6 เลี้ยงตอบแทน
“ฮึ่ย! ไอ้คนชีกอ ลามก จอมเจ้าชู้ ฉันเกลียดนาย” รวีรินบ่นพึมพำด้วยความโมโห เมื่อนึกถึงตอนที่อนรรฆก้มลงมาสูดดมเรือนผมของเธอทีไร หญิงสาวก็อารมณ์เสียทุกที
“เป็นอะไรของเธอน่ะริน ฉันเห็นเธอนั่งบ่นพึมพำทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ เมื่อวานโดนคุณพี่ไอเฟลกวนประสาทมาอีกรึไง” ชยางกูรถามขึ้นเขารู้เรื่องที่อนรรฆมารับประทานข้าวเย็นที่บ้านของเพื่อนสาวมาตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว เพราะรวีรินมานั่งบ่นให้ฟังที่โรงเรียนทุกวันด้วยความหมั่นไส้ชายหนุ่มรุ่นพี่
“อย่าพูดถึงหมอนั่นได้มั้ย” รวีรินพูดเสียงห้วน
“เอ้า! ตกลงเมื่อวานเธอโดนเค้ากวนประสาทอะไรมาอีกล่ะ วันนี้ถึงได้อารมณ์เสียมาตั้งแต่เช้ายันเที่ยงเลย นี่หน้าเธอบูดจนฉันจะกินข้าวเที่ยงไม่ลงแล้วนะริน”
“ก็ไอ้หมอนั่น...” รวีรินพูดได้แค่นั้นแล้วก็ชะงักทันที เธอจะไปเล่าสิ่งที่อนรรฆทำในห้องครัวให้ชยางกูรฟังได้ยังไง ถึงเขาจะเป็นเพื่อนรักของเธอแต่เรื่องน่าอายแบบนี้รวีรินเล่าไม่ได้หรอก โดนผู้ชายเจ้าชู้ถือโอกาสลวนลามน่าอับอายขายหน้าที่สุดเลย
“เค้าทำอะไรเธอถึงได้โมโหขนาดนี้” ชยางกูรซักทันที
“ก็...จะทำอะไรล่ะ ก็ออดอ้อนแม่จนน่าหมั่นไส้น่ะสิ พอฉันว่าเข้าหน่อยแม่ก็หันมาว่าฉันเลย เดี๋ยวนี้นับวันฉันยิ่งแตะต้องหมอนั่นไม่ได้น่าโมโหชะมัด” รวีรินหาทางออกให้ตัวเองจนได้ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้โกหกชยางกูร เพราะมันคือเรื่องจริงเพียงแต่รวีรินเล่าไม่หมดเท่านั้นเอง
“เธอก็อย่าไปสนใจเค้าสิ จะได้ไม่ต้องมานั่งอารมณ์เสียแบบนี้” ชยางกูรบอก
“อืม ฉันจะพยายาม แล้วตกลงเมื่อเช้าโรมเรียกนายไปหาที่ห้องสภานักเรียนทำไมล่ะ”
“สงสัยหมอนั่นจะมีแผนอะไรอีกแล้วมั้ง เห็นเรียกฉันไปคุยเรื่องจะทำโปรเจคคู่รักตัวอย่างส่งเข้าประกวดน่ะ”
“ฮะ โปรเจคคู่รักตัวอย่างงั้นเหรอ”
“ใช่”
“แล้วโรมจะให้นายทำอะไรกับไอ้โปรเจคประหลาดนี้ล่ะ”
“หมอนั่นบอกให้ชมรมเราตามเก็บภาพคู่รักตัวอย่างให้น่ะสิ ทั้งถ่ายภาพนิ่งแล้วก็ถ่ายวีดีโอด้วยนะ”
“หือ ลงทุนขนาดนั้นเลยเหรอ อยากรู้จังว่าไอ้โปรเจคนี้ถ้าชนะจะได้รางวัลอะไร” รวีรินพูดอย่างสนใจ ชยางกูรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
“รางวัลอะไรฉันไม่รู้หรอก แต่ถ้าเธอรู้ว่าคู่รักตัวอย่างที่ชมรมเราจะต้องไปตามถ่ายรูปเป็นใครเธอต้องอึ้งแน่ๆ”
“ใครล่ะ”
“ธนัชนนท์ห้องหกเอกับนวพธูห้องหกบี หัวหน้าสารวัตรนักเรียนระดับชั้นม.หกไง” ชยางกูรตอบยิ้มๆ
“หา! ธีมกับนีซนี่นะสองคนนั้นตกลงเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันตกข่าวรึเปล่าเนี่ย” รวีรินถามอย่างงุนงง แต่ชยางกูรหัวเราะอีกรอบก่อนตอบว่า
“เท่าที่ฉันรู้ก็คือยัง แถมตอนนี้นีซยังแยกไปนั่งกินข้าวเที่ยงกับจินนี่สองคน ส่วนธีมก็แยกไปนั่งกินข้าวกับวินสองคนด้วย”
“อันนั้นฉันก็รู้ย่ะ ก็นายให้พวกรุ่นน้องไปเที่ยวตามถ่ายภาพสี่คนนั้นมา แล้วก็เอาไปติดบอร์ดกลางปล่อยข่าวว่าวินกับจินนี่เลิกกันไง บุญเท่าไหร่แล้วที่จินนี่กับวินไม่บุกมาอาละวาดเหมือนคราวที่นายปล่อยข่าวว่าธีมกับนีซเป็นแฟนกันน่ะ แล้วนายโรมเค้าคิดยังไง ถึงไปให้ธีมกับนีซเป็นคู่รักตัวอย่างทั้งที่สองคนนั้นไม่เป็นแฟนกันจริงๆ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจหมอนั่นหรอก เธอก็รู้อยู่แล้วนี่ว่านายโรมประธานสภาของเราเป็นอัจฉริยะ คนไอคิวธรรมดาๆ อย่างเรา คิดตามหมอนั่นไม่ทันหรอกมันชอบคิดอะไรซับซ้อนจะตาย”
“แล้วโรมให้เริ่มงานเมื่อไหร่ล่ะ” รวีรินถาม
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป” ชยางกูรตอบ
“รินมาพอดีเลยลูก” เสียงมารดาของเธอทักขึ้น ทันทีที่รวีรินผลักประตูร้านก้าวเข้าไปในตอนเย็น ด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจจนหญิงสาวนึกประหลาดใจ
“แม่รอรินอยู่เหรอคะ มีอะไรรึเปล่าคะ ไหนว่าวันนี้จะปิดร้านแต่วันรีบไปจัดดอกไม้ให้ลูกค้ากันไม่ใช่เหรอ”
“มีเรื่องด่วนจ้ะ คือว่าลูกค้าเราที่จะมีงานเลี้ยงคืนนี้ ที่แม่ไปจัดดอกไม้ให้เมื่อเช้าเค้าโทรมาบอกว่ามีเด็กเข้าไปเล่นซน ทำดอกไม้ที่ตกแต่งอยู่ตกลงมาเสียหายหลายจุด เค้าก็เลยขอให้เราช่วยเอาดอกไม้ไปจัดให้เค้าเพิ่มหน่อย ก่อนที่งานจะเริ่มตอนหนึ่งทุ่มจ้ะ” มารดาของเธอเล่า
“อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะคะ แม่ พี่สา แล้วก็พี่ฝนก็ต้องรีบไปจัดดอกไม้ไม่ใช่เหรอคะ” รวีรินถาม คุณรวีวรรณพยักหน้าก่อนจะพูดว่า
“จ้ะ พวกเราสามคนไปไม่ได้ แม่ก็เลยว่าจะให้รินช่วยนั่งแท็กซี่ไปจัดดอกไม้แทนแม่หน่อยได้มั้ยลูก แค่เอาดอกไม้ไปซ่อมแซมจุดที่เสียหายแม่รู้ว่ารินทำได้อยู่แล้ว”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ตอนนี้สี่โมงครึ่งแล้ว ถ้างั้นขอรินขึ้นไปเปลี่ยนชุดแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวจะรีบลงมาแล้วนั่งรถไปทันทีเลย” รวีรินบอกมารดาพลางวิ่งสะพายเป้ขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณรวีวรรณจึงหันไปบอกนิสากับน้ำฝนให้ช่วยกันยกดอกไม้ ที่จะให้รวีรินนำไปซ่อมแซมให้ลูกค้าออกมาวางไว้ตรงหน้าร้าน เพื่อจะได้สะดวกเวลายกขึ้นรถแท็กซี่
“สวัสดีครับน้าวรรณ พี่สา พี่ฝน มาผมช่วยครับน้าวรรณ” อนรรฆซึ่งก้าวลงมาจากรถทักทายทุกคน พลางรีบมาช่วยรับดอกไม้หอบใหญ่จากคุณรวีวรรณไป
“จะขนดอกไม้ไปไหนกันเหรอครับเยอะแยะไปหมดเลย แล้วทำไมถึงแบ่งเป็นสองฝั่งล่ะครับ” อนรรฆถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นดอกไม้ถูกวางแยกออกเป็นสองฝั่ง ซึ่งฝั่งหนึ่งมากกว่าอีกฝั่งอย่างเห็นได้ชัด
“ต้องแบ่งค่ะ ฝั่งโน้นที่ไม่มากจะให้รินเอาไปซ่อมแซมให้ลูกค้าด่วน ส่วนฝั่งนี้น้าจะเอาไปจัดให้ลูกค้าคืนนี้ค่ะ แล้วก็ว่าจะปิดร้านเลยขอโทษด้วยนะคะคุณไอเฟลเลยไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกัน”
“ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับน้าวรรณ ผมต่างหากที่มารบกวนทุกวัน” อนรรฆพูดขึ้น
“แม่คะ ไหนคะดอกไม้ที่จะให้รินเอาไปจัดให้ลูกค้า” รวีรินในชุดเสื้อเชี้ตลายสก๊อตสีน้ำเงินสลับขาวเข้ารูป พับแขนขึ้นถึงข้อศอกกับกางเกงยีนขายาวสีดำถามขึ้นทันทีที่วิ่งลงบันไดมา หญิงสาวชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นอนรรฆยืนอยู่ แต่แล้วก็ทำเป็นมองผ่านเขาไป พลางหันไปถามมารดาซ้ำอีกครั้ง พร้อมทั้งชี้มือไปทางดอกไม้ฝั่งที่มีน้อยกว่า
“รินต้องเอาดอกไม้ฝั่งนี้ไปจัดให้ลูกค้าใช่มั้ยคะ”
“ใช่จ้ะ สาไปเรียกรถแท็กซี่เลยรินจะได้รีบไป เดี๋ยวจะไปจัดดอกไม้ให้ลูกค้าไม่ทันเวลา” คุณรวีวรรณพูดกับรวีรินเสร็จก็หันไปบอกนิสาเรียกรถแท็กซี่ทันที นิสากำลังจะก้าวออกไปเรียกแท็กซี่อยู่แล้ว แต่อนรรฆก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนครับพี่สา เอ่อ น้าวรรณครับ น้าวรรณจะให้น้องรินนั่งรถแท็กซี่เอาดอกไม้ไปจัดให้ลูกค้ากับใครเหรอครับ”
“ยัยรินไปคนเดียวค่ะ พอดีน้าไปไม่ได้เพราะติดงานอีกงาน สากับฝนก็ต้องไปช่วยด้วยเดี๋ยวจะเสร็จไม่ทัน”
“พี่สาเรียกรถเถอะค่ะ รินจะรีบไปแล้วมัวแต่คุยกันเสียเวลาเปล่าๆ” รวีรินหันไปบอกนิสาอีกรอบ แต่อนรรฆก็ขัดขึ้นว่า
“ไม่ต้องครับพี่สา น้าวรรณครับถ้าจะให้น้องรินนั่งรถแท็กซี่ไปคนเดียว ผมขับรถไปส่งให้ดีกว่าครับ แล้วจะได้รอรับกลับมาด้วยเลย เพราะตอนกลางคืนนั่งรถแท็กซี่กลับคนเดียวมันอันตรายนะครับ”
“เอ่อ” คุณรวีวรรณลังเล
“ไม่ต้องค่ะแม่ รินไปเองกลับเองคนเดียวได้” รวีรินรีบพูดขัดขึ้นทันที ถ้าจะให้เธอต้องนั่งรถไปกับตัวอันตรายอย่างอนรรฆ สู้เธอยอมนั่งรถแท็กซี่ไปเองคนเดียวดีกว่า
“ให้ผมไปกับน้องรินดีกว่าครับน้าวรรณ เสร็จแล้วผมจะรีบพากลับมาที่ร้านเลย” อนรรฆพูดกับคุณรวีวรรณอีกรอบ รวีรินกำลังจะอ้าปากปฏิเสธอีกรอบก็พอดีกับนิสาพูดขึ้นว่า
“ให้คุณไอเฟลไปกับน้องรินก็ดีนะคะคุณวรรณ น้องรินจะได้มีเพื่อนด้วย”
“จริงด้วยค่ะ ไปกับคุณไอเฟลปลอดภัยแน่นอนค่ะ” น้ำฝนเสริมขึ้นอีก รวีรินได้แต่เถียงหญิงสาวรุ่นพี่อยู่ในใจว่าไปกับอนรรฆนั่นแหละยิ่งไม่ปลอดภัย หญิงสาวเตรียมจะคัดค้านอีกรอบ แต่มารดาของเธอก็พูดขึ้นเสียก่อน
“เอางั้นก็ได้ค่ะ ถ้างั้นน้าขอบคุณมากนะคะคุณไอเฟล”
จบข่าวถ้าหากมารดาของเธอสรุปอย่างนี้ ก็เปล่าประโยชน์ที่รวีรินจะคัดค้านไม่ไปกับอนรรฆ และมีแต่จะทำให้เธอยิ่งเสียเวลาในการเดินทางมากยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงได้แต่ช่วยทุกคนยกดอกไม้ขึ้นไปวางบนรถเขา หลังจากที่เขาเปิดประทุนรถออกเพื่อความสะดวกในการขนดอกไม้
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิฉันไม่มีรสนิยมปล้ำผู้หญิงบนรถหรอกน่า มันไม่สะดวก” อนรรฆพูดขึ้นยิ้มๆ หลังจากขับรถออกมาได้ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำหน้าตาเหมือนไม่เต็มใจมากับเขาอย่างมากมาย รวีรินหันมามองค้อนอนรรฆพลาง
“ทุเรศที่สุด พูดออกมาได้ไม่อายปาก นายคงจะพาผู้หญิงเข้าโรงแรมเป็นว่าเล่นล่ะสิ คนลามก”
อรรฆหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อโดนว่าแบบนั้น ถ้าเขาบอกไปรวีรินก็คงไม่เชื่อหรอก ว่าเขาไม่เคยพาผู้หญิงไปทำแบบนั้นเลยสักครั้ง ถึงจะเจ้าชู้มากแค่ไหนอนรรฆก็มีขอบเขตของตัวเอง ที่สำคัญก็คือเขาไม่ชอบทำลายผู้หญิงด้วย เขาอาจจะหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ใส่ตัวจากบรรดาสาวๆ ที่คบกันอยู่ ด้วยการกอด จูบและหอมแก้ม
แต่อนรรฆไม่เคยคิดจะทำเกินเลยกว่านั้น อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่และเขาก็ไม่อยากจะเสียใจทีหลังกับสิ่งที่ทำลงไป หากว่าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาคนที่จะต้องเสียอนาคตก็คือเขากับผู้หญิงคนนั้น ส่วนคนที่จะต้องเสียใจมากที่สุดกับการกระทำไร้ความยั้งคิดแบบนั้น ก็คือบิดามารดาของเขาและของผู้หญิงคนนั้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งใจว่าแม้ตัวเองจะเจ้าชู้จีบผู้หญิงมากมายแค่ไหน แต่เขาจะไม่ล่วงเกินผู้หญิงคนนั้นจนเกินเลยเด็ดขาด ถึงแม้ว่าบางคนจะเต็มใจและเสนอให้ก็ตาม
“จะว่าไปแล้วเราสองคนก็กำลังจะเข้าโรงแรมด้วยกันอยู่นะ” อนรรฆพูดแหย่มา ซึ่งรวีรินก็แว้ดสวนกลับไปทันทีเช่นกัน
“อย่ามาพูดจาน่าเกลียดกับฉันนะ เราจะเอาดอกไม้ไปจัดให้เค้าต่างหาก”
“ก็ต้องเข้าไปในโรงแรมอยู่ดี”
“หยุดพูดนะนายไอเฟล! นายจะพูดจาส่อไปในทางที่ไม่ดีเพื่ออะไร”
“เอ้า! เลิกพูดก็ได้ ว่าแต่ดูเหมือนเราสองคนจะเป็นจุดเด่นมากเลยนะตอนนี้” อนรรฆเปลี่ยนเรื่องคุยแต่โดยดี เมื่อเห็นว่ารวีรินเริ่มโมโหจนหน้าแดงแล้ว คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวต้องหันไปมองดูรอบตัว แล้วก็รู้ว่าคำพูดของชายหนุ่มเป็นจริง เพราะขณะนี้รถของอนรรฆกำลังติดไฟแดงอยู่ แล้วผู้คนในรถที่จอดติดไฟแดงอยู่รอบๆ รวมทั้งผู้คนบนรถประจำทาง ต่างก็กำลังพากันมองมาที่รถมินิคูเปอร์สีส้มแสบตา ซึ่งขณะนี้เปิดประทุนและมีดอกไม้วางอยู่เต็มไปหมดอย่างสนอกสนใจเป็นอันมาก
สาเหตุส่วนหนึ่งก็คงจะมาจากนายคนขับรถที่หล่อสะดุดตาคนนี้ด้วย เพราะรวีรินเห็นแม่สาวนักศึกษาที่จอดรถอยู่ทางฝั่งเขา ถึงขนาดเลื่อนกระจกรถลงแล้วส่งยิ้มมาให้นายจอมเจ้าชู้ แล้วอีตานี่ก็ส่งยิ้มหวานละลายใจตอบกลับไปอีกต่างหาก ส่วนพวกผู้หญิงบนรถประจำทางก็ไม่น้อยหน้า มองนายขุนแผนตาปรอยกันเป็นแถวเชียว อะไรจะเป็นที่ลุ่มหลงของพวกสาวๆ ขนาดนั้น หญิงสาวคิดอย่างหมั่นไส้แล้วก็เผลอค้อนใส่ชายหนุ่มพลางพูดประชด
“ระวังนายจะทำผู้หญิงท้องบนถนนเพราะสบตากันนานเกินสิบวินาทีล่ะ”
“ฉันไม่ใช่ปลากัดนะจะได้มองตาแล้วท้องได้ ว่าแต่เธอหึงรึไง” อนรรฆหันมาถามยิ้มๆ พลางเริ่มออกรถเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว รวีรินหันไปแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่มพลางถามอย่างขุ่นเคืองว่า
“เอาสมองส่วนไหนมาคิดว่าฉันหึงนายยะ”
“ไม่ได้เอาสมองคิดหรอกเอาใจคิดต่างหาก” อนรรฆตอบยิ้มๆ
“เชอะ มุกเน่าๆ อีกแล้ว ฉันจะไปหึงนายทำซากวิหารอะไร”
“ว้า! เสียใจนะเนี่ยที่ไม่หึง”
“มีผู้หญิงเป็นโหลอยู่แล้วล่ะที่อยากจะหึงนาย”
“แต่ฉันอยากให้เธอหึงฉันบ้างนี่”
“ฝันไปเถอะ” รวีรินพูดพลางค้อนชายหนุ่มอีกรอบ อนรรฆเลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
“รถฉันตอนนี้ ถ้าเอาป้ายเขียนคำว่า Just Married มาติดอีกอันหนึ่ง ก็เป็นรถเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เลยนะเพราะมีดอกไม้เต็มเลย”
“ติดคำว่า Just killed ฉันว่าเข้าท่ากว่านะ” รวีรินพูดขึ้นมาทันที
อนรรฆแกล้งถอนหายใจยาวพลางพูดยิ้มๆ
“เฮ้อ! เธอนี่เป็นเจ้าสาวที่โหดเอาเรื่องเลยแฮะ”
“ฉันไม่อยากได้เจ้าบ่าวแบบนายหรอก ขี้เกียจน้ำตาเช็ดหัวเข่า”
“แต่ถ้าฉันตัดสินใจแต่งงานกับใครแล้ว แสดงว่าฉันรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ นะ แล้วฉันก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนอื่นอีก”
“โอ้ ฟังดูดีมากๆ เลยล่ะ รักจริงใจของนายเจ้าชู้ว่างั้น” รวีรินประชด
“เธอไม่เชื่อล่ะสิ” อนรรฆเดา
“ไม่! คนเจ้าชู้ ไม่มีทางเลิกนิสัยเจ้าชู้ได้หรอก”
“แล้วถ้าฉันทำได้จริงๆ ล่ะ”
“ก็ถือว่าเป็นโชคดีของผู้หญิงที่จะเป็นเจ้าสาวของนายในอนาคตไง”
“เธออยากเป็นคนโชคดีคนนั้นมั้ยล่ะ” อนรรฆหันมาถามยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รวีรินมองหน้าคนถามนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ไม่”
อนรรฆหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำตอบของหญิงสาว พลางเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถหน้าโรงแรมอันเป็นจุดหมายปลายทาง หลังจากนั้นเขากับรวีรินก็ช่วยกันขนดอกไม้เข้าไปยังห้องจัดเลี้ยง ที่ต้องนำดอกไม้มาซ่อมแซมทันที
รวีรินรู้สึกดีขึ้นบ้างที่ยอมให้อนรรฆมาส่ง ก็ตรงที่เขาพยายามช่วยเหลือเธอทุกอย่าง โดยไม่ปริปากบ่นเลยซักคำ ตั้งแต่ช่วยขนดอกไม้เข้ามาโดยไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าเสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวของเขาจะเปรอะเปื้อนหรือไม่ แล้วก็มาช่วยเธอแกะกระดาษที่ห่อดอกไม้ออก และตอนนี้เขาก็กำลังช่วยตัดหนามกุหลาบให้เธอด้วย ขณะที่รวีรินกำลังนำดอกไม้ชนิดอื่นซ่อมแซมเข้าไปในจุดที่เสียหายอยู่
หญิงสาวชำเลืองไปมองคนที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาตัดหนามกุหลาบอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเผลอยิ้มออกมานิดหนึ่ง เวลานั่งอยู่นิ่งๆ แบบนี้อนรรฆดูไม่เหมือนผู้ชายจอมเจ้าชู้ชีกอเลย เขาดูเหมือนเด็กที่กำลังตั้งอกตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จมากกว่า
“อย่าแอบมองสิ ฉันก็เขินเป็นนะ” อนรรฆเงยหน้าขึ้นพูดยิ้มๆ รวีรินเลยหุบยิ้มทันทีก่อนจะค้อนอีกฝ่ายแล้วพูดว่า
“ฉันไม่ได้แอบมองนายเพราะพิศวาสหรอกย่ะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ”
“คร้าบ รู้แล้วล่ะครับ ว่าคุณรวีรินไม่ปลื้มผม”
“เชอะ!” รวีรินค้อนชายหนุ่มอีกรอบก่อนจะหันกลับไปเสียบดอกไม้เข้าที่ซุ้มดอกไม้ต่อ คราวนี้เลยเป็นอนรรฆที่นั่งมองตามร่างบางที่กำลังตั้งอกตั้งใจจัดดอกไม้อย่างคล่องแคล่วบ้าง
“โอ๊ย!” ชายหนุ่มร้องอุทานขึ้นมาเบาๆ เมื่อมีดที่เขากำลังใช้เลาะหนามกุหลาบเฉือนไปถูกนิ้วของตัวเองเข้า เพราะเขามัวแต่มองหญิงสาวเพลิน เลือดไหลซึมออกมาจากนิ้วของชายหนุ่มทันทีเพราะความคมของมีด
“มีดบาดมือนายเหรอ” รวีรินผละจากซุ้มดอกไม้ที่จัดอยู่เดินมาย่อตัวคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าอนรรฆ แล้วคว้ามือของชายหนุ่มไปดูพลางบ่นพึมพำ
“ทำยังไงของนายไม่ได้มองมีดรึไง”
อนรรฆอยากจะตอบนักว่าที่เขาไม่ได้มองมีด ก็เพราะมัวแต่มองเธออยู่นั่นแหละ รวีรินหันซ้ายหันขวาไปเจอแก้วน้ำดื่มที่เจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมเอามาเสิร์ฟให้เธอกับอนรรฆ แล้วคว้าหนึ่งในสองแก้วขึ้นมา ก่อนจะเอานิ้วที่ถูกมีดบาดของชายหนุ่มจุ่มลงไปในแก้วทันทีเพื่อล้างบาดแผลให้สะอาด
“แสบชะมัด” อนรรฆบ่นพึมพำเบาๆ แล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เมื่อมองดูหญิงสาวค่อยๆ เอานิ้วของตัวเองมาถูนิ้วของเขาที่ถูกมีดบาดอย่างเบามือจนมั่นใจว่าสะอาด แล้วจึงดึงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเช็ดนิ้วของอนรรฆจนแห้ง ก่อนจะเปิดเป้สะพายใบเล็ก แล้วหยิบพลาสเตอร์ลายการ์ตูนน่ารักออกมาปิดแผลให้เขาเป็นอันดับสุดท้าย
“ฉันไม่ได้พกยาใส่แผลมาด้วย แปะพลาสเตอร์อย่างเดียวไปก่อนแล้วกัน พอกลับไปถึงบ้านนายอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็แกะพลาสเตอร์อันนี้ออกเอายาใส่แผลแล้วก็ปิดอันใหม่แทนนะ ที่บ้านนายมียาใส่แผลรึเปล่า” รวีรินเงยหน้าขึ้นถาม
อนรรฆพยักหน้ารับแต่บอกกับตัวเองอยู่ในใจ ว่าเขาไม่แกะพลาสเตอร์อันนี้ออกหรอก ก็ผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนปิดให้เขานี่ เรื่องอะไรจะไปแกะออกแล้วปิดอันใหม่แทนล่ะ
“คราวนี้นายก็ระวังๆ หน่อยล่ะ ถึงนายจะหน้าหล่อแต่ถ้านิ้วกุดฉันรับรองได้เลยว่าพวกสาวๆ ทิ้งนายแน่” รวีรินบอกพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปจัดดอกไม้ต่อ อนรรฆอมยิ้มพลางพูด
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอก็ต้องรับผิดชอบฉันสิ”
“เรื่องอะไร” รวีรินหันมาค้อนชายหนุ่มก่อนจะหันกลับไปจัดดอกไม้ต่อ
“เธอพกพลาสเตอร์ติดกระเป๋าแบบนี้เป็นประจำเหรอรอบคอบจัง” อนรรฆถามขึ้น
“ใช่ เผื่อฉุกเฉิน เวลามีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไง แล้วก็เวลาที่ฉันไปถ่ายรูปที่โน่นที่นี่ บางทีก็ได้แผลมาเป็นประจำแหละ ไม่ใช่ฉันก็นายชัตเตอร์”
“ชัตเตอร์” อนรรฆทวนชื่อท้ายประโยคที่หญิงสาวพูด พลางขมวดคิ้วก่อนจะถามกลับไปว่า “ใช่คนที่ฉันเจอเดินกับเธอคืนนั้นรึเปล่า”
“อืม” รวีรินทำเสียงในลำคอเป็นเชิงว่ายอมรับ โดยไม่ได้หันมามองใบหน้าของคนถามซึ่งขณะนี้กำลังเริ่มขมวดคิ้วนิดๆ แล้ว
“สนิทกันมากเหรอกับหมอนั่นน่ะ”
“ใช่”
“หมอนั่นเป็นแฟนเธอรึไง” คราวนี้อนรรฆถามเสียงห้วนทันที รวีรินหันกลับมามองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจก่อนจะถามว่า
“แล้วฉันจำเป็นต้องบอกนายด้วยเหรอ”
“ก็ฉันถามเธอก็ตอบมาสิ”
“นี่! ฉันไม่ใช่เด็กในปกครองนายนะยะ ไม่ต้องมาอยากรู้เรื่องส่วนตัวของฉันหรอกน่า” รวีรินตัดบท อนรรฆเลยได้แต่นั่งอึ้ง เพราะไม่รู้จะเอาเหตุผลไหนมาอ้างให้รวีรินยอมบอก ว่าเธอเป็นแฟนกับไอ้หนุ่มที่ชื่อชัตเตอร์รึเปล่าดี
“เฮ้อ! ในที่สุดก็เสร็จซะที” รวีรินถอนหายใจพลางพูดอย่างโล่งอก เมื่อจัดการซ่อมแซมดอกไม้ตามซุ้มที่เสียหายเสร็จเรียบร้อยตอนหกโมงเย็นเศษๆ พอดี
“ขอบคุณมากนะคะน้องเสร็จเรียบร้อยทันเวลาพอดีเลย” พนักงานสาวของโรงแรมพูดอย่างโล่งอกโล่งใจเป็นอันมาก เมื่อเดินตรวจดูผลงานของรวีรินซึ่งเรียบร้อยไร้ที่ติเหมือนตอนจัดใหม่ๆ เลยทีเดียว
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วโอกาสหน้าอย่าลืมใช้บริการของทางร้านเราอีกนะคะ”
“ค่ะ แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” พนักงานสาวของโรงแรมพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ค่ะ ถ้างั้นหนูขอตัวกลับเลยนะคะ”
หลังจากนั้นรวีรินกับอนรรฆก็พากันเดินออกมาจากห้อง
“เธอหิวข้าวมั้ย” อนรรฆถามขึ้น
“นายหิวเหรอ” รวีรินถามกลับมา อนรรฆพยักหน้าพลางตอบ
“ก็มันหกโมงกว่าแล้วนี่ กินข้าวเย็นกันก่อนเถอะแล้วค่อยกลับ”
“ก็ได้ ตามใจนายสิ” รวีรินพยักหน้าด้วยรู้สึกเห็นใจอนรรฆอยู่บ้าง เพราะเขาอุตส่าห์ช่วยเหลือเธอทำงาน
“งั้นกินอะไรดีล่ะ” อนรรฆถามพลางมองไปรอบบริเวณโรงแรม แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร้านอาหารฝรั่งเศสหรูหราที่ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณของโรงแรม
“เข้าไปกินในร้านนั้นดีกว่า” ชายหนุ่มบอกพลางชี้มือไปที่ร้านอาหารฝรั่งเศส พอรวีรินมองตามไปหญิงสาวก็ส่ายหน้าทันทีพลางปฏิเสธ
“ไม่เอา ฉันไม่ชอบกินอาหารฝรั่ง ราคาก็แพง เลี่ยนอีกต่างหาก ไปหาอะไรกินข้างนอกดีกว่า” พูดจบหญิงสาวก็ก้าวฉับๆ นำหน้าอนรรฆออกไปจากโรงแรมทันที ชายหนุ่มเลยได้แต่รีบเดินตามหญิงสาวออกไป
“เธออยากกินอะไรล่ะ” อนรรฆถามขึ้นเมื่อขับรถออกมาจากโรงแรมได้สักพัก ขณะที่รวีรินกำลังกวาดสายตามองข้างทางราวกับกำลังหาอะไรอยู่สักอย่างโดยไม่ยอมตอบคำถามของอนรรฆ ชายหนุ่มจึงถามย้ำมาอีก
“รวีรินเธออยากจะกินอะไร”
“อ๊ะ! นั่นไงๆ นายเลี้ยวเข้าไปในปั๊มข้างหน้าหน่อย” รวีรินหันมาบอกอนรรฆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วแต่ก็หักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าไปตามที่หญิงสาวบอกพลางถามอย่างไม่เข้าใจ
“เธอจะให้ฉันเลี้ยวเข้ามาในปั๊มน้ำมันทำไม น้ำมันรถฉันยังเต็มอยู่นะ”
“เราจะเข้าไปจอดรถในปั๊มแล้วก็กินข้าวเย็นกันไงล่ะ” รวีรินหันมาบอกชายหนุ่ม
คราวนี้อนรรฆเลยยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ พลางพยายามมองหาร้านอาหารที่จะรับประทานอาหารได้ ในปั๊มน้ำมันแห่งนี้มีมินิมาร์ทใหญ่โต แต่ไม่มีฟู้ดเซ็นเตอร์นอกจาก...
“เฮ้! อย่าบอกนะว่าเธอจะกินส้มตำหน้าปั๊มนี้” อนรรฆร้องเสียงหลงเมื่อร้านอาหารที่เขามองเห็นมีคนนั่งรับประทานกันอยู่เต็มในปั๊มแห่งนี้ มีอยู่เพียงร้านเดียวก็คือร้านส้มตำไก่ย่างนั่นเอง รวีรินพยักหน้าทันทีพลางตอบ
“ใช่ เราจะกินข้าวเหนียวส้มตำ ไก่ย่างกันเป็นอาหารเย็นมื้อนี้ไง ลงไปเถอะวันนี้ฉันจะเลี้ยงตอบแทนนายเอง ด้วยความเต็มใจเลยนะเพราะนายอุตส่าห์มาช่วยงานฉันไง” พูดจบหญิงสาวก็เปิดประตูรถก้าวลงไปทันที อนรรฆได้แต่นั่งอึ้งก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า
“จะให้ฉันกินข้าวเหนียวส้มตำหน้าปั๊มนี่นะ”
“นี่มัวนั่งทำอะไรอยู่ล่ะ รีบๆ ลงมาสิฉันหิวแล้วนะ” รวีรินก้มลงมาร้องเรียกอนรรฆอีกรอบ ชายหนุ่มเลยได้แต่ถอนหายใจเบาๆ พลางพึมพำ
“เฮ้อ! ส้มตำนี่นะจะรอดมั้ย ไอ้ไอเฟลเอ๊ย!” แล้วอนรรฆก็เปิดประตูรถก้าวลงไป ขณะที่หญิงสาวที่มากับเขานั้นเดินตรงรี่เข้าไปที่ร้านส้มตำก่อนแล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะก้าวตามหญิงสาวไป