7 DINNER….สุดหรูและโรแมนติก   1/    
已经是第一章了
7 DINNER….สุดหรูและโรแมนติก
ความจริงแล้วอาหารมื้อนี้มันควรจะเป็น DINNER หรูๆ และโรแมนติกในร้านอาหารฝรั่งเศสไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมอนรรฆต้องมานั่งเหงื่อแตกพลั่ก หน้าแดงแจ๋ น้ำหูน้ำตาไหล เพราะความเผ็ดของส้มตำ น้ำตกหมู อยู่ที่นี่ด้วยเขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ชายหนุ่มเคยพาสาวๆ ที่เขาควงไปเดทเข้าไปนั่งรับประทานอาหารแต่ในร้านหรูหรา เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำบรรยากาศโรแมนติก แต่วันนี้เขากลับต้องมานั่งรมควันโขมงของไก่ย่างอยู่ที่หน้าปั๊มน้ำมัน รับประทานอาหารรสจัดจ้านที่เขาไม่เคยชื่นชอบเลยสักนิดและไม่เคยนึกอยากจะรับประทานด้วยซ้ำ ส่วนผู้หญิงที่มากับเขาและบอกว่าจะเลี้ยงตอบแทนก็กำลังนั่งรับประทานส้มตำปูปลาร้าที่กลิ่นฉุน ซึ่งอนรรฆเคยรู้สึกพะอืดพะอมทุกครั้งที่ได้กลิ่น แถมยังเผ็ดจัดจนควันออกหูด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยเป็นอันมาก อีกทั้งน้ำตกหมูรสจัดนั่นด้วยรวีรินกลับตักรับประทานหน้าตาเฉยโดยไม่มีอาการเผ็ดเลยสักนิด อนรรฆนึกแล้วก็ขำตัวเองนี่ถ้าเพื่อนรักของเขาทั้งสามคน รู้ว่าเขามานั่งรับประทานข้าวเหนียวส้มตำอยู่หน้าปั๊มแบบนี้ มีหวังพวกนั้นต้องหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแน่นอนเลย “อ้าว! นายอิ่มแล้วเหรอกินไปนิดเดียวเองนี่ กินอีกสิ” รวีรินถามขึ้นเมื่อเห็นอนรรฆนั่งนิ่งไม่ยอมรับประทานอาหารต่อ “มันเผ็ดน่ะ” อนรรฆบอกพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกรอบ ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าออกแล้วเป่าปากไล่ความเผ็ดร้อน รวีรินหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นอาการของเขา “อะไรกัน นี่ฉันอุตส่าห์เลี้ยงขอบคุณนายนะ ใจคอจะกินแค่นิดเดียวเองเหรอ” “ก็มันเผ็ดนี่ ถามจริงๆ เถอะนี่เธอตั้งใจจะแกล้งฉันรึเปล่า ถึงได้พาฉันมากินของพวกนี้ ฉันไม่เคยกินเลยนะ แถมยังเผ็ดร้อนซะขนาดนี้ด้วย อย่างกับกินแต่พริกแน่ะ ฆ่ากันทางอ้อมชัดๆ” อนรรฆบ่นยืดยาวพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกรอบ “อ้าว พูดดีๆ หน่อยนะ ฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไงว่านายไม่เคยกินของพวกนี้ แถมยังกินเผ็ดไม่ได้ด้วย” รวีรินพูดหน้าตาเฉยรู้สึกขบขันปนสะใจเล็กๆ ที่เห็นผู้ชายตรงหน้ามีอาการเผ็ดจนหน้าแดง แถมเหงื่อเม็ดเล็กๆ ก็ผุดพรายขึ้นมาเต็มใบหน้าหล่อเหลานั่นด้วย “อ๋อ ถ้างั้นเธอคงคิดว่าหน้าตาแบบฉันนี่กินส้มตำเป็นอาชีพล่ะมั้ง ถึงได้พาเข้ามานั่งกินเนี่ย” อนรรฆประชด รวีรินหัวเราะเบาๆ พลางพูด “หน้านายแดงแจ๋เลย เผ็ดมากเหรอ” “ฉันไม่ค่อยชอบกินของเผ็ดๆ แล้ว...อาหารอีสาน ฉันก็ไม่เคยกินด้วย” ชายหนุ่มยอมรับตามความจริง เขาไปเกิดและโตที่ฝรั่งเศส กลับมาเมืองไทยก็ตอนเรียนชั้นมัธยมปลายแล้ว ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับอาหารรสจัดของทางอีสานสักเท่าไหร่ แทบไม่เคยรับประทานด้วยซ้ำ อีกทั้งบรรดาสามหนุ่มเพื่อนสนิทของเขาก็ไม่เคยรับประทานอาหารพวกนี้เช่นกัน “โธ่เอ๊ย นายคุณชายไฮโซ สงสัยนายจะติดนิสัยพาพวกสาวๆ ไปกินแต่ในห้องอาหารหรูๆ ล่ะสิ ถึงได้ไม่รู้ว่าอาหารเลิศรสมันอยู่แถวข้างถนนนี่แหละ” รวีรินพูดพลางตักส้มตำรับประทานต่ออย่างเอร็ดอร่อย “ไอ้ข้าวเหนียวส้มตำ น้ำตก ไก่ย่างของเธอนี่นะอาหารเลิศรส” “ใช่ ร้านอาหารหรูหราราคาแพงที่นายเข้าไปนั่งกินเป็นประจำ ไม่มีปัญญาตำส้มตำได้อร่อยเหมือนร้านรถเข็นข้างทางหรอกฉันรับรอง เอาหัวนายเป็นประกันเลย” “เฮ้ แล้วเรื่องอะไรเธอมาเอาหัวฉันเป็นประกันล่ะ ทำไมไม่เอาหัวตัวเอง” “เพราะฉันไม่มีแววหัวขาดเร็วๆ นี้เหมือนนายไง แต่นายน่ะชีวิตแขวนอยู่บนเส้นดายทุกขณะจิต เพราะถ้าวันไหนพวกสาวๆ ที่นายคั่วอยู่ มารวมตัวกันในวันและเวลาเดียวกันหายนะมาเยือนนายแน่ รับรองหัวนายหลุดจากบ่าชัวร์” พูดจบรวีรินก็หัวเราะอย่างสะใจเป็นอันมาก อนรรฆมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยอารมณ์ประมาณทั้งขำทั้งฉุนกับคำพูดของเธอ “เธอคงจะสาปแช่งฉันอยู่ทุกวันล่ะสิ” “แรงนะยะ ฉันไม่ได้สาปแช่งนายซะหน่อย ฉันก็แค่ภาวนาเฉยๆ ให้วันนั้นมาถึงนายเร็วๆ” “แล้วมันต่างกันตรงไหน” “ต่างสิ สาปแช่งมันเลวร้ายเกินไป แต่ฉันใจดีกว่านั้นก็เลยแค่ภาวนาให้คนเจ้าชู้ชีกอไม่เลือกหน้าอย่างนายโดนสวรรค์ลงโทษเร็วๆ ไง” “ฉันว่ายังไงมันก็ไม่ต่างกันหรอก” อนรรฆบ่น “แล้วนี่ตกลงนายจะเลิกกินเลยเหรอ แย่จังฉันอุตส่าห์เลี้ยง DINNER สุดหรูแต่นายกลับกินไม่เป็น แล้วก็ไม่ชอบกินซะอีก” “ฮะ! เธอบอกว่านี่เป็น DINNER สุดหรูนี่นะ” อนรรฆถามเสียงสูง รวีรินพยักหน้าทันทีก่อนตอบหน้าตาเฉยว่า “ก็ใช่น่ะสิ นี่แหละ DINNER สุดหรูของฉัน ค่าอาหารมื้อนี้ตั้งร้อยกว่าบาทเชียวนะ นี่ก็นับว่าหรูแล้วก็แพงมากแล้วด้วยสำหรับนักเรียนมัธยมปลายที่ไม่มีรายได้อย่างฉัน” “ถ้าอย่างนั้นฉันว่ากินในร้านอาหารฝรั่งเศสร้านเมื่อกี๊ แล้วฉันเลี้ยงเธอเองดีกว่า” อนรรฆพูดขึ้น รวีรินส่ายหน้าทันทีพลางพูด “ไม่เอาหรอกฉันไม่อยากให้นายเลี้ยง” “ทำไมล่ะ” “ฉันไม่ใช่พวกอีหนูของนายนี่ จะให้นายเลี้ยงทำไม อีกอย่างนายอุตส่าห์มาช่วยงานฉัน ฉันต้องเป็นคนเลี้ยงตอบแทนนายถึงจะถูก” “แล้วของที่เธอเลี้ยงฉัน ฉันกินมันได้ที่ไหนล่ะมีแต่ของเผ็ดๆ ทั้งนั้นเลย” ชายหนุ่มต่อว่า รวีรินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ก็ไก่ย่างนี่ไงที่ไม่เผ็ด” “ไม่เอา ฉันไม่กินแล้ว ขี้เกียจแกะมือเลอะเทอะไปหมด ฉันไม่ชอบ” “โถ พ่อหนุ่มไฮโซ เอ้าๆ เดี๋ยวฉันแกะให้นายกินเองก็ได้ นายบอกว่าหิวข้าวไม่ใช่รึไงแล้วก็กินไปแค่นิดเดียวเอง เดี๋ยวก็หิวจนไส้กิ่วหรอก” รวีรินพูดพลางลงมือใช้ช้อนแกะเนื้อไก่ย่างออกมาวางใส่จานให้อนรรฆอย่างคล่องแคล่ว ชายหนุ่มมองดูการกระทำของหญิงสาวอย่างคาดไม่ถึง และยังไม่ยอมจิ้มไก่ย่างขึ้นมารับประทาน “อ้าว ทำไมไม่กินล่ะ ไก่ย่างมันไม่ลอยไปเข้าปากนายเองหรอกนะ ฉันไม่ป้อนนายถึงปากด้วย แล้วก็ห้ามบอกว่าจะไม่กินนะ เพราะฉันอุตส่าห์แกะให้นายแล้ว บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่เคยทำให้ใครขนาดนี้ ถ้านายไม่กินนายโดนแน่” รวีรินร่ายยาวก่อนจะตามด้วยคำขู่ในตอนท้ายประโยค ทำเอาอนรรฆถึงกับยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกปลื้มในใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้ยินหญิงสาวตรงหน้าบอกว่าไม่เคยทำให้ใครขนาดนี้พลางถาม “เธอไม่เคยแกะไก่ย่างให้ใครกินจริงๆ เหรอ” “ไม่เคย” “เหรอ” อนรรฆพูดยิ้มๆ อย่างยินดี ก่อนจะจิ้มไก่ย่างที่รวีรินแกะใส่จานให้ขึ้นมารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย “กินข้าวเหนียวด้วยสิจะได้อิ่มๆ แล้วก็จิ้มน้ำจิ้มนิดเดียวพอนะ จะได้ไม่เผ็ดมาก” รวีรินบอกมาอีก ก่อนจะตักส้มตำและน้ำตกรับประทานต่ออย่างเอร็ดอร่อย ส่วนอนรรฆก็ทำตามที่หญิงสาวบอก เมื่อเขารับประทานไก่ย่างจวนจะหมด รวีรินก็คอยแกะมาใส่จานให้เขาอีก ซึ่งทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้เป็น DINNER สุดหรูและโรแมนติกแบบแปลกๆ ขึ้นมาทันที ใช่...แปลกมาก เพราะเวลาเขาพาสาวๆ ไปรับประทานอาหารในร้านอาหารหรูหรา อนรรฆจะต้องเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ คอยตักอาหารให้สาวๆ รับประทาน บางทีสาวๆ พวกนั้นก็ตักอาหารมาป้อนเขาตอบแทน แต่อนรรฆก็ไม่ได้รู้สึกเอร็ดอร่อยอะไรมากมายเหมือนขณะนี้ ที่เขากำลังนั่งรับประทานเนื้อไก่ย่างธรรมดา อยู่ในร้านส้มตำหน้าปั๊มน้ำมัน โดยมีหญิงสาวตรงหน้าคอยแกะเนื้อไก่มาใส่จานให้เขารับประทานอย่างตั้งอกตั้งใจ มันทั้งแปลกและประทับใจชายหนุ่มมากทีเดียว ยิ่งเธอบอกว่าไม่เคยทำให้ใครขนาดนี้ อนรรฆยิ่งประทับใจและรู้สึกว่ามันเป็น DINNER สุดหรูสำหรับเขาในวันนี้จริงๆ พอรับประทาน DINNER สุดหรูของรวีรินเรียบร้อย โดยที่หญิงสาวเป็นคนจ่ายเงินค่าอาหารเอง อนรรฆก็ขับรถมุ่งหน้าพารวีรินกลับร้านของเธอทันที พอขับรถมาได้สักครู่โทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็สั่นเตือนว่ามีสายเข้า เขาเหลือบไปมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเอาวางไว้ตรงกลางระหว่างที่นั่งของเขากับรวีริน ก่อนจะอุทานออกมาอย่างตกใจ “ตายล่ะ! ไอ้คีน!” ชายหนุ่มรีบกดรับสายทันทีโดยใช้วิธีเปิดลำโพง เนื่องจากไม่ได้เสียบบูลทูธเอาไว้ที่หู เมื่อเขากดรับสายเสียงคณาธิปก็แผดมาจากปลายสายทันที “ไอ้เวรไอเฟล! นายอยู่ที่ไหนวะ หายหัวไปตั้งแต่เลิกเรียน บอกจะกลับไปเอาของที่คอนโดแป๊บนึงแล้วจะรีบกลับมา ให้พวกฉันมารออยู่ที่บ้านโยจนกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็นอนหลับไปสามชาติแล้ว ป่านนี้นายยังไม่โผล่หัวมาเลย จะซ้อมรึเปล่าดนตรีน่ะ นักร้องนำหายหัวไปแล้วพวกฉันจะซ้อมได้ยังไงไอ้จอมเจ้าชู้ หรือว่านายมัวไปกกสาวที่ไหนอยู่วะ” “เฮ้ ไอ้บ้าคีน เลิกแหกปากเข้ามาในโทรศัพท์ได้แล้ว ฉันได้ยินแล้วรออีกแป๊บนึงเดี๋ยวจะรีบไป” อนรรฆว่าคนทางปลายสายด้วยความรู้สึกอับอายหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังกลั้นหัวเราะ เมื่อได้ยินเขาถูกคณาธิปด่ามาทางโทรศัพท์ “ฉันไม่เชื่อแล้ว บอกมานะไอเฟลว่านายมัวไปมุดหัวทำอะไรอยู่ ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่โผล่หัวมาอีก” “ฉันมีธุระด่วนนิดหน่อย แต่เสร็จธุระแล้วเดี๋ยวฉันจะรีบไป” “คนอย่างนายมีธุระด่วนอะไรนอกจากเรื่องผู้หญิง อย่ามาโกหกพวกฉันเลย” คราวนี้เป็นเสียงเรียบๆ ของทิวากรดังมาตามสายบ้าง “ไอ้พวกเพื่อนเวร ฉันจะไปโกหกพวกนายทำซากอะไรเล่า บอกว่ามีธุระด่วนก็มีธุระด่วนสิวะ” อนรรฆพูดกลับไปอย่างฉุนๆ แต่คราวนี้กลับมีเสียงสามเสียงร้องประสานกันเข้ามาในโทรศัพท์อย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ฉันไม่เชื่อโว้ย!” “ฮะๆๆๆๆๆ” รวีรินปล่อยเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขันอย่างกลั้นไม่อยู่ แล้วก็ได้ยินเสียงทางปลายสายพูดมาว่า “นั่นไงมันอยู่กับผู้หญิงจริงๆ ด้วย” “นายตายแน่ไอเฟล บังอาจปล่อยให้พวกฉันรอตั้งหลายชั่วโมง เพราะไปป้อผู้หญิงอยู่เหรอ” “ใช่ เตรียมจองวัดได้เลย” “เฮ้ย! ไอ้พวกโหด มันไม่ใช่อย่างที่พวกนายคิดนะ” อนรรฆร้องกลับไป รวีรินเลยหยิบโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มขึ้นมา พลางพูดยิ้มๆ ว่า “เดี๋ยวฉันอธิบายให้นายเอง” แล้วหญิงสาวก็กรอกเสียงพูดลงไปในโทรศัพท์ว่า “สวัสดีค่ะรุ่นพี่ทั้งสามคนที่ปลายสาย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงในสต๊อกที่เพื่อนของพวกรุ่นพี่ควงไปเดทด้วยหรอกนะคะ ฉันอยู่ร้านดอกไม้ที่เพื่อนของรุ่นพี่สั่งไปให้สาวๆ เป็นประจำค่ะ พอดีว่าเมื่อตอนเย็นที่ร้านของฉันมีเรื่องฉุกเฉิน เพื่อนของพวกรุ่นพี่ก็เลยทำตัวเป็นพลเมืองดีให้ความช่วยเหลือฉัน ทำให้ไม่ได้ไปซ้อมดนตรีกับพวกรุ่นพี่ เค้าไม่ได้หนีไปเที่ยวกับสาวๆ จริงๆ นะคะ แต่ยังไงฉันก็ต้องขอโทษด้วยที่เป็นต้นเหตุให้พวกรุ่นพี่ต้องเสียเวลา ยังไงพวกรุ่นพี่ก็อย่าถึงกับฆ่าแกงพลเมืองดีเลยนะคะ เดี๋ยวพวกสาวๆ ในสต๊อกของเค้าจะช้ำใจตายกันหมด” “อะฮ้า เธออยู่ที่ร้านดอกไม้งั้นเหรอ” เสียงคณาธิปถามมา “ใช่ค่ะ” “ลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้เหรอ” คราวนี้เป็นเสียงทิวากรบ้าง รวีรินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของคนทางปลายสาย ทำไมเพื่อนของอนรรฆถึงเดาถูกว่าเธอเป็นลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้ หากแต่หญิงสาวก็ตอบกลับไปว่า “ใช่ค่ะ” “อ๋อ เธอนี่เอง ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร เราจะไว้ชีวิตไอเฟลตามที่เธอขอก็แล้วกัน บอกมันส่งเธอแล้วรีบมาไวๆ ล่ะ เท่านี้นะ สวัสดีครับ” เสียงทุ้มค่อนข้างอ่อนโยนของภานุวัฒน์ดังมาตามสายเป็นคนสุดท้าย แล้วทางโน้นก็วางสายไปทันที อนรรฆถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางพูด “เฮ้อ ขอบใจมากนะที่เธอช่วยพูดกับพวกนั้นให้ฉัน” “ไม่เป็นไร ตอบแทนที่นายช่วยฉันไง แล้วฉันก็ไม่อยากเป็นสาเหตุให้นายโดนพวกเพื่อนๆ นายรุมสกรัมด้วย” รวีรินเว้นระยะนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า “ท่าทางนายจะหนีซ้อมไอ้ดนตรีอะไรนี่เป็นประจำ เพราะไปเที่ยวกับ ผู้หญิงล่ะสิ พวกเพื่อนๆ นายถึงได้ไม่เชื่อที่นายบอก” อนรรฆเงียบ... “เงียบแสดงว่าจริง เฮ้อ นายนี่ไร้สาระจริงๆ เลยนะเนี่ย แล้วว่าแต่ทำไมเมื่อกี๊พวกเพื่อนๆ นายพูดเหมือนรู้จักฉันเลย นายเอาฉันไปนินทาอะไรให้พวกเพื่อนๆ นายฟังรึเปล่า” “จะบ้าเหรอ ฉันจะเอาเธอไปนินทาทำไมล่ะ” “แล้วฉันจะไปรู้กับนายได้ไงล่ะ ยังไงนายก็ต้องเอาฉันไปพูดให้พวกเค้าฟังแน่ๆ ไม่งั้นพวกเค้าจะรู้เหรอว่าฉันเป็นลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้” “ฉันก็แค่เล่าว่าที่ร้านเธอมีใครบ้าง ก็เท่านั้น” อนรรฆพูดมา “งั้นเหรอ อย่าให้ฉันรู้ว่านายเอาฉันไปนินทานะ” รวีรินขู่ อนรรฆเลยหัวเราะเบาก่อนจะพูดว่า “ฉันกลัวเธอจะแย่แล้ว เอ้า! ถึงร้านเธอแล้ว” ชายหนุ่มชะลอรถจอดที่หน้าร้านดอกไม้ “ขอบคุณมากนะที่นายช่วยเหลือฉันวันนี้” “ไม่เป็นไร เรื่องนิดหน่อยเอง ตอบแทนที่แม่เธอให้ฉันกินข้าวเย็นด้วยทุกวันไง” “อืม แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะ” รวีรินกล่าวขอบคุณอนรรฆอีกครั้ง ก่อนก้าวลงไปจากรถแล้วหันกลับมากำลังจะปิดประตูรถให้ชายหนุ่ม แต่อนรรฆก็เรียกเธอเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อน น้าวรรณยังไม่กลับมาเลยนี่ เธออยู่คนเดียวได้เหรอ จะให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนก่อนมั้ย” รวีรินส่ายหน้าอย่างรวดเร็วทันที จนผมที่ผูกเป็นหางม้าไว้ข้างหลังกวัดแกว่งไปมา “ไม่ล่ะ ฉันมั่นใจว่าฉันอยู่คนเดียวปลอดภัยกว่าอยู่กับนายสองคนแน่ๆ” คำพูดของหญิงสาวทำให้อนรรฆหัวเราะออกมาทันที เมื่อรู้ว่ารวีรินกำลังหมายถึงเหตุการณ์ในห้องครัวเมื่อเย็นวานนี้ ก่อนจะถามอย่างยั่วเย้าว่า “เธอกลัวฉันล่ะสิ” “แน่นอน ก็นายมันตัวอันตรายนี่ไม่ควรอยู่ใกล้ๆ ในที่ลับตาคนอย่างยิ่ง เพราะนายมันชอบฉวยโอกาส” “จะช้าไปมั้ย ถ้าฉันจะบอกว่าขอโทษที่ทำแบบนั้น” อนรรฆถามมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางมองหน้าหญิงสาวนิ่ง รวีรินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ ฉันจะรับคำขอโทษของนายไว้ และหวังว่านายจะไม่ฉวยโอกาสทำแบบนั้นกับฉันอีก ฉันไม่ชอบ” “โอเค ฉันรับปากเธอว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก” “อืม งั้นนายก็ไปเถอะ ป่านนี้พวกเพื่อนๆ นายรอแย่แล้ว” รวีรินพูดขึ้นพลางทำท่าจะปิดประตูรถให้ แต่แล้วอนรรฆก็เรียกหญิงสาวเอาไว้เสียก่อน “รวีริน” “อะไรอีกล่ะ” หญิงสาวถามอย่างรำคาญนิดๆ อนรรฆยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดว่า “เมื่อกี๊ฉันยังพูดไม่จบเลย” “พูดอะไร” “ฉันรับปากว่าจะไม่ทำแบบนั้นกับเธออีก ถ้าเธอไม่อนุญาต...แต่ถ้าเธออนุญาต...” “ฝันไปเถอะว่าฉันจะอนุญาต อีตาบ้าชีกอ รีบๆ ไปเลยนะ ก่อนที่ฉันจะฆ่านาย” รวีรินพูดอย่างฉุนๆ พลางกระแทกประตูรถปิดใส่หน้าอนรรฆอย่างเหลืออดในความกะล่อนและเจ้าชู้ของเขา ชายหนุ่มที่อยู่ในรถหัวเราะร่วนอย่างขบขันก่อนจะเคลื่อนรถจากไป “ฮึ่ย หมอนี่มองในแง่ดีได้ไม่เกินสิบนาทีจริงๆ ฉันไม่มีวันให้นายเข้าใกล้ฉันแบบนั้นได้อีกเด็ดขาด นายจอมเจ้าชู้” รวีรินว่าตามหลังคนที่ขับรถจากไปอย่างฉุนๆ “มาแล้วเหรอไอ้พลเมืองดี” คณาธิปซึ่งกำลังนั่งตีกลองอยู่หยุดตีและถามขึ้นทันที เมื่อเห็นอนรรฆเดินแกว่งกุญแจรถเข้ามาในห้องซ้อมดนตรี ภานุวัฒน์ก็หยุดเล่นกีต้าร์เบส เช่นเดียวกับทิวากรที่หยุดเล่นคีย์บอร์ดเช่นกัน “อืม เริ่มซ้อมกันเลยเอาเพลงไหนก่อนดีล่ะ” อนรรฆถามอย่างกระตือรือร้น พลางเดินไปยืนตรงไมโครโฟนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่ามกลางความประหลาดใจของเพื่อนทั้งสาม “ฉันว่าไอ้จอมเจ้าชู้มันอารมณ์ดีผิดปกตินะ” ภานุวัฒน์พูดขึ้นแล้วหันไปสบตากับทิวากรและคณาธิป “ใช่ เล่ามาเลยนะไอเฟล นายไปทำอะไรกับลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้มา” คณาธิปพูด “ไอ้ปากเสียคีน นายช่วยพูดอะไรให้มันดีๆ หน่อยสิ พูดจาสองแง่สองง่ามอยู่ได้ เห็นฉันเป็นคนยังไงวะ” อนรรฆโวยวายอย่างเคืองๆ “เอ้า! ไอ้นี่ ฉันก็ถามตามปกติ นายอยากคิดมากเองก็ช่วยไม่ได้โว้ย” คณาธิปย้อน “ไอ้จอมเจ้าเล่ห์” อนรรฆว่า “เอาล่ะๆ ไหนนายลองบอกมาซิไอเฟล ว่านายไปทำตัวเป็นพลเมืองดีอะไรถึงได้ไม่ยอมมาซ้อมดนตรี ปล่อยให้พวกฉันรอตั้งหลายชั่วโมง” ทิวากรถามขึ้นบ้าง อนรรฆจึงเล่าเรื่องที่เขาช่วยรวีรินขนดอกไม้ไปจัดซ่อมแซมให้ลูกค้าที่โรงแรมให้บรรดาเพื่อนสนิททั้งสามคนฟัง “แค่เนี้ย! แล้วทำไมนายถึงได้อารมณ์ดีขนาดนี้ล่ะ” คณาธิปถาม “เออ ก็แค่นี้สิ นายจะเอาแค่ไหนล่ะ รีบๆ ซ้อมเถอะน่าเดี๋ยวดึกมาก” อนรรฆตัดบทพลางเอื้อมมือไปดึงไมโครโฟนมาถือไว้ในมือ ทิวากรจึงทักขึ้นว่า “นั่นนิ้วนายไปโดนอะไรมา ทำไมปิดพลาสเตอร์” “อ๋อ ฉันช่วยรวีรินตัดหนามกุหลาบก็เลยโดนมีดบาดมือนิดหน่อย” อนรรฆตอบ “เด็กคนนั้นปิดพลาสเตอร์ให้นายล่ะสิลายการ์ตูนน่ารักเชียว” ภานุวัฒน์เดายิ้มๆ เมื่อมองดูพลาสเตอร์ลายการ์ตูนที่ปิดอยู่ตรงปลายนิ้วของอนรรฆ ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเผลออมยิ้มออกมานิดๆ เมื่อคิดถึงใบหน้าสวยคมของคนที่ปิดพลาสเตอร์ให้เขา โดยไม่รู้ตัวว่าเพื่อนทั้งสามคนกำลังสังเกตอาการของเขาอยู่ “สวีทดีเนาะนายว่ามั้ยไอเฟล” คณาธิปพูดกับอนรรฆ ซึ่งเขาก็เผลอพยักหน้ารับทันที “อืม” คณาธิประเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันที พลางพูดกับภานุวัฒน์และทิวากรซึ่งกำลังมองอนรรฆยิ้มๆ อยู่เช่นกัน “พวกนายสองคนได้ยินมั้ยไอ้จอมเจ้าชู้ของเรามันยอมรับด้วยว่าสวีท” “เฮ้ย! ไม่ใช่นะ เมื่อกี๊ตอนที่นายถามฉันไม่ทันฟังก็เลยตอบไปแบบนั้น” อนรรฆรีบแก้ตัวพัลวันก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดทันทีว่า “รีบๆ ซ้อมเถอะน่าพวกนายรอฉันมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ” “แล้วนายกินข้าวเย็นมาแล้วเหรอ ไม่หิวรึไง” ทิวากรถามขึ้น “กินมาแล้ว” อนรรฆตอบ “กับลูกสาวร้านดอกไม้ล่ะสิ” ภานุวัฒน์ถามยิ้มๆ “ก็มันหกโมงกว่าแล้ว ฉันหิวนี่จะให้หิ้วท้องมากินที่บ้านนายได้ยังไงล่ะโย” “เออๆ พวกฉันเข้าใจ ว่าแต่พาสาวน้อยร้านดอกไม้ไปดินเนอร์ที่ไหนมาล่ะไอ้คาสโนว่า” คณาธิปถามมาบ้าง ขณะที่ทิวากรพูดขึ้นว่า “ฉันว่ามันก็คงจะหลอกเด็กเข้าไปในร้านอาหารหรูๆ บรรยากาศโรแมนติกแบบที่มันเคยทำเป็นประจำนั่นแหละ” “ไม่ใช่ซะหน่อย” อนรรฆแย้งแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอีกจนได้ เมื่อนึกถึงตอนที่รวีรินแกะเนื้อไก่ย่างให้เขารับประทานอย่างตั้งอกตั้งใจ “ฮั่นแน่ อมยิ้มซะด้วย สงสัยมันเปิดห้องสวีทในโรงแรมกินอาหารแน่ๆ เลย” คณาธิปเดา “นายกล้าทำแบบนั้นจริงๆ เหรอไอเฟล เด็กคนนั้นเสียหายนะไอ้บ้า” ทิวากรว่าทันที “เฮ้ นายอย่ามาปรักปรำฉันอย่างนี้นะทิม ฉันไม่ได้เปิดห้องอย่างที่คีนว่าซะหน่อย ฉันไปนั่งกินข้าวเหนียวส้มตำที่หน้าปั๊มต่างหาก” อนรรฆรีบพูดเพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ เข้าใจเขาผิด แล้วความเงียบก็บังเกิดขึ้นทันที คณาธิป ภานุวัฒน์และทิวากรมองสบตากันด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพากันหันมามองหน้าอนรรฆ ราวกับเห็นเขากลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกตามชื่อเล่นของเขาไปแล้ว “นายนี่นะไอเฟลไปนั่งกินข้าวเหนียวส้มตำที่หน้าปั๊มน้ำมัน” ภานุวัฒน์ทวนถาม “อือ” อนรรฆพยักหน้า ขณะที่คณาธิปขยับเข้ามาใกล้ แล้วเอาฝ่ามือของเขาทาบลงบนหน้าผากของอนรรฆพลางพูด “ตัวมันก็ไม่ร้อนนี่หว่า แล้วก็...มีกลิ่นไก่ย่างติดที่เสื้อมันด้วยแฮะ” “ฉันสบายดีโว้ย!” อนรรฆพูดพลางปัดมือของคณาธิปออก “เหลือเชื่อเลย” ทิวากรพูดพลางส่ายหน้าแล้วเริ่มกดคีย์บอร์ด “ไหนนายเคยเกลียดกลิ่นส้มตำนักหนาไง ขนาดร้านส้มตำยังแทบไม่อยากจะเดินผ่านเลย แล้วทำไมวันนี้ถึงได้เข้าไปนั่งกินส้มตำได้ล่ะ”ภานุวัฒน์ถาม “ทีแรกฉันก็ตั้งใจจะกินในร้านอาหารฝรั่งเศสนั่นแหละ แต่รวีรินไม่ยอมกิน เค้าว่ามันเลี่ยนแล้วก็แพง บอกว่าจะไปกินข้างนอก ฉันก็ไม่นึกหรอกว่าเค้าจะพาฉันไปกินส้มตำหน้าปั๊ม” อนรรฆตอบ “แล้วนายได้กินส้มตำรึเปล่า” ทิวากรหยุดกดคีย์บอร์ดแล้วถามมาอีก “กินเพราะรวีรินเค้าบอกว่าจะเลี้ยงขอบคุณที่ฉันช่วยงานเค้าวันนี้ แต่ฉันกินได้แค่คำสองคำเอง ไม่ไหวมันเผ็ดมาก” “แค่นั้นก็มหัศจรรย์มากแล้วล่ะ” คณาธิปพูดอย่างขบขัน “ไอเฟลฉันกำลังสงสัยว่านายจะชอบเด็กม.ปลายเข้าแล้วล่ะเพื่อน” ภานุวัฒน์พูดพลางวางมือลงบนไหล่ของอนรรฆ ชายหนุ่มทำตาโตทันทีพลางรีบปฏิเสธพัลวัน “ไม่ใช่นะ ก็บอกแล้วไงว่าเด็ก ม.ปลาย ไม่ใช่สเป็คฉัน” “แล้วไอ้ที่ตามไปวุ่นวายกับเค้าอยู่ทุกวันนี่มันหมายความว่ายังไง แถมยังยอมกินส้มตำที่นายเกลียดกลิ่นสุดๆ ได้อีกต่างหาก ยังจะมีหน้ามาเถียงว่าไม่ชอบเค้าอีกเหรอ” ทิวากรถาม “ก็...เค้าอุตส่าห์จะเลี้ยงตอบแทน ฉันก็เลยไม่อยากจะให้เสียน้ำใจ พอได้แล้วน่า พวกนายจะซ้อมมั้ยถ้าไม่ซ้อมฉันจะกลับแล้วนะ” “ชิ! ไอ้คนปากแข็ง” คณาธิปส่ายหน้าก่อนจะเดินกลับไปนั่งประจำตำแหน่งมือกลอง “ถ้านายแน่ใจเมื่อไหร่อย่าลืมพาเธอมาที่คามิลล่าล่ะ” ภานุวัฒน์บอกยิ้มๆ ส่วนทิวากรเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “แล้วก็อย่าลืมล่ะว่าฉันรอสมน้ำหน้านายอยู่ ถ้านายได้แฟนเป็นเด็กม.ปลาย” “เออ ขอบใจนะไอ้เพื่อนรัก” อนรรฆประชดทิวากร คณาธิปกับภานุวัฒน์เลยพากันหัวเราะเบาๆ จากนั้นทั้งสี่คนก็เริ่มต้นซ้อมดนตรี
已经是最新一章了
加载中