9 ไออุ่น
รุ่งเช้าวันต่อมาคีรีมันต์พาละอองดาวออกเดินทางจากเทือกเขาคีรีมันตราไปยังเทือกเขายเซนัมซา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของศิขรัฐตั้งแต่เช้า โดยมีฮาซาลเป็นคนขับรถให้
คีรีมันต์ขอร้องให้ละอองดาวสวมชุดกระโปรงยาวซึ่งเป็นชุดประจำเผ่าคานัน ตอนแรกหญิงสาวไม่เห็นด้วยนักเพราะเธอคิดว่าการสวมกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสะดวกสบายคล่องตัวในการเดินทางมากกว่า แต่เมื่อชายหนุ่มให้เหตุผลว่าเพื่อความเหมาะสมและสมจริงกับตำแหน่งคานันยาแห่งเทือกเขาคีรีมันตรา หญิงสาวจึงจำต้องสวมชุดประจำเผ่าคานันตามที่เขาต้องการ
หลังจากการเดินทางราวสองชั่วโมงเศษเทือกเขายเซนัมซาก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ฮาซาลขับรถผ่านเข้าไปภายในหุบเขาท่ามกลางสายตาของชาวเผ่าไมยา ที่ต่างก็มองดูผู้มาเยือนด้วยความสนใจ ละอองดาวพบว่าชาวเผ่าไมยาไม่ได้อาศัยอยู่ภายในบ้านเหมือนชาวเผ่าคานัน แต่พวกเขาอาศัยอยู่ภายในกระโจมเล็กๆ ซึ่งปลูกกระจายกันอยู่ภายในบริเวณหุบเขา
ชาวไมยาปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก เนื่องจากเทือกเขายเซนัมซาไม่มีแร่ทองคำมากมายเหมือนเทือกเขาคีรีมันตรา พวกเขาจึงไม่ได้มีเหมืองแร่ขนาดใหญ่และไม่มั่งคั่งเหมือนชาวคานัน
ฮาซาลขับรถผ่านกระโจมเล็กๆ ของชาวไมยาเข้าไปเรื่อยๆ ก่อนไปหยุดที่ด้านหน้ากระโจมขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับเชิงเขา เมื่อจอดรถเรียบร้อยเขาก็รีบวิ่งมาเปิดประตูรถให้ละอองดาวทันที ขณะที่คีรีมันต์เปิดประตูรถก้าวลงไปเอง จากนั้นเขาก็เดินอ้อมรถมาโอบเอวละอองดาวเอาไว้หน้าตาเฉย
“คุณมาโอบเอวฉันทำไม ปล่อยนะ!” หญิงสาวสั่งเสียงขุ่นพอกับแววตา พร้อมทั้งพยายามเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนชายหนุ่ม แต่คีรีมันต์ก็ไม่ยอมปล่อยพร้อมทั้งก้มลงกระซิบบอกเบาๆ
“คุณอย่าลืมสิครับว่าคุณเป็นคานันยาของผม เพราะฉะนั้นเราสองคนต้องสวีทให้สมบทบาทหน่อย นั่นไงวาตารีหัวหน้าเผ่าไมยาออกมาจากกระโจมแล้ว เราต้องเข้าไปทักทายแล้วก็ก้มศีรษะแสดงความเคารพเขาครับ”
ท้ายประโยคเขาพยักหน้าให้เธอมองไปที่ประตูกระโจมซึ่งถูกเปิดออก ก่อนที่บุรุษสูงวัยอายุประมาณหกสิบเศษ รูปร่างสันทัด ใบหน้าเคร่งครึม ท่าทางภูมิฐานจะก้าวออกมา โดยมีชายหนุ่มรูปร่างสันทัดอายุประมาณยี่สิบเศษและสตรีสูงวัยอายุประมาณห้าสิบเศษอีกคนก้าวตามออกมาด้วย คีรีมันต์โอบเอวละอองดาวเดินตรงเข้าไปหาหัวหน้าเผ่าไมยาทันที
“สวัสดีครับท่านวาตารี” ชายหนุ่มกล่าวคำทักทายพร้อมทั้งก้มศีรษะให้หัวหน้าเผ่าไมยา
“สวัสดีค่ะท่านวาตารี” ละอองดาวพูดพร้อมทั้งก้มศีรษะให้บุรุษสูงวัยตามที่คีรีมันต์บอก แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าวาตารีกำลังจ้องมองใบหน้าของเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยแววตาเฉียบคมและเพ่งพิศมากเป็นพิเศษ จนหญิงสาวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ยินดีต้อนรับคานันซาและคานันยาแห่งเทือกเขาคีรีมันตรา นี่คือเนจิน่าภรรยาของเราและวาฮาซินลูกชายของเรา” ท้ายประโยคหัวหน้าเผ่าไมยาแนะนำบุคคลอีกสองคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังให้สองหนุ่มสาวได้รู้จัก หลังจากที่ทั้งหมดกล่าวคำทักทายกันเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าเผ่าไมยาก็เชิญให้คีรีมันต์ ละอองดาวและฮาซาลเข้าไปนั่งพูดคุยภายในกระโจมของเขา
“ไม่เกินความคาดหมายของเราเลย ที่คานันซาคีรีมันต์จะเดินทางมาที่ยเซนัมซา และข่าวลือที่ได้ยินหนาหูมาหลายวันว่าคานันซาแห่งเทือกเขาคีรีมันตรา ได้หญิงสาวในคำทำนายเอาไว้ในครอบครองก็เป็นความจริงด้วย”
วาตารีพูดขึ้นเมื่อทุกคนนั่งล้อมวงกันบนพื้นกระโจมเรียบร้อยแล้ว นัยน์ตาคมกริบของบุรุษสูงวัยยังคงจับจ้องมองใบหน้าของละอองดาวอย่างเพ่งพิศไม่วางตา
“ท่านเชื่อว่าเธอคือหญิงสาวในคำทำนายหรือครับท่านวาตารี” คีรีมันต์ถามหัวหน้าเผ่าไมยา ละอองดาวได้ยินบุรุษสูงวัยหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดว่า
“คุณก็ต้องเชื่อเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคุณจะลงทุนชิงตัวเธอมาจากคนของกาซิมหัวหน้าเผ่าซายีทำไมกันล่ะคานันซาคีรีมันต์”
“ท่านรู้” คีรีมันต์พูดยิ้มๆ แต่ความจริงแล้วเขาอยากจะบอกกับวาตารี ว่าเขาไม่มีวันยอมยกละอองดาวให้ผู้ชายคนไหนเป็นอันขาด ไม่ว่าเธอจะใช่หรือไม่ใช่ผู้หญิงในคำทำนายก็ตาม
“ในเมื่อทุกเผ่าต่างก็เคลื่อนไหวเผ่าไมยาก็อยู่นิ่งเฉยไม่ได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ต้องการแย่งชิงตำแหน่งกับใคร แต่เราก็จำเป็นต้องรู้ความเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายด้วย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อศิขรัฐในอนาคต” วาตารีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ละอองดาวดูออกว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดมากเลยทีเดียว
“ในเมื่อท่านเชื่อว่าเธอคือหญิงสาวในคำทำนาย ถ้าหากผมจะขอร้องให้ท่านช่วยฝ่ายผมในการลงมติเลือกผู้ปกครองศิขรัฐคนต่อไป ท่านจะตกลงรึเปล่าครับท่านวาตารี” คีรีมันต์เข้าเรื่องจุดประสงค์ที่เขาเดินทางมาทันที วาตารีหัวเราะอีกครั้งก่อนพูดอย่างขบขัน
“ไม่ยอมเสียเวลาเจรจาเลยนะคานันซาคีรีมันต์”
“ผมคิดว่าท่านก็คงไม่เห็นด้วยนัก ถ้าหากท่านกาซิมจะขึ้นมาเป็นใหญ่ในศิขรัฐ ท่านก็รู้นิสัยของหัวหน้าเผ่าซายีดีนี่ครับ ว่าเขาเจ้าเล่ห์และร้ายกาจขนาดไหน” คีรีมันต์พูด
“กาซิมอาจจะเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ แต่ยังไงก็คงไม่ฉลาดไปกว่าคานันซาคีรีมันต์หรอกจริงไหม” วาตารีพูดพลางมองสบตาชายหนุ่มยิ้มๆ คีรีมันต์หัวเราะเบาๆ ก่อนก้มศีรษะให้บุรุษสูงวัยพลางพูด
“ขอบคุณในคำชมครับท่านวาตารี”
“ชาวเผ่าไมยาเชื่อถือในคำทำนายของแม่เฒ่าอาวาตีเสมอมา ในเมื่อแม่เฒ่าทำนายว่าหญิงสาวชาวต่างชาติที่มีสีนัยน์ตาราวกับท้องทะเลลึก จะสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับชายที่ได้นางมาเคียงคู่ เราก็เชื่อว่ามันจะเป็นจริงอย่างนั้น”
วาตารีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้คีรีมันต์ยิ้มออกมาได้ เพราะเท่ากับว่าหัวหน้าเผ่าไมยาไม่ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับเขา
“แต่ว่า...” วาตารีพูดแล้วเว้นช่วงนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไปอีก “เราจำเป็นต้องพาคานันยาของคุณไปพบกับแม่เฒ่าอาวาตีก่อน ถ้าหากแม่เฒ่ายืนยันว่าเธอคือหญิงสาวในคำทำนายจริง เราและชาวเผ่าไมยาทุกคนก็เต็มใจจะสนับสนุนคุณ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะคานันซาคีรีมันต์”
“ด้วยความยินดีเลยครับท่านวาตารี” คีรีมันต์ตอบตกลงทันที เพราะเขาคาดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าวาตารีต้องพาละอองดาวไปพบกับแม่เฒ่านักทำนายแห่งเผ่าไมยาอย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญตามเราไปพบแม่เฒ่าเดี๋ยวนี้เลย” วาตารีพูดพลางขยับลุกขึ้นยืน ทุกคนทำท่าจะขยับลุกขึ้นตามหัวหน้าเผ่าไมยา แต่วาตารีเอ่ยขึ้นว่า
“ให้เฉพาะคานันซากับคานันยาแห่งคีรีมันตราตามเราไปเท่านั้น คนอื่นๆ รออยู่ที่นี่”
ดังนั้นจึงมีเพียงคีรีมันต์กับละอองดาวเท่านั้นที่เดินตามบุรุษสูงวัยออกไปจากกระโจมหลังใหญ่
“นี่คุณ” ละอองดาวกระซิบเรียกคีรีมันต์เบาๆ ในระหว่างที่เขาจูงมือเธอเดินตามหัวหน้าเผ่าไมยาไปตามทางเดินเล็กๆ ซึ่งทอดขึ้นสู่ยอดเขาด้านบน
“ว่าไงครับ” คีรีมันต์ถามหญิงสาว
“เราเดินตามเค้ามาตามลำพังแบบนี้ คุณไม่กลัวถูกใครลอบทำร้ายบ้างเหรอ” ละอองดาวถาม คีรีมันต์ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนตอบ
“ไม่ครับ ผมเชื่อในเกียรติของท่านวาตารี แต่ถ้าเป็นกาซิมผมจะไม่ไว้ใจเขาแน่นอน ว่าแต่คุณเป็นห่วงผมด้วยเหรอครับ ดีใจจัง” ท้ายประโยคคีรีมันต์มองสบตาหญิงสาวด้วยแววตาล้อเลียน เลยได้รับค้อนวงใหญ่จากหญิงสาวพร้อมทั้งคำตอบแสนกวน
“ฉันเป็นห่วงชีวิตฉันต่างหาก เพราะว่าถ้าคุณเป็นอะไรไปฉันก็อดกลับบ้านน่ะสิ”
“ผมนึกว่าคุณกลัวเป็นหม้ายซะอีก” คีรีมันต์แกล้งพูด
“เลิกพูดบ้าๆ นะ อยากให้ฉันฆ่าคุณเองรึไง” ละอองดาวโวยวายเบาๆ คีรีมันต์เลยได้แต่หัวเราะอย่างขบขัน
“ถึงแล้ว” วาตารีหันมาบอกสองหนุ่มสาว เมื่อเดินขึ้นมาถึงยอดเขาและหยุดอยู่ที่หน้ากระโจมขนาดเล็กหลังหนึ่ง จากนั้นบุรุษสูงวัยจึงหันกลับไปส่งเสียงบอกคนที่อยู่ภายในกระโจม
“ท่านแม่เฒ่าอาวาตีเราจะขอเข้าพบท่านได้รึเปล่า”
“เชิญเลยท่านหัวหน้าเรารอพวกท่านอยู่แล้ว” เสียงแผ่วเบาตอบออกมาจากภายใน วาตารีจึงหันมาบอกกับสองหนุ่มสาว
“เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
บุรุษสูงวัยเดินนำคีรีมันต์กับละอองดาวเข้าไปภายในกระโจมทันที เมื่อก้าวเข้าไปภายในละอองดาวก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำมันหอมอบอวลที่โชยมาจากตะเกียงดินเผา บรรยากาศภายในกระโจมแลดูลึกลับ เพราะมีเพียงแสงสว่างจากแสงเทียนเท่านั้น
ภาพหญิงชราร่างเล็กเรือนผมยาวขาวโพลน ที่กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่เบื้องหน้าแท่นบูชารูปปั้นสักการะอะไรสักอย่าง ยิ่งช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศแลดูลึกลับ ซับซ้อนและน่ากลัวมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวในความรู้สึกของหญิงสาว จนเธอถึงกับเผลอจับมือของคีรีมันต์เอาไว้แน่น ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกของเธอดี เพราะชายหนุ่มบีบมือเธอเบาๆ เหมือนเป็นการปลอบใจ
“เรารออยู่หลายวันแล้ว ในที่สุดก็มากันเสียทีนะคานันซาและคานันยาแห่งคีรีมันตรา”
เสียงแผ่วเบาของแม่เฒ่าอาวาตีพูดพร้อมกับที่นางลืมตาขึ้น แล้วมองตรงมาที่สองหนุ่มสาว ซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังหัวหน้าเผ่าไมยา ทำให้คีรีมันต์และละอองดาวถึงกับหันมาสบตากันด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก่อนที่วาตารีจะก้มศีรษะแสดงความเคารพนาง สองหนุ่มสาวจึงรีบทำตามหัวหน้าเผ่าไมยา
“ทุกคนนั่งลงตามสบายเถอะแล้วขยับเข้ามาใกล้ๆ เราหน่อยคานันยาแห่งคีรีมันตรา” แม่เฒ่าอาวาตีบอกกับคนทั้งสาม ก่อนจะเน้นที่ละอองดาวในตอนท้ายประโยค หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระโจมตามคีรีมันต์และวาตารี ก่อนจะหันมองสบตากับคีรีมันต์แวบหนึ่งเป็นเชิงขอความเห็น เมื่อเขาพยักหน้าให้เธอจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้แม่เฒ่าแห่งเผ่าไมยา
“งดงามยิ่งกว่าในนิมิตที่เราเห็น” แม่เฒ่าอาวาตีเอ่ยปากชม เมื่อมองเห็นใบหน้าของละอองดาวได้ชัดเจนในระยะใกล้ ก่อนจะบอกหญิงสาวว่า “หงายฝ่ามือขึ้น แล้วยื่นมือทั้งสองข้างของเจ้ามาให้เราคานันยา”
ละอองดาวรีบทำตามที่แม่เฒ่าอาวาตีบอกทันที ซึ่งหญิงสาวก็ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือเพราะอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือละอองดาวรู้สึกได้ ว่าหญิงชราคนนี้เหมือนมีพลังพิเศษบางอย่างอยู่ในตัว ที่สามารถบอกให้คนทำตามได้ไม่ยาก
แม่เฒ่าอาวาตียื่นมือทั้งสองของตัวเองมาวางประกบลงบนมือทั้งสองข้างของละอองดาว ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้าๆ แล้วเพียงครู่เดียวหญิงสาวก็รู้สึกเยือกเย็นและเบาหวิวไปทั้งร่าง อึดใจต่อมาหญิงชราก็ลืมตาขึ้นก่อนพูดกับหัวหน้าเผ่าไมยาว่า
“เราขอยืนยันว่านางคือหญิงสาวในคำทำนายของเราจริงๆ ท่านหัวหน้า นางจะสามารถช่วยสนับสนุนให้ศิขรัฐเจริญรุ่งเรืองได้อย่างแน่นอน” จากนั้นนางก็หันไปพูดกับคีรีมันต์
“นางจะช่วยส่งเสริมให้ท่านยิ่งใหญ่ในดินแดนแห่งขุนเขาคานันซาคีรีมันต์ และนางจะมีบุตรชายหญิงที่ฉลาด รูปงามให้กับท่าน”
คีรีมันต์เลิกคิ้วเข้มขึ้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อฟังแม่เฒ่าอาวาตีพูดจบประโยค ก่อนจะหันมามองใบหน้าสวยหวานของละอองดาวแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อในสิ่งที่นางพูด เพราะมันเป็นเหมือนคำทำนายอนาคตของเขากับเธอ ถ้าหากว่าเป็นความจริงอย่างที่แม่เฒ่าแห่งเผ่าไมยาพูด ก็หมายความว่าเขาจะได้หญิงสาวมาเป็นของเขาอย่างแท้จริงนั่นเอง
“ท่านทั้งสองถูกผูกพันกันเอาไว้ด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งชนเผ่าคานันแล้ว หญิงสาวคนนี้จะเป็นของท่านทั้งกายและใจคานันซาคีรีมันต์” แม่เฒ่าอาวาตีกล่าวต่อไปอีก
ขณะที่ละอองดาวกำลังนั่งเบิกตากว้างตกตะลึงกับคำพูดของนาง แต่คีรีมันต์กลับรีบทวนถามหญิงชราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จริงหรือครับท่านแม่เฒ่า”
“ท่านไม่เคยเชื่อถือในคำทำนายของเรา และนี่คือข้อพิสูจน์ว่าคำทำนายของเราจะเป็นจริงในไม่ช้า” แม่เฒ่าอาวาตีพูดพลางมองสบตาชายหนุ่มนิ่ง คีรีมันต์ยิ้มก่อนก้มศีรษะให้นางพลางพูด
“ผมจะดีใจมาก ถ้าหากทุกอย่างเป็นจริงตามคำทำนายของท่านแม่เฒ่า”
“อีกไม่นานหรอกคานันซาแห่งคีรีมันตรา” แม่เฒ่าอาวาตีบอก ก่อนจะหันไปพูดกับหัวหน้าเผ่าไมยา “ท่านหัวหน้าจงให้ความสนับสนุนคานันซาคีรีมันต์ทุกอย่าง แล้วศิขรัฐจะเจริญรุ่งเรือง”
“เราจะปฏิบัติตามที่ท่านแม่เฒ่าบอกอย่างเคร่งครัด” วาตารีรับคำ
“สิ่งที่เราจะบอกมีเท่านี้ เชิญพวกท่านกลับไปได้แล้ว อ้อ เมื่อลงไปถึงเชิงเขาแล้ว ท่านหัวหน้าควรจะรีบสั่งให้คนจัดเตรียมกระโจมที่พักเพิ่มอีกสองกระโจมด้วย เพราะคืนนี้ผู้มาเยือนจากคีรีมันตราจะต้องค้างคืนที่ยเซนัมซา” แม่เฒ่าอาวาตีบอกหัวหน้าเผ่าไมยายาวเหยียด แต่คีรีมันต์ก็รีบพูดขัดขึ้น
“ไม่ต้องลำบากจัดเตรียมกระโจมที่พักให้พวกหรอกครับ เดี๋ยวพูดคุยกับท่านวาตารีต่ออีกสักครู่ พวกเราก็จะรีบกลับทันที จะได้ไม่เดินทางถึงคีรีมันตราค่ำมืดมากครับ”
“ท่านกลับคีรีมันตราคืนนี้ไม่ได้หรอกคานันซาคีรีมันต์” แม่เฒ่าอาวาตีเอ่ย ทำให้คีรีมันต์กับละอองดาวต้องพากันมองใบหน้าของนางด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่คีรีมันต์จะถามขึ้นว่า
“ทำไมล่ะครับท่านแม่เฒ่า”
“เมื่อออกไปนอกกระโจมของเราท่านก็จะรู้ได้เอง” แม่เฒ่าอาวาตีตอบสั้นๆ ก่อนจะหลับตาลง เป็นการบอกว่านางต้องการจบบทสนทนาเพียงเท่านี้ ดังนั้นทั้งสามคนจึงพากันขยับลุกขึ้นยืน แล้ววาตารีก็ก้าวนำหน้าสองหนุ่มสาวออกไปภายนอกกระโจมทันที
เมื่อละอองดาวกับคีรีมันต์ก้าวตามวาตารีออกมาด้านนอกกระโจมของแม่เฒ่าอาวาตี ทั้งสองก็พบว่าบรรยากาศภายนอกเริ่มมืดครึ้มและมีลมพัดแรง อันเนื่องมาจากเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้ามาแต่ไกลจากภายนอกหุบเขา
“ท่าทางกำลังจะมีพายุฝน เราคิดว่าพวกคุณคงจะต้องค้างที่ยเซนัมซาอย่างที่ท่านแม่เฒ่าบอกแล้วล่ะ”
หัวหน้าเผ่าไมยาหันมาพูดกับสองหนุ่มสาว
“ผมคิดว่าฝนคงไม่ตกนานมากหรอกครับท่านวาตารี รอให้ฝนหยุดแล้วพวกเราค่อยกลับก็ได้ครับ”
คีรีมันต์บอกกับบุรุษสูงวัย วาตารีส่ายหน้าช้าๆ ก่อนพูด
“ถ้าหากแม่เฒ่าบอกว่าคุณต้องค้างที่นี่ คุณก็จะต้องค้างที่นี่อย่างแน่นอน และตอนนี้เราก็ควรจะรีบเดินลงไปให้ถึงเชิงเขาโดยเร็วด้วย ก่อนที่พายุฝนจะผ่านเข้ามาภายในเขตหุบเขา”
พูดจบหัวหน้าเผ่าไมยาก็ก้าวยาวๆ นำหน้าสองหนุ่มสาวเดินลงเขาไปทันที คีรีมันต์กับละอองดาวจึงต้องรีบก้าวตามบุรุษสูงวัยไป เมื่อลงไปถึงกระโจมของวาตารี หัวหน้าเผ่าไมยาก็ออกคำสั่งให้คนของเขาไปจัดเตรียมกระโจมที่พักเพิ่มอีกสองกระโจมทันที
ถึงแม้ว่าคีรีมันต์จะยืนยันว่าไม่ต้องกางกระโจมเพิ่ม เพราะทั้งสามจะรีบเดินทางกลับทันทีที่พายุฝนสงบก็ตาม แต่หัวหน้าเผ่าไมยาก็ยังคงสั่งให้คนของตนเองจัดเตรียมกระโจมเพิ่ม ท่ามกลางกระแสลมที่พัดกระหน่ำรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่คนของวาตารีจัดเตรียมกระโจมเสร็จเรียบร้อยได้เพียงครู่เดียว สายฝนก็เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว อีกทั้งลมพายุที่พัดกระหน่ำรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ละอองดาวซึ่งยังคงนั่งอยู่ภายในกระโจมหลังใหญ่ของหัวหน้าเผ่าไมยา นึกวิตกกังวลกลัวว่ากระโจมจะถูกลมพายุพัดพังหรือเปล่า แต่ก็โชคดีที่ไม่ได้เกิดเหตุการณ์อย่างที่เธอวิตกกังวลขึ้น
จนกระทั่งเริ่มมืดค่ำ หลังจากที่คีรีมันต์กับละอองดาวร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำกับครอบครัวของหัวหน้าเผ่าไมยาแล้ว พายุฝนก็ยังคงเทกระหน่ำไม่ขาดสายและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ
“เราคิดว่าพวกคุณควรจะค้างคืนที่นี่ เราไม่เห็นด้วยที่คุณจะเดินทางออกไปจากยเซนัมซา ในขณะที่มีพายุฝนพัดกระหน่ำรุนแรงอย่างนี้เพราะมันอันตรายมาก อยู่ภายในหุบเขาลมพายุยังรุนแรงมากขนาดนี้ ถ้าออกไปนอกหุบเขามันจะรุนแรงมากกว่าอีกหลายเท่า ชาวเผ่าไมยาทุกคนจะไม่ออกเดินทางท่ามกลางพายุฝนในยามค่ำคืนแบบนี้หรอกนะคานันซาคีรีมันต์”
หัวหน้าเผ่าไมยาพูดขึ้นเมื่อเห็นว่ามืดค่ำมากแล้ว คีรีมันต์หันมาสบตาละอองดาวกับฮาซาลแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้นเราสามคนคงต้องขอรบกวนท่านวาตารีสักคืนแล้วล่ะครับ”
“ด้วยความยินดี ถ้าอย่างนั้นเราจะให้คนของเราพาพวกคุณไปที่กระโจมก่อน แล้วอีกสักครู่คนของเรานำน้ำอุ่นไปให้พวกคุณเช็ดตัว รวมทั้งเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนด้วย”
วาตารีบอก จากนั้นบุรุษสูงวัยก็เรียกคนของตนเองให้มาพาทั้งสามคนไปยังกระโจมที่พักทันที
“คุณจะมานั่งทำอะไรอยู่ในนี้ ทำไมไม่เดินไปที่กระโจมกับคุณฮาซาลล่ะ”
ละอองดาวถามขึ้นทันที เมื่อปิดผ้าม่านซึ่งใช้เป็นฉากกั้นส่วนของที่นอนเอาไว้ลง แล้วหันมาเห็นคีรีมันต์นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นกระโจม โดยไม่ได้เดินตามคนของหัวหน้าเผ่าไมยาที่เดินนำฮาซาลไปยังกระโจมอีกหลังหนึ่ง คีรีมันต์เงยใบหน้าคมเข้มขึ้นมองใบหน้าสวยของหญิงสาวก่อนถามว่า
“คุณจะให้ผมเดินไปที่กระโจมกับฮาซาลทำไมกัน”
“อ้าว! ก็คุณต้องไปพักกับคุณฮาซาลสิ นี่มันกระโจมของฉันนะ” ละอองดาวตอบ ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน
“คุณกำลังเข้าใจผิดแล้วนะ กระโจมนี้เป็นของคุณกับผม ส่วนกระโจมอีกหลังนั่นของฮาซาล เขาต้องพักคนเดียว ใครจะแยกสามีภรรยาไปนอนกันคนละกระโจมล่ะคุณ”
“หมายความว่าคุณจะนอนในกระโจมหลังนี้กับฉันด้วยเหรอ” หญิงสาวถามเสียงหลง ขณะที่ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ ละอองดาวเลยโวยวายว่า
“จะบ้าเหรอ! คุณจะมานอนกับฉันในกระโจมนี้ได้ยังไง แล้วฟูกที่เค้าปูเอาไว้ให้นอนก็แคบออก นอนสองคนได้ที่ไหนกันเบียดกันตายเลย มันไม่ได้กว้างเหมือนเตียงที่ห้องนอนคุณนะ”
“แต่ผมว่าขนาดของมันน่าจะพอเหมาะสำหรับคนสองคนนอนได้สบายๆ เลยนะคุณ เบียดกันนิดหน่อยอบอุ่นดีออกนะครับ” คีรีมันต์พูดพลางมองสบตาหญิงสาวด้วยนัยน์ตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มพราวระยับ แต่ละอองดาวกลับมองจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาขุ่นเคืองก่อนปฏิเสธเสียงเขียว
“ฉันไม่ให้คุณมานอนเบียดกับฉันเด็ดขาด คุณรีบย้ายตัวเองออกไปจากกระโจมของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปนอนกับคุณฮาซาลเลย”
“ไม่เอา! เรื่องอะไรคุณจะมาไล่ให้ผมไปนอนกับฮาซาล ผมยังไม่อยากถูกฟ้าผ่าตายนะครับ แล้วผมก็ไม่ได้มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกันด้วย ผมชอบแต่สาวๆ” คีรีมันต์ปฏิเสธหน้าตาเฉย แต่ทำเอาละอองดาวถึงกับหน้าแดงเพราะคำพูดมีความหมายลึกซึ้งของเขา
“บ้า! คุณนี่พูดจาทุเรศที่สุดเลยฉันให้คุณไปนอนพักกับคุณฮาซาลเฉยๆ ไม่ได้ให้คุณไปทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นซะหน่อย” หญิงสาวว่าพลางมองค้อนเขา
“ท่านวาตารีแล้วก็ชาวเผ่าไมยาทุกคนจะคิดยังไง ถ้าคืนนี้ผมไม่นอนกระโจมเดียวกับคุณ คุณไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากเกินไปหน่อยเหรอ อย่าลืมสิครับว่าเราสองคนกำลังอยู่ในฐานะอะไรกัน”
คีรีมันต์ท้วงหญิงสาวด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววพูดเล่นเหมือนเมื่อครู่ ละอองดาวจึงได้แต่นิ่งอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาขัดแย้งชายหนุ่มได้ ในที่สุดเธอก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างยอมรับ
“ก็ได้ ฉันไม่มีทางเลือกนี่”
หลังจากที่เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คนของหัวหน้าเผ่าไมยานำมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ละอองดาวก็เดินเข้ามาล้มตัวลงนอนบนฟูกด้านหลังผ้าม่านก่อน พลางขยับตัวเข้าไปนอนจนชิดริมฟูกด้านใน แล้วพลิกตัวนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหากระโจมทันที
ส่วนคีรีมันต์เดินถือตะเกียงตามมาตั้งไว้ที่ด้านหน้าผ้าม่าน ก่อนจะดับตะเกียงแล้วเปิดผ้าม่านเข้าไป แล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอนเคียงข้างหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
ละอองดาวรู้สึกใจเต้นรัวแรงขึ้นมาทันที เมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างของชายหนุ่มที่นอนอยู่ทางด้านหลังอย่างใกล้ชิด หญิงสาวพยายามขยับตัวไปชิดกับกระโจม เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างตัวเองกับชายหนุ่มให้ได้มากที่สุด
ตอนอยู่ที่คีรีมันตราถึงจะนอนอยู่บนเตียงเดียวกับเขา แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีหมอนข้างกั้นกลางเอาไว้ แถมเตียงก็กว้างขวางทำให้เธอไม่ต้องนอนใกล้ชิดกับคีรีมันต์มากมายขนาดนี้ แต่ที่นี่นอกจากจะไม่มีหมอนข้างแล้วฟูกที่ปูนอนนี่ก็คับแคบเหลือเกินในความรู้สึกของหญิงสาว
คีรีมันต์เหลือบไปมองร่างระหงที่กำลังนอนขยับตัวไปมา พลางพยายามจะกระเถิบร่างออกห่างจากเขาด้วยความรู้สึกขบขันปนเอ็นดูกับท่าทางระแวดระวังของหญิงสาว เขาอยากจะรู้นักว่าละอองดาวจะทำอย่างไร ถ้าหากเขารวบตัวเธอเข้ามากอดเอาไว้แนบอก ทั้งที่เธอพยายามจะอยู่ห่างจากเขา ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ
“ความจริงแม่เฒ่าอาวาตีนี่ก็ทำนายแม่นนะคุณว่ามั้ย” คีรีมันต์พูดขึ้นเบาๆ ละอองดาวเลยเอียงหน้าหันกลับมามองเขาในความมืดนิดหนึ่งก่อนถามว่า
“คุณหมายถึงเรื่องอะไรที่ว่าแม่เฒ่าทำนายแม่น”
“ก็เรื่องที่แกบอกว่าเราจะต้องนอนค้างคืนที่นี่ไงครับ” ชายหนุ่มตอบ
“อ๋อ” หญิงสาวทำเสียงเป็นเชิงว่าเข้าใจ ก่อนที่คีรีมันต์เอ่ยต่อ
“แล้วผมก็เชื่อว่าคุณคือหญิงสาวในคำทำนายของแม่เฒ่าจริงๆ นะละอองดาว”
คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวถึงกับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะพลิกตัวหันกลับมาทางชายหนุ่มด้วยความลืมตัวพลางถาม
“พอแม่เฒ่าสามารถบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ คุณถึงกับเชื่อเรื่องที่ว่าฉันเป็นผู้หญิงในคำทำนายเลยเหรอ”
“ใช่ ผมเชื่อที่แม่เฒ่าพูดแล้วก็อยากจะให้ทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่แกพูดเร็วๆ ด้วย”
คีรีมันต์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางมองสบตากับหญิงสาวในความมืดเลือนราง ละอองดาวชะงักพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงุนงง ก่อนถามว่า
“คุณอยากจะให้เรื่องอะไรเป็นจริงเร็วๆ”
“ก็เรื่องที่แม่เฒ่าบอกว่าคุณจะเป็นของผมทั้งกายและใจ แล้วก็เรื่องที่คุณจะมีลูกชายลูกสาวให้ผมยังไงล่ะครับละอองดาว” คีรีมันต์ตอบเสียงนุ่ม
แต่ทำเอาละอองดาวถึงกับเบิกตากว้างก่อนจะรีบขยับตัวถอยห่างออกจากชายหนุ่มอีกครั้ง เพราะเพิ่งจะรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ใกล้ชิดกับเขามากเกินไปแล้ว ใกล้เสียจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน อีกทั้งไออุ่นที่แผ่ซ่านมาจากร่างของเขาซึ่งกำลังทำให้ใบหน้าของเธอร้อนวูบวาบพอกับใจที่เต้นแรง
“บ้า! คุณอย่ามาพูดบ้าๆ แบบนี้กับฉันนะ ฉันจะไปมีลูกกับคุณได้ยังไงมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
ละอองดาวโวยวายพลางรีบพลิกตัวหันหลังให้ชายหนุ่มทันที แต่คีรีมันต์กลับขยับตัวตามเข้ามาแนบชิดกับร่างหญิงสาวพร้อมทั้งกระซิบบอกกับเธอเบาๆ ที่ข้างหู
“เป็นไปได้สิครับถ้าคุณยอมรับรักผม”
“ไม่! คุณรีบถอยออกไปห่างๆ จากฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ละอองดาวปฏิเสธเสียงแข็ง พลางพลิกตัวหันกลับมายกมือดันแผ่นอกกว้างของชายหนุ่มเต็มแรง แต่นอกจากคีรีมันต์จะไม่สะดุ้งสะเทือนแล้ว มือทั้งสองข้างของเธอยังถูกรวบเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขาอีกด้วย
ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปใกล้กับใบหน้าสวยของหญิงสาว จนจมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียอยู่กับแก้มเนียนนุ่มหอมกรุ่นพร้อมทั้งถามเสียงนุ่มอย่างออดอ้อน
“คุณจะปฏิเสธผมไปถึงเมื่อไหร่กัน อนุญาตให้ผมรักคุณไม่ได้เหรอครับละอองดาว”
“คุณจะบ้ารึไงคีรีมันต์ปล่อยมือฉัน แล้วก็ถอยออกไปนะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ”
ละอองดาวออกคำสั่งชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เข้มแข็งที่สุด ทั้งที่ใจของเธอกำลังสั่นไหวและหวาดหวั่น
“ถ้าผมไม่ปล่อยคุณ คุณจะทำอะไรผมเหรอครับ” คีรีมันต์ถามด้วยน้ำเสียงขบขันนัยน์ตาสีดำสนิทคู่คมเป็นประกายพราวระยับในความมืด ละอองดาวมองเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์ก่อนตอบว่า
“ถ้าคุณไม่ปล่อยฉัน ฉันก็จะทำอย่างนี้น่ะสิ”
พูดจบหญิงสาวก็อ้าปากงับปลายจมูกโด่งของชายหนุ่มเต็มแรงทันที
“โอ๊ย!”
คีรีมันต์ร้องอุทานออกมาเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด โชคดีที่ฝนตกหนักอยู่ ไม่อย่างนั้นใครต่อใครคงได้ยินเสียงร้องของเขาเป็นแน่ ชายหนุ่มยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมาลูบคลำปลายจมูกตัวเองเบาๆ โดยที่มืออีกข้างยังคงจับมือทั้งสองของหญิงสาวเอาไว้แน่น
ละอองดาวจึงได้รู้ว่าเธอคาดผิดไปจริงๆ ที่คิดว่าตนเองจะได้รับอิสระจากชายหนุ่ม คีรีมันต์ส่ายหน้ายิ้มๆ มองสบตาหญิงสาวด้วยแววตามีความหมายพลางพูด
“คุณคิดผิดจริงๆ ที่ทำร้ายร่างกายผมแบบนี้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องถูกลงโทษครับที่รัก”
พูดจบประโยคใบหน้าคมเข้มก็ก้มลงมาหาใบหน้าสวยหวานทันที และยังไม่ทันที่ละอองดาวจะได้ร้องโวยวายอะไรออกมา ริมฝีปากเรียวบางก็ต้องไร้อิสระเพราะริมฝีปากได้รูปสวยของชายหนุ่มที่ประทับลงมาอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
คีรีมันต์จูบหญิงสาวอย่างนุ่มนวลแผ่วเบาในตอนแรก ก่อนจะเริ่มเรียกร้องมากขึ้นตามลำดับ ขณะที่ละอองดาวพยายามเบี่ยงใบหน้าหนีจากริมฝีปากร้อนๆ ของเขา พร้อมทั้งพยายามผลักไสชายหนุ่มแต่ก็ไม่สำเร็จ ใจของหญิงสาวเริ่มเต้นรัวแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกวาบหวิวและล่องลอยไปกับรสจูบแสนหวานเนิ่นนาน จนเหมือนใจเธอจะขาด มือที่พยายามผลักไสชายหนุ่มในตอนแรกเริ่มหยุดนิ่ง ร่างโปร่งระหงถูกโอบกอดเข้าแนบชิดกับแผ่นอกกว้างจนสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจสองดวงที่กำลังเต้นรัวแรงไม่แพ้กัน
“ละอองดาว”
คีรีมันต์กระซิบเรียกชื่อหญิงสาวแผ่วเบา เมื่อถอนริมฝีปากออกจากริมฝีปากเรียวบาง นัยน์ตาคู่คมมองใบหน้าสวยหวานด้วยแววตาหวานซึ้ง ก่อนจะลากไล้จมูกไปตามผิวแก้มหอมเนียน แล้วไปหยุดอยู่ที่ซอกคอหอมกรุ่นเพื่อสูดกลิ่นหอมอย่างที่ใจเขาปรารถนามาเนิ่นนาน ฝ่ามือร้อนๆ เริ่มปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนของหญิงสาวออกอย่างไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้
ทั้งที่ตอนแรกเขาเพียงแค่คิดจะแกล้งหญิงสาวเล่นเท่านั้น ละอองดาวสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อริมฝีปากร้อนๆ ของชายหนุ่มแตะแต้มลงบริเวณเนินอกของเธอทันทีที่กระดุมเม็ดแรกถูกปลดออก
“อย่า! ได้โปรดคีรีมันต์ คุณสัญญากับฉันแล้วว่าจะไม่ทำกับฉันแบบนี้”
เสียงร้องห้ามแผ่วเบาสั่นพลิ้วดังขึ้นทันที เมื่อสติสัมปะชัญญะทั้งหมดทั้งมวลของหญิงสาวกลับคืนมา คีรีมันต์ก็ได้สติและหยุดการกระทำของตัวเองทันทีเช่นกัน นัยน์ตาสีดำสนิทมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำเงินสดที่เริ่มมีน้ำใสๆ ไหลออกมาคลอเบ้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นซับน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยนพลางพึมพำพูด
“ผมขอโทษครับ ยกโทษให้ผมนะละอองดาวผมไม่ได้ตั้งใจจะรังแกคุณแบบนี้นะครับ”
“คุณก็ปล่อยฉันสิ” หญิงสาวออกคำสั่งเสียงเบา พลางเบือนหน้าหลบสายตาชายหนุ่มด้วยความรู้สึกอับอาย ที่เมื่อครู่เธอเผลอตัวเผลอใจปล่อยให้เขาล่วงเกินมากมายขนาดนั้น
“ผมไม่ปล่อย ถ้าคุณไม่บอกว่ายกโทษให้ผมแล้ว” คีรีมันต์พูดเสียงนุ่ม
“คุณทำแบบนี้กับฉัน ยังคิดว่าฉันจะยกโทษให้คุณอีกเหรอ” ละอองดาวพึมพำถามทั้งโกรธทั้งอาย จนไม่รู้ว่าความรู้สึกอันไหนมากกว่ากัน โกรธที่เขาทำแบบนี้กับเธอและอายที่ตัวเองเผลอตัวเผลอใจไปกับเขา คีรีมันต์มองอาการของหญิงสาวยิ้มๆ ก่อนจะพูดว่า
“ถ้าคุณไม่ยกโทษให้ผม ผมก็จะกอดคุณแบบนี้ทั้งคืนเลย”
“ปล่อยฉันนะคนบ้า ฉวยโอกาส!”
ละอองดาวโวยวายพลางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม คีรีมันต์ถึงกับถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะพูดด้วยนัยน์ตาพราวระยับว่า
“คุณรู้รึเปล่า ว่ายิ่งคุณดิ้นหนีผมแบบนี้เราก็ยิ่งใกล้ชิดกัน แล้วก็ยิ่งทำให้ผมไม่อยากปล่อยคุณเลยนะ”
หญิงสาวเบิกตากว้างทันทีเมื่อฟังชายหนุ่มพูดจบประโยค พร้อมทั้งหยุดดิ้นทันควัน เมื่อสำนึกได้ว่าคีรีมันต์พูดถูก เพราะยิ่งเธอดิ้นรนเท่าไหร่ร่างกายของเธอก็ยิ่งเบียดชิดกับเขามากขึ้นเท่านั้น
“ฉันหยุดดิ้นแล้ว คุณก็ปล่อยฉันซะทีสิ” ละอองดาวพูดเสียงขุ่นโดยไม่ยอมสบตากับเขา คีรีมันต์หัวเราะเบาๆ ในลำคอ ชายหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือกอย่างพยายามระงับอารมณ์ปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ภายในใจ ก่อนจะคลายวงแขนที่โอบกอดร่างระหงออก แล้วทิ้งตัวลงนอนบนฟูกตามเดิม ส่่วนละอองดาวรีบขยับตัวออกห่าง แล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้ชายหนุ่มทันที
คีรีมันต์หันไปมองคนที่นอนหันหลังให้เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าไปชิดร่างระหง แล้วยกแขนขึ้นวางพาดบนเอวหญิงสาว ละอองดาวสะดุ้งเฮือกทันทีพลางหันมาถามเสียงขุ่น
“คุณคิดจะทำบ้าอะไรอีก”
“นอนเถอะครับผมไม่ทำอะไรคุณหรอก อากาศมันหนาวขอแค่นอนกอดคุณเฉยๆ ให้ผมได้ไออุ่นจากคุณนะครับ” คีรีมันต์ทำเสียงอ้อน
“ไม่! ถอยไปนะ” ละอองดาวปฏิเสธ
“อย่ารังเกียจผมเลยนะครับ อนุญาตผมเถอะนะผมขอแค่นี้จริงๆ ฝันดีนะครับ จุ๊บ” พูดจบคีรีมันต์ก็จูบแก้มหญิงสาวเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลงทันทีโดยที่แขนของเขายังคงโอบกอดหญิงสาวเอาไว้
“ปล่อยฉันนะคีรีม