ตอนที่ 6 งานวิวาห์   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 6 งานวิวาห์
ตอนที่ 6 งานวิวาห์ จ้าวชิงหยิงได้นั่งบนรถม้าอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้นั่งมานาน ไม่รู้ว่าควบปุเลงมาเนิ่นนานเท่าใด เสียงนอกม่านรถดังเจี้ยวจ้าวขึ้นมา จ้าวชิงหยิงคาดคะเนว่าเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว และนั่นเอง ผู้เฝ้าเมืองมองเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ของอ๋องเย่ แม้แต่จะตรวจสอบล้วนมิกล้า ก้มหน้าต่ำให้ขบวนรถม้าของอ๋องเย่เข้าสู่เมือง ในเมืองเชี่ยนลิ่งได้ยินอ๋องเย่ที่พูดชัดเจนว่าจะจากไปเมื่อวานแท้ๆ กลับมาเยือนด้วยตนเอง เขาตกใจพรั่น รีบร้อนไปนำผู้ช่วยรัฐมนตรีออกมาต้อนรับขับสู้ “ยินดีต้อนรับด้วยเคารพรัชทายาทอ๋องเย่ ท่านอ๋องมาเยือนด้วยตนเอง ข้าน้อยไม่การต้อนรับอย่างเหินห่าง ขอท่านอ๋องโปรดอภัย” “ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถิด” มือของโจวห้าวหรันกุมบังเหียนหลวมๆ นั่งคาบบนอาชาอย่างสูงส่งเกรียงไกร แม้แต่น้ำเสียงก็ล้วนแฝงความสุขุม “ละแวกนี้มีคฤหาสน์สะอาดสะอ้านอยู่หรือไม่” คฤหาสน์? อ๋องเย่วางแผนจะพักอยู่ที่นี่กี่วัน เชี่ยนลิ่งกระดากเล็กน้อย เขากวาดสำรวจรถม้าด้านหลังอ๋องเย่แวบหนึ่ง เดาได้เลือนรางว่าอ๋องเย่เสาะหาคฤหาสน์สะอาดก็เพราะคนท่านนี้ ได้ยินว่าอ๋องเย่สูญเสียภรรยากว่าสิบปีแล้ว ในสมองของเชี่ยนลิ่งก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา ก็มิกล้าคิดต่อไป อากัปกิริยาของเขายิ่งนอบน้อมมากขึ้นทุกที “ท่านอ๋อง ท่านมาแวะเวียนเเยี่ยมเยียนทำให้อำเภอเล็กๆ เจริญรุ่งเรืองแล้ว ข้าน้อยจะกล้าให้ท่านไปเช่าอยู่ข้างนอกได้เยี่ยงไร เรือนพักของข้าน้อยยังนับว่าไม่เข้าตา แม้นท่านอ๋องไม่รังเกียจ สามารถพำนักอยู่บ้านพักเล็กๆ ในจวนทำการได้” โจวห้าวหรันสำรวจเชี่ยนลิ่งคนนี้แวบหนึ่ง เชี่ยนลิ่งผู้นี้ว่าการได้เรื่อง คำราชการก็เอ่ยมาเป็นชุดๆ บังเหียนในมือของโจวห้าวหรันกำแน่น กำเอาไว้จนเคราหิมะค่อนข้างกระเพื่อม พลางกล่าว “ไม่จำเป็น หาเรือนแรมอีกอันเถิด” ถ้อยคำของโจวห้าวหรันเรียบง่าย แต่ว่าได้ยินถึงภยันตรายแผ่ออกมา แผ่นหลังของเชี่ยนลิ่งผุดเหงื่อเม็ดเป้ง เขาไม่กล้าเรียกร้องสิทธิแก่ตนเองอีก หมอบกายลงพลางกล่าว “ข้าน้อยรับบัญชา ท่านอ๋องกรุณารอสักครู่” จ้าวชิงหยิงรับรู้ได้ว่ารถม้าหยุดลง ถึงแม้ในรถม้าจะมีนางเพียงคนเดียว แต่ว่านางยังคงนั่งอย่างสงบเสงี่ยม มิได้เลิกม่านขึ้นอย่างสนเท่ห์ ผ่านไปไม่นาน รถม้าก็สัญจรเดินทางต่อไป จ้าวชิงหยิงคะเนว่าตัดผ่านสองสามโค้งไป ล่างซุ้มรถก็มีเสียงปึ้กปั้กดังขึ้น จากนั้นเสียงของโจวม่าวเฉินก็ดังขึ้นจากข้างนอก “คุณหนูหลิน ลงจากรถเถิด” อันที่จริงจากการอบรมหลายปีของจ้าวชิงหยิง รูปร่างโฉมหน้าของนางไม่อาจถูกผู้ชายที่นอกจากบิดาและพี่ชายมองเห็นได้ รถม้าก็จำเป็นต้องจอดอยู่ประตูสอง ลงจากรถกลางถนนถือว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง แต่ว่ายามนี้เป็นเพียงอำเภอเมืองเล็กๆ เท่านั้น และจ้าวชิงหยิงเองก็มิได้เรียกตัวคืนฐานันดรเดิม เช่นนั้นก็ไม่ได้มีอะไรจะต้องใส่ใจแล้ว จ้าวชิงหยิงยกชายกระโปรงลงจากรถด้วยตัวเอง นางเงยหน้ามอง พบว่าพวกเขาหยุดอยู่ตรงหน้าของเรือนพักสองทวารแห่งหนึ่ง จ้าวชิงหยิงค่อนข้างอ่านความคิดของอ๋องเย่ไม่ออก ทำเช่นนี้อ๋องเย่หมายความว่าอย่างไร จ้าวชิงหยิงจ้องอ๋องเย่ โจวห้าวหรันกับทำตัวตามปกติ ยืนอยู่เบื้องหน้าของฝูงชน เขากำลังสดับตรับฟังผู้ใต้บัญชารายงานเรื่องราวอะไร สังเกตได้ถึงสายตาของจ้าวชิงหยิง เขายกมือขึ้น หยุดถ้อยคำของผู้ใต้บัญชาเอาไว้ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าน้อยๆ แก่จ้าวชิงหยิง “เข้าไปเถิด” จ้าวชิงหยิงมองซ้ายแลขวา ชี้เข้าที่ตนเองอย่างฉงนตะลึง โจวห้าวหรันพยักหน้า จ้าวชิงหยิงได้รับความโปรดปรานให้เดินเข้าไปด้านในเป็นคนแรก โจวห้าวหรันตามหลังนาง จากนั้นจึงเป็นฝูงชนคนที่เหลือ พวกเขาอยู่ที่นี่เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นโจวห้าวหรันจึงทำเพียงซื้อเรือนพักสองประตูหลังหนึ่ง อันที่สองจากหนึ่งในนั้นคือเหลือให้จ้าวชิงหยิงโดยลำพัง โจวห้าวหรันนำทัพคนสนิทพักอยู่ด้านหน้า มีเรื่องราวอันใดก็สามารถเร้าพวกเขาได้ ความปลอดภัยของจ้าวชิงหยิงไม่น่าฉงนเลย ตอนที่ออกจากบ้านเช้านี้จ้าวชิงหยิงไม่มีสัมภาระ นางพักอยู่บ้านแม่หลินหกปีแล้ว แต่ว่าสัมภาระกลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย สิ่งเกี่ยวพันเดียวก็คือจดหมายเหล่านั้นที่จ้าวเชียนส่งให้นาง จ้าวชิงหยิงเก็บห่อข้าวของเหล่านี้ไว้ตั้งแต่เนิ่นแล้ว ตระเตรียมหนีออกไปตลอดเวลา นางไม่อยากมองเห็นคนในครอบครัวแม่หลินนั่นอีกแม้เพียงแวบเดียว ดังนั้นนางจึงไม่ได้กลับไป แต่วอนโจวม่าวเฉินไปบ้านแม่หลิน รับเอาห่อสัมภาระของนางมา อย่างไรเสียแม่หลินก็คือท่านป้าของจ้าวชิงหยิง อีกทั้งได้รับการเลี้ยงดูแบบดั้งเดิมมาหกปี ความอัปมงคลในคำด่าทอบนเรียวปากของจ้าวชิงหยิง อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าควรจะเอาพวกเขามาอย่างไร และยังสามารถเอามาได้เท่าใด เบี้ยเงินเหล่านั้นที่แม่หลินหักริบไว้จ้าวชิงหยิงไม่คิดจะตามคืน ก็คิดเสียว่าเป็นค่าประหงมดอกไม้แล้วกัน ทว่าวิธีการของหลี่ต๋าเมื่อวานนี้ กลับทำให้จ้าวชิงหยิงรังเกียจขึ้นมาจริงๆ แล้ว จ้าวชิงหยิงเติบโตตั้งเพียงนี้ ไม่ว่าฐานันดรจะเป็นซูซิ้วหรือว่าจ้าวชิงหยิง ล้วนไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน นางโกรธจนแทบไม่ไหวแล้ว ทว่าตนเองพบว่าไร้ซึ่งสถานะ ไม่อาจทำอันใดหลี่ต๋าได้ และนางเองก็ไม่รู้ว่าจะไปหาผู้ใดมาช่วยเหลือ จ้าวชิงหยิงคิดว่าตลอดทาง สุดท้ายทำได้เพียงโกรธแค้นอยู่กับตัวเอง จ้าวชิงหยิงเดินเข้าด้านในตัวคฤหาสน์ ตอนที่เข้าสู่ประตู โจวม่าวเฉินฉวยตอนที่คนรอบด้านไม่ทันสังเกต ลอบเอ่ยกับจ้าวชิงหยิงเสียงผะแผ่ว “คุณหนูหลิน ท่านอย่ากลัว คืนวานนี้ซ้อมเด็กหนุ่มนั้นในกลางดึกอยู่พักหนึ่ง วันนี้ตอนที่ข้าไปรับข้าวของ พวกเขาทั้งบ้านตกใจกลัวจนหัวหด แม้แต่ก้นก็ไม่กล้านั่ง” เห็นชัดว่าเป็นถ้อยคำหยาบคายแท้ๆ จ้าวชิงหยิงกลับหัวเราะคิกคักออกมา นางหุบรอยยิ้ม พลางกล่าวอย่างจริงจัง “ขอบคุณท่านลุงโจว” โจวม่าวเฉินถูกเรียกว่า “ท่านลุงโจว” ประโยคนี้อย่างผะแผ่ว เขาลอบทอดถอนใจที่แท้กำเนิดบุตรีดีกว่า ได้ยินน้ำเสียงละเอียดอ่อนเยี่ยงนี้ เอื้อนเอ่ยอย่างสุภาพ ดีกว่าเจ้าลูกชายเหล่านั้นที่บ้านเขาเป็นไหนๆ โจวม่าวเฉินมองจ้าวชิงหยิง พลันเกิดความคิดแปลกๆ จึงเอ่ยถาม “คุณหนูหลิน ไม่ใช่ว่าลุงเห็นเจ้าด้อยค่า ลุงโจวชอบเด็กสาวอย่างเจ้านี้จริงๆ ประจวบกับที่บ้านข้ามีเด็กหนุ่มไม่เอาถ่านอยู่สองสามคน อายุห่างจากเจ้าไม่มากนัก ล้วนยังมิได้แต่งงาน เจ้าลองคิดดูว่าอยากแต่งเข้าเป็นสะใภ้บ้านลุงโจวหรือไม่ ขอเพียงเจ้าเต็มใจ เจ้าสะดุดตาคนใดลุงโจวก็จะให้เด็กคนนั้นขอสู่เจ้า” เดิมทีจ้าวชิงหยิงแย้มยิ้ม ได้ยินถ้อยคำนี้ รอยยิ้มก็ค่อยๆ แข็งลง “ลุงโจว ขอบคุณเจตนาดีของท่าน ไม่ต้อง...” “เจ้าไม่ต้องเกรงใจ หากว่าเจ้าเต็มใจ เด็กหนุ่มไม่กี่คนในบ้านของพวกเรายังร้อนรนเชียว” “ไม่ต้องจริงๆ...” หลังจากกล่าวคำลาโจวม่าวเฉินที่มีใบหน้าเสียใจ จ้าวชิงหยิงก็หมุนกายเดินเข้าไปในห้อง หลังจากเข้าห้อง นางพลันปรนลมหายใจพรืดยาว นางดูมีท่าทีว่าอยากแต่งงานหรือ ทำไมคนทั้งหมดจึงนึกอยากพูดเรื่องวิวาห์กับนาง โจวม่าวเฉินยังคิดว่าบังคับบุตรชายของตนเองด้วยซ้ำไป จ้าวชิงหยิงเดินไปยังขอบสวนอย่างเนิบนาบ นางมองไปบนรอยแตกละเอียดบนโต๊ะไม้ท้อกลม รู้สึกทึ่งเล็กน้อย อ๋องเย่รีบกลับสู่เมืองหลวง คาดว่าน่าจะเพราะโจวเฉินทั่นกระมัง ใช่สิ อดีตชาตินางถูกบดบังความจริงจากภูมิหลังครอบครัว คิดว่าตนเองตนเองเก่งในการวางหมากล้อมและงานศิลปวิชาการจริงๆ ผู้ดูแลบ้านเองก็มือดี ดังนั้นคนอื่นพูดว่านางดีก็ชื่นชอบนางขึ้นมาจริงๆ ทว่าเมื่อสลัดรัศมีแห่งครอบครัว นางก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้ว จ้าวชิงหยิงนึกถึงตรงนี้ก็หัวเราะเฝื่อน คิดแล้วก็ใช่ หากว่านางเป็นผู้ชาย นางเองก็มิอาจชื่นชอบตัวเองที่เป็นผู้หญิงที่อาศัยบารมีของครอบครัวและพระอัยกีอย่างผยอง ดังนั้นหนอ หากว่านางอยากจะตอบแทนโจวม่าวเฉินจริงๆ ก็ไม่สามารถแต่งงานกับคนที่ทำลายผู้อื่นได้ โจวม่าวเฉินมีสีหน้าเศร้าหมองส่งจ้าวชิงหยิงเข้าห้องด้วยสายตา จากนั้นก็ปรนลมหายใจย้อนกลับไปเบื้องหน้า โจวห้าวหรันกำลังจัดการกับเอกสารเร่งด่วนในห้องอักษร ได้ยินโจวม่าวเฉินทอดถอนใจ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง พู่กันหมึกในมือไม่หยุด ก่อนเอ่ยถามหนึ่งประโยคตามอำเภอใจ “เจ้าเป็นอะไรไปอีกแล้วเล่า” “ข้าเห็นว่าคุณหนูตระกูลจ้าวเติบโตอย่างหลักแหลม เลมปากก็ช่างแหลมคม วันหน้าแต่งเข้าบ้านจะต้องเป็นความสุขของบ้าน ข้าเป็นพ่อสื่อให้แก่เด็กหนุ่มของข้าเหล่านั้นอย่างหน้าด้านๆ นางปฏิเสธแล้ว อัย ถึงแม้เดิมทีจะเดาได้อยู่แล้ว แต่ว่ายังค่อนข้างน่าเสียดาย...” โจวห้าวหรันยิ้มบางเบา เด็กสาวคนนั้นไม่เพียงแต่หลักแหลมแบบทั่วไป ซ้ำยังกล้าหาญใจป้ำ หากไม่ใช่ว่าเป็นบุรุษที่มีพื้นฐานความสามารถ เกรงว่ายังจะทำให้นางยอมแพ้ไม่ได้ ดังนั้นโจวม่าวเฉินปิดประตูตีแมวเช่นนี้ โจวห้าวหรันไม่แปลกใจจริงๆ เนื่องจากเมื่อวาน เขาเพียงแต่ข้ามไปสองประโยค ยังถูกเด็กสาวคนนี้ถอนหงอกเอาจนได้เชียว แต่ว่าพูดถึงจ้าวชิงหยิงเป็นความสุขของบ้าน กลับทำให้โจวห้าวหรันนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา เขาเขียนจดหมายไปสู่ขอลูกสะใภ้กับองค์หญิงโชว่คังด้วยตัวเอง ปลายปีที่แล้วก็เสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย โจวห้าวหรันยังจำได้ ลูกสะใภ้คนนี้มีนามเรียกว่าซูซิ้ว จิตใจเที่ยงตรงมีคุณธรรม โจวห้าวหรันยังค่อนข้างพึงพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้นัก เพียงแต่น่าเสียดายที่ไร้วาสนา ท้ายที่สุดก็ไม่อาจยื้อได้ ชื่อซื่อตายไปสิบปีแล้ว ชายาอาวุโสเองก็ป่วยด้วยโรคชราเนิ่นนาน ในจวนอ๋องเย่เหลือเพียงโจวห้าวหรันและโจวเฉินทั่นสองชายชาตรี ในบ้านไม่มีสตรีขับสู้ เรื่องการแต่งงานของสองพ่อลูกก็ล่าช้าไปปีต่อปี โจวห้าวหรันเองก็ไม่นึกอยากแต่งงานอีก แน่นอนว่าเขาเองก็คร้านจะพะวงใจต่อเรื่องวิวาห์ของโจวเฉินทั่น ดังนั้นตอนที่โจวเฉินทั่นส่งหยกปลาครึ่งตัว วานให้เขาหาเจ้าของของหยกอันนี้ให้กะทันหันนั้น โจวห้าวหรันยังประหลาดใจอยู่ไม่น้อย โจวเฉินทั่นเพิ่งจะสิบหกปี ก็รู้วิธีการหาภรรยาให้แก่ตนเองเสียแล้ว? โจวห้าวหรันไม่มีแนวทางเสนอแนะอันใด อย่างไรเสียไม่ว่าทางฝ่ายหญิงจะมีภูมิหลังครอบครัวอย่างไร แต่งเข้าบ้านพวกเขาก็ล้วนไม่แตกต่างกัน ในเมื่อโจวเฉินทั่นโปรดปราน เช่นนั้นเขาในฐานะพ่อก็ไม่จำเป็นต้องสาดน้ำเย็น เพียงแต่เวลานั้นโจวห้าวหรันยังคงแก้ภัยจลาจล ณ แคว้นหนาน เขาไม่ว่างไปตรวจสอบหยกพกของผู้หญิง จึงเขียนจดหมายขึ้นหนึ่งฉบับ ส่งแนบกลับไปเมืองหลวงพร้อมกับหยกพก วานองค์หญิงโชว่คังเสาะหาผู้หญิงคนนี้ องค์หญิงโชว่คังคือพระมาตุจฉาของโจวห้าวหรัน ปีนั้นอ๋องเย่อาวุโสยังไม่ทันได้อวยยศได้รับการดูแลจากองค์หญิงโชว่คังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นอ๋องเย่อาวุโสและพระชายาอ๋องเย่จึงถวิลต่อมิตรภาพขององค์หญิงโชว่คังเป็นเนืองนิจ ต่อมาหลังจากที่รอโจวห้าวหรันมีอำนาจเหนือกว่าองค์หญิงโชว่คัง โจวห้าวหรันเองก็ไม่ได้ตัดขาดการสัญจรไปมาจากตำหนักองค์หญิงใหญ่ การเคลื่อนไหวของคนสองครอบครัวยังนับว่าชิดเชื้อ โจวห้าวหรันก็มารยาทดีต่อพระมาตุจฉาท่านนี้ยิ่งนัก ตัวโจวห้าวหรันเองไม่มีเวลา และมันก็สมเหตุสมผลที่จะมอบความไว้วางใจเรื่องการเสาะหาคนให้แด่องค์หญิงโชว่คัง องค์หญิงโชว่คังล้วนพำนักอยู่ในเมืองหลวง ในยามปกติมักจะรับผู้ติดตามหญิงเป็นจำนวนมาก ให้องค์หญิงใหญ่เสาะหาคนเหมาะสมกว่าโจวห้าวหรันออกหน้าเอง แต่ว่าโจวห้าวหรันก็คิดไม่ถึง เขาเพิ่งจะเอาจดหมายส่งออกไป แทบจะในช่วงเวลาไม่ล่าช้า องค์หญิงโชว่คังก็ส่งจดหมายตอบกลับมาให้ สิ่งที่มากับจดหมายฉบับนั้น ยังมีหยกพกรูปปลาครึ่หนึ่งอีกอันด้วย อัย ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องราวอันแสนบังเอิญขนาดนี้ ผู้หญิงคนนั้นที่โจวเฉินทั่นตามหา คือพระเจ้าหลานเธอขององค์หญิงโชว่คังพอดี หลังจากโจวห้าวหรันได้รับจดหมายตอบกลับก็ไม่พูดพร่ำ พลันหยิบตราประทับของจวนอ๋องเย่ของตนเองออกมาทันที และทำเรื่องสู่ขอพระเจ้าหลานเธอขององค์หญิงโชว่คังมาเป็นสะใภ้ทันใด...ซูซิ้ว เรื่องราวหลังจากนี้คือการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจวนอ๋องเย่และตำหนักยินโก๋กงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง ทั้งสองครอบครัวเชื่อมสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น มีความสุขเพิ่มพูนผล โจวห้าวหรันจดจ่อกับเรื่องในใจอันนี้ หลังจากนั้นก็เบนความสนใจมาจัดการเรื่องศึกทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ได้ใส่ใจต่อเรื่องราวในจวนอ๋องอีก โจวห้าวหรันรู้ซึ้งถึงเหตุการณ์ในตำหนักองค์หญิงโชว่คัง องค์หญิงโชว่คังยังไม่ทันได้ประสูติก็ได้รับความโปรดปราน สวามีของนางคือขุนนางทั่นฮวาในยุคเฉิงอู่ สวามีเมื่อสมรสกับองค์หญิงแล้วก็มิอาจเข้าร่วมการสอบราชการได้ และสวามีโชว่คังเองก็มิใช่ปัญญาชนผู้มีพื้นฐานเท่าใดนัก หลังจากสู่ขอองค์หญิงแล้วชีวิตก็รุ่งเรือง แต่ว่าเส้นทางระหว่างองค์หญิงและทั่นฮวามิใช่เส้นทางเดียวกัน เส้นทางขุนนางของสวามีนั้นไร้หวัง ภายหลังยังต้องสังเกตสีพักตร์ขององค์หญิงอย่างว่าง่าย ส่วนองค์หญิงโชว่คังนั้น อุปนิสัยก็ค่อนข้างขึงแข็งพอตัว ต่อมาธิดาโทนขององค์หญิงโชว่คังเว่ยชื่อได้รับอิทธิพลจากความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดา หลังแต่งเข้าตำหนักยินโกก๋งก็ไม่ยอมอ่อนข้อ นางได้รับความกดดันจากสนมมากมาย ซูซิ้วบุตรีของเว่ยชื่อรู้สึกคับแค้นแทนมารดา แต่เล็กนิสัยดุดันรักการแข่งขัน ทำการใดก็ล้วนต้องโดดเด่นเกินกว่าพี่น้อง ในมุมมองของโจวห้าวหรัน ผู้หญิงแข็งแกร่งสักหน่อยมิได้เสียหายอันใด กลับกัน หากว่าโจวเฉินทั่นต้องตากับผู้หญิงอ่อนแอปวกเปียกพรรค์นั้นจริงๆ โจวห้าวหรันต้องกังวลใจกิจการในภายภาคหน้าของจวนอ๋องเย่แล้ว อีกประการซูซิ้วค่อนชีวิตนี้ล้วนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในตำหนักองค์หญิงโชว่คัง มีองค์หญิงโชว่คังอบรมด้วยองค์เอง โจวห้าวหรันก็วางใจเป็นอย่างมาก ทว่าคิดไม่ถึง โจวห้าวหรันเพียงแค่ไม่ใส่ใจเรื่องในจวนอ๋องเพียงชั่วระยะ ตอนที่ได้รับจดหมายอีกครั้งนั้น กลับเป็นข่าวแจ้งการลับโลกของซูซิ้ว ถึงแม้กล่าวเช่นนี้จะเป็นการไม่สุภาพต่อผู้ตาย แต่ว่า...ก็เร็วเกินไปแล้วกระมัง โยเฉพาะสิ่งที่ทำให้โจวห้าวหรันมุ่นคิ้ว ก็คือเสียงของโจวเฉินทั่นที่ถูกส่งมอบมาพร้อมกับข่าวมรณกรรมของผู้ตาย ตำหนักยินโก๋กงประสงค์จะให้หลิวอ้ายน้องสาวคนรองของซูซิ้วแต่งเข้ามาสืบสายต่อไป เขาก็ตอบตกลงเป็นที่เรียบร้อย ตอนนั้นโจวห้าวหรันล้วนมิได้เอ่ยคำใด แต่ว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้ อ๋องเย่รู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับการแต่งงานสืบสายของซื่อจื่อเช่นนี้ โจวห้าวหรันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเพราะจ้าวชิงหยิงตนเองจึงสามารถนึกเชื่อมโยงถึงสะใภ้คนก่อนขึ้นมาได้ โจวม่าวเฉินเห็นว่าสีหน้าของโจวห้าวหรันที่ค่อนข้างจะมืดมน ถ้อยคำที่ยังไม่ทันได้ออกจากปากพลันก็ตีวน และกล้ำกลืนลงไป เขามองท่าทางของโวห้าวหรัน จึงกล่าวอย่างรัดระวัง “ท่านอ๋อง จดหมายมาจากซื่อจื่อหรือ” โจวห้าวหรันทอดถอนใจโดยไม่รู้ตัว “เมืองหลวงเพิ่งส่งจดหมายมา งานวิวาห์ของเขากับคุณหนูสามแห่งตำหนักยินโก๋กงกำหนดแล้วคือเดือนหน้า” จ้าวชิงหยิงนำของกำนลแทนคำขอบคุณมามอบแด่อ๋องเย่ ตอนที่นางเดินผ่านหน้าต่าง ประจวบกับได้ยินประโยคนี้เข้า งานวิวาห์ของโจวเฉินทั่นและหลิวอ้าย จะจัดขึ้นในเดือนหน้า ผู้เขียนยังมีคำจะพูด คำผู้เขียน ความรู้สึกอันดีในช่วงหนึ่งสามารถทำให้คนเปลี่ยนเป็นดีขึ้น และความรู้สึกแห่งการล้มเหลวในช่วงหนึ่ง ก็สามารถทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองของคนๆ หนึ่งได้ บัดนี้จ้าวชิงหยิงอยู่ในช่วงที่เนื่องจากการแต่งงานล้มเหลวจึงสงสัยในตนเอง สูญเสียความมั่นใจในตนเอง
已经是最新一章了
加载中