหรันเห็นเข้า แววตาที่ไม่ได้ระริกเป็นหมื่นปีก็เปื้อนด้วยรอยยิ้ม เขาเห็นว่าขบวนคนเตรียมการเสร็จแล้ว ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจนและน่าเกรงขาม “เคลื่อนพล” “รับทราบ” คำตอบรับนั้นดังและเต็มไปด้วยพลังแห่งบุรุษ สะเทือนพลคน เสียงสะท้านเมฆา ต่อมาก็เป็นเสียงขึ้นควบม้าอันกึกก้อง โจวม่าวเฉินจนกระทั่งนั่งบนรถม้าล้วนยังนึกแปลกใจ ท่านอ๋องยิ้มอะไรเล่า เหตุใดเขาจึงมองไม่ออกว่ามีอะไรน่าขัน
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 5 ป่าเถื่อน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A