4 แววตา   1/    
已经是第一章了
4 แววตา
“ช่วยก้มหน้าลงนิดนึง มองตรงมาที่กล้อง กอดช่อดอกไม้ไว้แนบอก” รวีรินสั่งอนรรฆพลางมองดูชายหนุ่มผ่านเลนส์ของกล้องถ่ายรูป อนรรฆยิ้มแล้วก้มหน้าลงทันทีพลางถามมาว่า “ก้มแค่นี้พอมั้ยครับช่างภาพ” “มากเกินไปช่วยเงยหน้าขึ้นอีกนิดนึง” “แบบนี้เหรอครับช่างภาพ” ว่าแล้วอนรรฆก็เงยหน้าขึ้นสูงทันที รวีรินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าอนรรฆเงยหน้าสูงจนหน้าแหงนเกินความพอดี หญิงสาวลดกล้องถ่ายรูปลงพลางร้องถามไปว่า “นายไม่เข้าใจคำว่าเงยหน้านิดนึงเหรอ นั่นมันเรียกว่าแหงนหน้าแล้วนะ ก้มลงมาหน่อยไม่เคยถ่ายรูปทำบัตรประชาชนรึไง” “ก็ผมไม่รู้ว่าขนาดไหนถึงจะพอดีในกล้องถ่ายรูปนี่ครับคุณช่างภาพ แล้วเวลาทำบัตรประชาชนน่ะกล้องมันตั้งอยู่กับที่นะครับไม่ได้เคลื่อนไหวไปมาแบบนี้” อนรรฆย้อนกลับมายิ้มๆ รวีรินถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเป็นรอบที่เท่าไหร่หญิงสาวก็จำไม่ได้แล้ว เพราะนับตั้งแต่เริ่มถ่ายรูปของอนรรฆมา เอาตั้งแต่ตอนที่มารดาของเธอยังดูอยู่ด้วยตอนบ่ายสี่โมง จนถึงกระทั่งมารดาของเธอเดินทางไปจัดดอกไม้ให้ลูกค้า ซึ่งจะมีงานทำบุญบ้านในวันพรุ่งนี้กับน้ำฝน ดังนั้นคืนนี้จึงต้องนำดอกไม้ไปจัดตกแต่งที่บ้านงานให้เรียบร้อย ส่วนนิสาก็ขอตัวเข้าไปคัดดอกไม้ที่หลังร้านได้พักใหญ่แล้ว และขณะนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจวนจะหกโมงเย็นอยู่แล้ว แต่เธอเพิ่งจะถ่ายรูปอนรรฆได้แค่เพียงห้ารูปเท่านั้น ก็เพราะไอ้เรื่องก้มหน้าเงยหน้าแล้วก็จัดท่าทางให้ผู้ชายรูปหล่อจอมเจ้าชู้ตรงหน้านี่แหละ หญิงสาวชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอนรรฆไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเงยหน้าหรือก้มหน้าแค่ไหนจึงจะถ่ายรูปได้สวยงามพอดี หรือว่าเขากำลังแกล้งเธออยู่กันแน่ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้าวพรวดๆ เข้าไปหาร่างสูง ซึ่งกำลังยืนส่งยิ้มทะเล้นมาให้เธออย่างขุ่นเคือง พอเดินไปถึงรวีรินก็เขย่งปลายเท้าขึ้นเพราะอนรรฆสูงกว่าเธอมากทีเดียว เขาน่าจะสูงอย่างน้อยก็ร้อยแปดสิบเซนติ เมตรขึ้นไปอย่างแน่นอน หญิงสาวเอื้อมมือขวาไปจับปลายคางของชายหนุ่มส่วนมือข้างซ้ายก็เอื้อมไปจับใบหน้าของเขา จัดให้อยู่ในระดับพอดีไม่แหงนหน้ามากเกินไปหรือก้มหน้ามากจนเกินไป อนรรฆอมยิ้มนิดๆ เมื่อหญิงสาวเข้ามายืนอยู่ในระยะใกล้ จนเขาได้กลิ่นหอมของแชมพูอ่อนๆ โชยมาจากเรือนผมยาวสลวยที่ถูกผูกรวบเอาไว้ อีกทั้งกลิ่นหอมของแป้งเด็กที่หญิงสาวใช้ด้วย มันหอมละมุนนุ่มนวลดูเป็นธรรมชาติดีกว่ากลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ของพวกสาวๆ ทั้งหลายที่เขาควงอยู่มากทีเดียว ชายหนุ่มก้มลงมองสบตากับคนที่กำลังใช้มือเรียวนุ่มจับใบหน้าและแก้มของเขาขยับไปมา ให้ได้ระดับสวยงามพอดีในการถ่ายภาพอย่างนึกขำ ความจริงเขารู้หรอกว่าควรจะก้มหน้าหรือเงยหน้าแค่ไหนจึงจะถ่ายรูปได้สวยงามพอดี แต่ถ้าเขายอมทำตามแต่โดยดี ผู้หญิงร่างโปร่งบางตรงหน้าจะมายืนอยู่ใกล้เขาขนาดนี้เหรอ แถมยังใช้มือจับใบหน้าเขาไปมาอีกด้วย “มองอะไร” รวีรินถามตาขวางเสียงห้วน เมื่อเห็นอนรรฆกำลังจ้องมองเธออยู่ด้วยแววตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม และหวานเสียจนน่ากลัว ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบว่า “มองคนสวย” “ทะลึ่ง! ไม่ต้องมาทำปากหวานกับฉันนะฉันไม่เคลิ้มกับนายหรอก” หญิงสาวว่าพลางลดมือที่กำลังจับใบหน้าของเขาลงอย่างรวดเร็วทันที “ไม่ได้ปากหวานนะ พูดจริงๆ” “งั้นก็ขอบใจ แต่นายเลิกพล่ามได้แล้วฉันขี้เกียจฟัง” “เฮ้อ! เธอนี่นะ จริงๆ แล้วเธอเรียนอยู่ม.หก เองไม่ใช่เหรอ” “ใช่ แล้วทำไม” “แต่ฉันเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย” “แล้วไง” “ก็แล้วทำไมเธอถึงไม่เรียกฉันว่าพี่ล่ะ” รวีรินยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำถามของอนรรฆก่อนตอบกวนๆ ว่า “ก็ฉันไม่ได้เคารพ ไม่ได้นับถือนาย แล้วนายก็ไม่ใช่ญาติผู้พี่ของฉัน เหตุผลแค่นี้พอมะที่ฉันจะไม่เรียกนายว่าพี่” “โอเค ซึ้ง” อนรรฆพยักหน้าอย่างยอมรับ “เข้าใจก็ดีแล้ว แล้วก็ช่วยให้ความร่วมมือในการถ่ายรูปหน่อยมันจะได้เสร็จเร็วๆ เราจะได้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก” “หืม รังเกียจฉันขนาดนั้นเชียว” อนรรฆถามยิ้มๆ “ใช่ ว้าย!” รวีรินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในตอนแรก ก่อนจะร้องอุทานอย่างตกใจเมื่ออยู่ดีๆ อนรรฆก็ตวัดแขนโอบเอวเธอรั้งเข้าไปใกล้ ก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูหญิงสาวว่า “มาลองดูมั้ยว่าฉันจะทำให้เธอเลิกรังเกียจฉัน แล้วก็เรียกฉันว่าพี่ได้รึเปล่าสาวน้อย” “ปล่อยเอวฉันนะ อีตาบ้า!” รวีรินร้องสั่งใบหน้าแดงระเรื่อ ใจเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้กับความใกล้ชิด ชนิดรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่ายที่รินรดอยู่ข้างแก้มเนียนใส ถึงเธอจะมีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายอย่างชยางกูรแต่รวีรินก็ไม่เคยใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ สำหรับรวีรินนั้นคิดว่าเพื่อนสนิทกันเรื่องถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่โดยมากจะเป็นรวีรินมากกว่า ที่เป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายชยางกูรก่อนด้วยการฟาดด้วยฝ่ามือบ้าง หรือใช้กำปั้นชกที่ลำตัวบ้างเวลาที่อีกฝ่ายกวนประสาทเธอ แต่ชยางกูรไม่เคยทำรุ่มร่ามมาแตะเนื้อต้องตัวเธอก่อนเลย เพราะให้เกียรติเธอซึ่งเป็นเพื่อนรัก แต่ผู้ชายคนนี้กำลังใกล้ชิดกับเธอในระยะอันตราเกินไปแล้ว “หึๆ เธอหน้าแดงหมดแล้ว” อนรรฆหัวเราะในลำคอขณะที่พูด พร้อมทั้งปล่อยเอวหญิงสาวออก พลางมองดูใบหน้าเนียนใสที่กำลังเป็นสีระเรื่อด้วยความโกรธและความอายผสมกันอย่างขบขัน ก่อนจะพูดอย่างยั่วเย้าต่อไปอีกว่า “ใช้แป้งอะไรน่ะ แก้มหอมจัง แค่อยู่ใกล้ๆ ยังได้กลิ่นเลยถ้าได้หอมแก้มจริงๆ จะชื่นใจขนาดไหนนะ” “นายไอ้คนเจ้าชู้ ชีกอ ขี้หลี กะล่อน ฉวยโอกาส” รวีรินรัวคำด่าออกมาชนิดไม่ต้องคิดให้เสียเวลา พลางชี้หน้าชายหนุ่มอย่างขุ่นเคือง อนรรฆหัวเราะหญิงสาวตรงหน้าอย่างขบขันไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิดที่ถูกอีกฝ่ายด่าว่า “อืม เป็นคำชมที่ดีมาก” อนรรฆพูดยิ้มๆ ความจริงเมื่อครู่เขาก็เกือบจะเผลอหอมแก้มรวีรินไปแล้ว โชคดีที่ยับยั้งชั่งใจได้ทัน เพราะเกรงว่านิสาหรือคนอื่นจะมาเห็นเข้า ซึ่งจะทำให้หญิงสาวตรงหน้าเสื่อมเสียได้ แม้จะรู้สึกเสียดายนิดๆ ก็เถอะ ก็หอมซะขนาดนั้นถ้าได้หอมจริงๆ คงจะทั้งหอมทั้งเนียนนุ่มเลยทีเดียว “ไม่ต้องถ่ายมันแล้วไอ้รูปบ้าๆ นี่” รวีรินพูดพลางทำท่าจะเดินหนีไปทันทีด้วยความฉุนเฉียว แต่อนรรฆคว้ามือของหญิงสาวเอาไว้เสียก่อน พลางเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ น่ารวีริน น้าวรรณ พี่สา แล้วก็พี่ฝน อุตส่าห์ช่วยกันจัดแจกันกับช่อดอกไม้เอาไว้แล้ว เธอจะมาเลิกถ่ายรูปกลางคันเพราะความโมโห แล้วไม่คิดถึงจิตใจของคนที่จัดเตรียมของพวกนี้บ้างเหรอ” รวีรินหันไปมองช่อดอกไม้กับแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างลังเล อนรรฆจึงพูดต่อไปอีกว่า “ฉันสัญญาว่าจะไม่แกล้ง ไม่กวนประสาทเธออีก เรามาถ่ายรูปให้เสร็จ โอเคมั้ย” รวีรินถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดได้ว่ามารดาของเธอและหญิงสาวรุ่นพี่ทั้งสองคนตั้งใจมากแค่ไหน ที่ช่วยกันจัดช่อดอกไม้และแจกันดอกไม้พวกนี้เอาไว้อย่างสวยงามเพื่อให้เธอถ่ายรูป แต่เธอกลับจะมาเลิกถ่ายรูปกลางคัน เพราะความโมโหนายแบบจอมเจ้าชู้อย่างอนรรฆ โดยไม่สนใจความตั้งใจของคนอื่นเลย หญิงสาวถอนหายใจอีกรอบก่อนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้ นายช่วยให้ความร่วมมือด้วยก็แล้วกัน มันจะได้เสร็จไวๆ” “โอเค สาวน้อย” อนรรฆพูดพลางวางมือลงบนศีรษะหญิงสาวแล้วโยกเบาๆ อย่างเอ็นดู รวีรินปัดมือเขาออกทันทีพลางพึมพำ “ไม่ต้องมาทำท่าทางสนิทสนมกับฉันแบบนี้ ฉันไม่ชอบ” อนรรฆเพียงแค่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะตั้งอกตั้งใจให้ความร่วมมือกับหญิงสาวในการถ่ายรูปจริงๆ ตามที่รับปาก แต่ในระหว่างที่ถ่ายรูปก็เล่นเอาช่างภาพอย่างรวีรินต้องใจเต้นแบบแปลกๆ กับแววตาของคนที่มองสบตากับเธอผ่านเลนส์กล้อง ซึ่งหวานและอ่อนโยนจนเกินเหตุ จนหญิงสาวต้องพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “ตาเจ้าชู้ชะมัดเลยอีตาบ้านี่” การถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยในเวลาเกือบหนึ่งทุ่มตรงพอดี “ขอบคุณมาก ที่ช่วยมาเป็นนายแบบให้” รวีรินกล่าวขอบคุณอนรรฆเบาๆ เมื่อเดินตามออกมาส่งเขาที่หน้าร้าน ส่วนนิสากำลังเก็บช่อดอกไม้และแจกันอยู่ภายในร้าน อนรรฆอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดว่า “ไม่เป็นไร แต่ขอเปลี่ยนคำขอบคุณ เป็นออกเดทสักวันได้มั้ย” “เชอะ! ฝันไปเถอะ” รวีรินพูดพลางเผลอค้อนชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้โดยไม่รู้ตัว อนรรฆซึ่งยืนมองกิริยาของหญิงสาวอยู่เลยอดที่จะยิ้มไม่ได้พลางพูด “ไม่เป็นไร วันนี้ยังไม่ตกลงไว้ชวนใหม่วันหลังก็ได้ เดี๋ยวเธอต้องใจอ่อนซักวันแน่ๆ” “ไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะ แค่สต๊อกผู้หญิงที่นายมีอยู่ ก็คงสับรางออกเดทไม่ทันแล้วมั้ง อย่ามาอยากได้ฉันไปเพิ่มเลยบอกตามตรงว่าไม่ปลื้ม” “อืม แล้วถ้าโละสต๊อกจนหมด ไม่เหลือใครซักคนเธอจะยอมไปเดทกับฉันมั้ย” “ไอ้คำพูดแบบนั้นเอาไว้หลอกยัยพี่ยิหวากับยัยพี่จุ๊บแจงอะไรนั่นเถอะ อย่าเอามาหลอกฉันซะให้ยากเลย” รวีรินพูด อนรรฆยังคงมองใบหน้าสวยคมของหญิงสาวยิ้มๆ ก่อนจะถามว่า “แปลกจังนะทำไมเธอจำชื่อสาวๆ ของฉันแม่นจัง แสดงว่าสนใจฉันนะเนี่ย” “อย่าพูดให้ฉันขำเลยน่าจะหลงตัวเองมากไปแล้ว ฉันนี่นะจะสนใจผู้ชายเจ้าชู้อย่างนาย แล้วอีกอย่างนะวันนั้นยัยพี่สาวสองคนนั่นเสียงออกจะดังขนาดนั้น ฉันว่าคนในร้านอาหารก็คงจะจำได้หมดแหละ ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวหรอกย่ะ” “งั้นเหรอ แต่ฉันดีใจนะที่เธอจำเรื่องของฉันได้ แสดงว่าฉันอยู่ในใจของเธอเสมอ” “ใช่ นายอยู่ในใจฉันเสมอแหละ ฉันไม่เคยลืมหรอกนะว่านายเป็นผู้ชายเจ้าชู้มากขนาดไหนนายขุนแผน” “ไปนะ นอนหลับฝันดีนะครับ” อนรรฆพูดยิ้มๆ ก่อนจะก้าวไปขึ้นรถแล้วขับออกไป รวีรินมองตามท้ายรถมินิคูเปอร์สีส้มไปจนลับตาก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดกับตัวเองว่า “นายจอมเจ้าชู้เอ๊ย อย่ามาจีบฉันซะให้ยากเลย ฉันไม่หลงคารมนายหรอก” “โอ้โฮ้! หนุ่มจอมเจ้าชู้ของเธอนี่ถ่ายรูปขึ้นกล้องนะ” ชยางกูรพูด พลางหยิบรูปถ่ายของอนรรฆซึ่งรวีรินเอามาล้างและอัดขยาย ขนาดเท่ากระดาษเอสี่ แล้วกำลังนั่งจัดทำเป็นรูปเล่มแคตตาล็อกอยู่ที่ชมรมถ่ายภาพ ในช่วงพักกลางวันขึ้นมาดูยิ้มๆ รวีรินปรายตาขึ้นมองเพื่อนสนิททันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่อีกฝ่ายว่า “อยากตายแบบไม่ได้สั่งลาแฟนคลับรึไงนายชัตเตอร์ หมอนั่นไม่ใช่ของฉันพูดให้มันดีๆ หน่อย” “คร้าบๆ กลัวแล้วครับคุณเพื่อนรัก เธอนี่มันจอมโหดจริงๆ เลยนะริน ตบตี ซ้อมฉันเป็นประจำ แถมยังขู่จะฆ่าฉันได้ทุกวันอีกด้วย” ชยางกูรบ่นพลางส่ายหน้า “น้อยๆ หน่อยนายชัตเตอร์ เวอร์ย่ะ ฉันตบตีนายเฉพาะตอนนายกวนประสาทฉันเท่านั้นแหละ แต่เมื่อเช้านี้นายก็เกือบจะถูกฆ่าตายจริงๆ เพราะฝีมือนีซแล้วนะ นายเกือบจะได้กลายเป็นวิญญาณจริงๆ แล้วล่ะ นายชัตเตอร์กดติดวิญญาณ เออ แต่ฉันว่านีซเข้าใจตั้งฉายาให้นายนะ ฮะๆๆ” รวีรินพูดพลางหัวเราะอย่างขบขัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าที่นวพธูหัวหน้าสารวัตรนักเรียนชั้นมธยมหกบุกมาอาละวาดชยางกูรถึงชมรม ด้วยสาเหตุที่นายเพื่อนรักของเธอสั่งให้เด็กรุ่นน้องในชมรม ไปแอบตามถ่ายภาพนวพธูกับธนัชนนท์หัวหน้าสารวัตรนักเรียนชั้นมัธยมหก แล้วเอาไปติดที่บอร์ดกลางปล่อยข่าวว่าทั้งคู่เป็นคู่รักคู่ใหม่ของเซนต์แองเจล่า ทำให้นวพธูโกรธมากจนแทบจะฆ่าชยางกูรเลยทีเดียว โชคดีที่ธนัชนนท์ตามมาพูดจนนายเพื่อนรักของเธอยอมไปเอารูปออกจากบอร์ด แล้วก็แก้ข่าวให้ทั้งสองคน นวพธูจึงยอมกลับออกไปแต่โดยดี “เฮอะ ฉันอุตส่าห์หวังดีช่วยประกาศให้ ยัยนีซยังจะมาโกรธฉันอีก” ชยางกูรบ่น “ก็สองคนนั้นยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันซะหน่อย นายไปทำอย่างนั้นผู้หญิงเค้าก็อายสิ ถ้าเป็นฉันนะนายไม่รอดหรอกเมื่อเช้าน่ะ ยังไงฉันก็ต้องขอซัดนายซักหมัดเอาให้ตาเขียวหมดหล่อไปเลย” “เออๆ โหดเข้าไป เมื่อไหร่เธอจะมีแฟนซะทีล่ะ จะได้เลิกเอาฉันเป็นกระสอบทรายซะที” “พูดง่ายเหมือนซื้อข้าวกลางวันกินเลยนะยะ” รวีรินว่าพลางค้อนชยางกูร อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ก็เพราะเธอไม่ยอมเป็นแฟนกับนายอะไรนะที่อยู่โรงเรียนชายล้วนซานรีออทน่ะ” “นายตรีภพ สามโลก นักฟุตบอลโรงเรียนซานรีออทจอมเจ้าชู้นั่นน่ะเหรอ ฉันไม่เอาด้วยหรอก” รวีรินเบ้หน้าทันทีเมื่อนึกไปถึงหนุ่มหล่อนักฟุตบอลโรงเรียนซานรีออทที่ได้รู้จักกัน ระหว่างที่แข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนมัธยมในละแวกนี้ เนื่องจากตรีภพเป็นคนหน้าตาดี เล่นฟุตบอลเป็นกองหน้าซึ่งเขาก็เล่นเก่งและโดดเด่นมาก ดังนั้นรวีรินซึ่งรับหน้าที่ทำสกู๊ปนักกีฬาเด่นในการแข่งขันกีฬามัธยมคราวนั้น จึงไปขอสัมภาษณ์และทำข่าวเขา เพื่อเอามาลงข่าวหนังสือพิมพ์โรงเรียนเลยทำให้เธอได้รู้จักกับเขา หลังจากจบการแข่งขันกีฬารวีรินก็รู้ว่าหายนะมาเยือนเธอซะแล้ว เพราะตรีภพตามมาจีบเธออย่างเอาจริงเอาจัง แต่หญิงสาวไม่เล่นด้วยเพราะรู้ว่าเขาขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความเจ้าชู้มาก ที่เขายอมเลิกราตามจีบเธอในที่สุดก็เพราะรวีรินเอาชยางกูรมาอ้างว่าเป็นแฟนนั่นเองเรื่องถึงได้จบ “ดวงเธอนี่สงสัยจะได้แฟนเจ้าชู้แล้วมั้งริน หนุ่มรุ่นพี่คามิลล่าคนนี้ก็ท่าทางจะชอบเธอมากนะ” ชยางกรูพูดขึ้นพลางหยิบรูปของอนรรฆขึ้นมามองยิ้มๆ รวีรินชะงักมือที่กำลังจัดรูปอยู่แล้วเงยหน้าขึ้นถามชยางกูรทันทีว่า “ตกลงนายอยากตายจริงๆ ใช่มั้ยชัตเตอร์ ไปพูดถึงนายจอมเจ้าชู้นั่นทำไม” “ก็ฉันดูออกว่าเค้าชอบเธอนี่” “แสนรู้นะยะ” รวีรินประชด “แสนรู้น่ะมันหมา ช่วยเปรียบเพื่อนรักเธอดีๆ หน่อย” “ทำไมนายถึงคิดว่าหมอนั่นชอบฉัน อย่าพูดเหมือนที่พูดถึงนีซกับธีมเมื่อเช้านี้นะมันซ้ำซาก” “เออ ฉันจะพูดอย่างนั้นแหละ ก็เธอดูแววตาเค้าสิ แววตานี่กำลังมองกล้องหรือว่ามองตาเธอกันแน่ หวานเยิ้มซะขนาดนี้ เธอมองสบตากับเขาผ่านเลนส์กล้องอยู่ดูไม่รู้รึไงเพื่อนรัก หึๆๆ” ชยางกูรพูดจบก็หัวเราะเบาๆ รวีรินอึ้งไปครู่หนึ่ง พลางนึกถึงเมื่อวานตอนที่เธอถ่ายภาพอนรรฆ หลังจากที่เขาให้สัญญาว่าจะไม่แกล้งไม่กวนประสาทเธอแล้ว เขาก็ทำจริงอย่างที่พูด คือการตั้งใจเป็นนายแบบที่ดีให้เธอถ่ายรูป แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจของเธออยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่บัดนั้น กลับกลายเป็นสายตาหวานๆ ของเขาที่มองสบกับเธอผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูปนั่นแหละ “เหลวไหลน่าชัตเตอร์ ผู้ชายเจ้าชู้ก็เลยทำตาเจ้าชู้อย่างนั้นจนติดเป็นนิสัยน่ะสิ” รวีรินพูดขึ้น ชยางกรูอมยิ้มก่อนจะพูดว่า “แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ แววตาคนน่ะหลอกกันไม่ได้” “ไร้สาระ” “ก็คอยดูสิ ฉันว่านี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกนะริน เธอเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เถอะ หึๆ” ชยางกรูพูดจบก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องมืดทันที “นับวันยิ่งพูดอะไรกวนประสาทนะหมอนี่” รวีรินบ่นพึมพำตามหลังเพื่อนสนิทพลางส่ายหน้า “ไอเฟล ไอเฟล ไอ้คุณอนรรฆ” “เฮ้ย! นายจะมาตะโกนกรอกหูฉันเพื่ออะไรวะคีน แสบแก้วหูนะโว้ยเรียกเบาๆ ก็ได้ยินแล้ว” อนรรฆหันมาโวยวายคณาธิปซึ่งเดินมาก้มลงร้องเรียกเขาในระยะประชิดอย่างฉุนๆ “ชิชะ ไอ้หอไอเฟล ลองถามโยกับทิมสิว่าฉันเรียกนายกี่รอบแล้ว เอาแต่นั่งใจลอยอมยิ้มอยู่นั่นแหละ” “ฮะ นายเรียกฉันหลายรอบแล้วเหรอ” อนรรฆทำหน้างง “เออสิ ใจลอยไปถึงไหนวนเวียนอยู่แถวๆ ร้านดอกไม้รึเปล่า” คณาธิปถามยิ้มๆ พลางจ้องหน้าอนรรฆอย่างจับผิด “อะไร ร้านดอกไม้อะไรของนาย” อนรรฆเฉไฉ “สงสัยเมื่อวานต้องมีอะไรดีๆ ที่ร้านดอกไม้แน่ๆ เลยนายถึงได้เอาแต่นั่งใจลอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตั้งแต่เช้าแล้วแบบนี้ เล่ามาซะดีๆ นะไอ้นายแบบกิตติมศักดิ์” ภานุวัฒน์ซึ่งกำลังนั่งไขว้ห้างเอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์อยู่พูดมา “หวังว่านายคงไม่ได้ไปแอบทำมิดีมิร้ายลูกสาวคุณน้าร้านดอกไม้ ที่เคารพและสนิทมากมาหรอกนะไอเฟล” ทิวากรซึ่งยืนเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง พิงกรอบหน้าต่างของห้องโถงอยู่ดักคออนรรฆ “เฮ้ย! นายอย่าหาเหามาใส่หัวฉันได้มั้ยทิม นายเห็นฉันเป็นคนยังไงวะ” อนรรฆโวยวายแต่ก้มหน้าหลบสายตาทิวากร “ฉันก็เห็นนายเป็นไอ้คนเจ้าชู้ ชีกอ ขี้หลี กะล่อน แล้วก็ฉวยโอกาสไง” ทิวากรพูดหน้าตาเฉย “ไอ้บ้า! ฉันไม่กล้าทำอะไรขนาดนั้นอย่างที่นายคิดหรอกน่า” “งั้นก็แสดงว่าทำ ไม่งั้นนายไม่มานั่งยิ้มอย่างนี้หรอก” คณาธิปสรุป “ไอเฟลนายอยากโดนข้อหาพรากผู้เยาว์รึไง” ภานุวัฒน์ถามยิ้มๆ “เฮ้! พรากผู้เยาว์บ้าบออะไรกัน รวีรินอายุสิบแปดแล้วนะ แล้วนี่พวกนายสามคนกำลังคิดไปไกลถึงไหนกันแล้ววะ” อนรรฆว่าเพื่อนๆ ใบหน้าขาวๆ ของเขาเริ่มเป็นสีระเรื่อ “แล้วตกลงเมื่อวานนายทำอะไรเด็กคนนั้น” ทิวากรถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น พลางเปลี่ยนจากเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมาเป็นกอดอก แล้วจ้องหน้าอนรรฆแทนราวกับทนายกำลังซักจำเลย “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรแบบที่พวกนายกำลังคิดนะ ก็แค่แกล้งเค้านิดๆ หน่อยๆ เอง” “แกล้งยังไง” ภานุวัฒน์ถาม “ก็แค่...โอบเอว...ดึงตัวเข้ามา แล้วก็ก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหูใกล้ๆ ก็เท่านั้นเอง” “นั่นไงนิสัยชีกอเริ่มโผล่ออกมาแล้ว” ทิวากรว่าพลางส่ายหน้า “ฉันก็แค่อยากจะแกล้งให้เค้าเขินเท่านั้นเองนะ” “แต่ถ้ามีโอกาสแล้วก็ไม่ได้กำลังอยู่ในร้านดอกไม้ ฉันไม่เชื่อว่านายจะไม่ถือโอกาสหอมแก้มเด็กคนนั้น” ทิวากรพูดขึ้น อนรรฆหน้าแดงก่ำทันทีขณะที่โวยวายยอมรับว่า “เออๆ ในเมื่อนายยัดเยียดข้อหาฉันนัก ฉันยอมรับก็ได้ ฉันไม่ใช่พระอรหันต์อย่างนายนี่นาไอ้บ้าทิม ใครจะไปอดใจไหวล่ะ แก้มเนียนขนาดนั้นแถมแค่ก้มลงไปใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นหอมแล้ว ถ้ามีโอกาสก็จะหอมโว้ย” คณาธิปซึ่งนั่งฟังยิ้มๆ อยู่นานแล้วระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันทีพูด “ฮะๆๆ ขำว่ะ เหลือเชื่อเลยที่ไอ้เพลย์บอยตัวร้ายหักห้ามใจได้ ปกตินายไม่เคยพลาดไม่ใช่เหรอไอเฟล ฉันเห็นรายไหนรายนั้นออกเดทกับนายแค่วันแรกก็โดนจูบแล้วแถมเต็มใจให้นายจูบซะด้วย” “ฉันเดาว่าเด็กคนนั้นไม่เต็มใจกับมันน่ะสิ” ทิวากรพูด “เออ มองฉันตาขวางเลย แถมด่าแบบที่นายด่าฉันเปี๊ยบเลยไอ้บ้าทิม” อนรรฆมองทิวากรอย่างเคืองๆ แต่ทิวากรยิ้มอย่างสะใจนิดๆ “แต่นั่นไม่น่าจะใช่เหตุผลหลักที่นายไม่ขโมยหอมแก้มเด็กคนนั้น” ภานุวัฒน์เดา อนรรฆถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เฮ้อ ฉันทำไม่ได้หรอกไม่อยากถูกเกลียดมากกว่าเดิม” “หืม เพิ่งจะเคยเห็นนายกลัวถูกผู้หญิงเกลียดเป็นครั้งแรกนะนี่” คณาธิปพูดยิ้มๆ “แสดงว่าคนนี้ไม่เหมือนใคร” ภานุวัฒน์พูดขึ้น “จะเหมือนได้ยังไงล่ะ ก็ที่ผ่านๆ มา มีแต่คนเต็มใจให้มันกอดจูบทั้งนั้น เพิ่งจะมีคนนี้แหละที่ไม่เต็มใจกับมัน”ทิวากรพูดอย่างชื่นชมหญิงสาวรุ่นน้องที่เขายังไม่เคยเห็นหน้า “เอาน่าพวกนายไม่ต้องสันนิษฐานมากหรอก ฉันก็แค่แกล้งเค้าเล่นๆ เท่านั้นแหละ ก็บอกแล้วไงว่าเด็กม.ปลายไม่ใช่สเป็คฉัน” อนรรฆพูดขึ้นอย่างตัดความรำคาญ คณาธิป ภานุวัฒน์และทิวากรมองสบตากันทันที เมื่อเห็นอาการของอนรรฆ ก่อนที่คณาธิปจะพูดเปรยๆ ว่า “ให้มันจริงเถอะ หึๆๆ”
已经是最新一章了
加载中