8 เข้าถ้ำเสือ
“สวัสดีครับพี่สา” อนรรฆทักทายหญิงสาวรุ่นพี่ซึ่งกำลังยืนจัดแจกันดอกไม้อยู่ใกล้ๆ ประตูร้านทันทีที่เขาผลักประตูเข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณไอเฟลวันนี้แวะเข้ามาแต่วันเลยนะคะ” นิสาทักทายตอบยิ้มๆ
“พอดีผมจะมาสั่งช่อดอกไม้เพิ่ม แล้วก็จะรีบกลับไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนๆ ครับ” อนรรฆพูดกับหญิงสาวรุ่นพี่ นิสาหัวเราะทันทีก่อนจะแซวว่า
“มีรายชื่อสาวมาเพิ่มอีกแล้วเหรอคะเนี่ย ถ้างั้นก็ไปสั่งเพิ่มกับน้องรินเลยค่ะ คุณวรรณไม่อยู่ออกไปซื้อของกับฝนค่ะ”
“ครับ” อนรรฆพยักหน้าก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังเคาน์เตอร์ด้านในสุดของร้าน ซึ่งรวีรินกำลังนั่งทำการบ้านอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
“ขยันจัง” อนรรฆทักทายขึ้นเมื่อเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ รวีรินเงยหน้าขึ้นมองหน้าชายหนุ่มก่อนจะถามขึ้นว่า
“จะสั่งกุหลาบแดงเพิ่มอีกกี่ช่อล่ะ”
“ได้ยินด้วยเหรอ”
“หูไม่ได้ตึงนี่ แล้วร้านฉันก็ไม่ได้กว้างเหมือนห้างด้วย จะได้ไม่ได้ยินที่นายพูด”
“สั่งเพิ่มหนึ่งช่อแต่ไม่ใช่กุหลาบแดงนะ เอาเป็นกุหลาบขาวแล้วกัน ส่งตามชื่อแล้วก็ที่อยู่ในนี้ แล้วก็ช่วยแนบการ์ดใบนี้ไปพร้อมนามบัตรให้ด้วยนะ”
อนรรฆบอกพลางวางกระดาษจดชื่อที่อยู่ พร้อมทั้งการ์ดให้รวีรินบนเคาน์เตอร์ หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“มาแปลกแฮะ วันนี้จีบสาวแนวใหม่รึไง ไม่ใช้กุหลาบแดงซะด้วย” รวีรินพูดพร้อมทั้งหยิบกระดาษที่อนรรฆจดชื่อและที่อยู่สำหรับส่งดอกไม้ขึ้นมาดู
“ชื่อมัชฌิมาเรียนอยู่ซี คอลเลจ งั้นเหรอ”
“คนนี้ไม่ได้จีบหรอก แค่ประทับใจแล้วก็ชื่นชมเค้าเท่านั้น เค้าเท่ดีก็เลยอยากจะส่งดอกไม้ไปให้ ที่สำคัญเค้ามีแฟนแล้วด้วย” อนรรฆอธิบาย
“นี่นายไม่อยากตายดีรึไง ถึงได้เที่ยวส่งดอกไม้ไปให้แฟนชาวบ้านแบบนี้ สงสัยอยากจะอายุสั้นก่อนวัยอันสมควรนะเนี่ย” รีวรินพูด
“เธอเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ หญิงสาวพยักหน้าก่อนยิ้มๆ เช่นกันว่า
“แน่นอนก็นายเป็นลูกค้าวีไอพีของแม่ฉันนี่ ถ้านายเป็นอะไรไปร้านฉันก็ขาดลูกค้าประจำสิ คงไม่มีผู้ชายคนไหนบ้าส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงวันละเป็นสิบช่อเหมือนนายหรอก ขาดนายไปร้านฉันก็เสียรายได้ต่อวันไปเยอะเหมือนกันนะนี่ โอ๊ย! อีตาบ้านี่ กล้าดียังไงมาเขกหัวฉันยะ” ตอนท้ายประโยครวีรินร้องขึ้นอย่างฉุนๆ เมื่ออยู่ดีๆ อนรรฆก็ยกมือมาเขกศีรษะเธอ โดยที่หญิงสาวไม่ทันระวังตัว
“ก็เธออยากใจร้ายทำไมล่ะ ห่วงแต่รายได้ร้านตัวเองไม่ห่วงฉันบ้างเลย”
“แล้วทำไมฉันจะต้องไปห่วงนายด้วยล่ะญาติก็ไม่ใช่ซะหน่อย แล้วถ้านายเป็นอะไรไป ก็เพราะนายทำตัวเองทั้งนั้นแหละ ทั้งกะล่อน เจ้าชู้ แล้วก็ชีกอขนาดนี้ รอดมาถึงป่านนี้ได้ก็เฮงสุดๆ แล้วล่ะ”
“ถ้าฉันเป็นอะไรไปอย่ามาร้องไห้ตามล่ะ”
“ถ้ากำลังฝันอยู่ก็ตื่นได้แล้วนะหรือจะให้ฉันช่วยปลุกด้วยแจกันนี่ดี” รวีรินถามพร้อมทั้งคว้าแจกันเปล่าที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นมาถือ อนรรฆส่ายหน้ายิ้มๆ พลางพูด
“เธอนี่จริงๆ เล้ย ฉันต้องรีบไปแล้วล่ะ เดี๋ยวพวกเพื่อนๆ ฉันมันรอนานจะโวยวายเอาอีก ไว้เสร็จงานของมหาวิทยาลัยเมื่อไหร่จะมาขอกินข้าวเย็นด้วยอีกนะ ไปล่ะ” อนรรฆพูดพลางขยิบตาและส่งจูบให้หญิงสาวก่อนจะก้าวยาวๆ ออกไปจากร้าน
“เชอะ! อีตาชีกอเอ๊ย”
รวีรินว่าตามหลังชายหนุ่ม พลางส่ายหน้าอย่างระอาใจในพฤติกรรมของเขา
“ครับๆ ยิหวาพอดีช่วงนี้ผมต้องซ้อมดนตรีตอนเย็นทุกวันน่ะครับ เลยยังไม่ว่างไปเจอยิหวา ไม่เอานะอย่าโกรธนะครับ ครับแล้วเดี๋ยวเจอกัน คิดถึงนะครับคนดีของผม หวัดดีครับ”
“ฉันชักจะเลี่ยนกับไอ้ประโยคหวานๆ ของนายตั้งแต่เช้าแล้วนะไอเฟล นี่ผู้หญิงพวกนั้นไม่เป็นอันร่ำอันเรียน อันกินอันนอนกันเลยรึไง ที่ไม่ได้เจอหน้านายน่ะ ถึงได้โทรตามจิกนายอย่างกับภรรยาตามจิกสามีแบบนี้”
คณาธิปถามอย่างเอือมระอา เพราะได้ยินอนรรฆคุยโทรศัพท์ชี้แจง และแก้ตัวกับบรรดาสาวๆ คู่ควงของเขามาเป็นสิบสายแล้วนับตั้งแต่มาถึงมหาวิทยาลัย แต่ยังไม่ทันที่อนรรฆจะตอบอะไรโทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นเตือนว่ามีสายเข้าอีก
“คราวนี้ใครอีกล่ะ” ทิวากรถามพลางปรายตามามองแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม
“ไม่รู้สิ เบอร์นี้ไม่คุ้น” อนรรฆมองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนกดรับสาย “ฮัลโหล ไอเฟลพูดครับ” แต่แล้วเขาก็ร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้นดีใจ จนคณาธิป ทิวากรและภานุวัฒน์ ซึ่งกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ต้องพากันหันมามองทันที
“หา! มัชฌิมาเหรอ โอ้ เธอโทรมาหาฉัน เฮ้ โย คีน ทิม มัชฌิมาโทรมาหาฉันล่ะ”
“นี่นายไอเฟล นายจะไปป่าวประกาศบอกชาวบ้านว่าฉันโทรไปหานายเพื่ออะไรยะ” คนทางทางปลายสายว่ามาด้วยน้ำเสียงเอือมระอาสุดๆ
“ก็ฉันดีใจที่เธอโทรมาหานี่ แล้ววันนี้ได้รับช่อดอกไม้ของฉันรึยัง” อนรรฆถามกลับไป
“ได้รับแล้ว แล้วก็กำลังจะโทรมาบอกนาย ว่าไม่ต้องส่งช่อดอกไม้มาให้ฉันอีกแล้วนะ”
“อ้าว ทำไมล่ะเธอไม่ชอบดอกไม้เหรอ งั้นเดี๋ยวฉันเปลี่ยนเป็นส่งขนมไปให้เธอแทนดีมั้ยเธอชอบขนมอะไรล่ะ”
“ไม่เอา จะดอกไม้ จะขนม จะอะไรฉันก็ไม่เอาทั้งนั้น นายห้ามส่งมาอีกนะของแพงๆ ทั้งนั้น เก็บเงินที่พ่อแม่นายให้เอาไว้ใช้ในสิ่งที่จำเป็น หรือถ้านายอยากจะให้ดอกไม้ผู้หญิง นายก็ควรจะให้กับผู้หญิงที่นายชอบคนเดียว ไม่ใช่มาให้พร่ำเพรื่อแบบนี้” หญิงสาวทางปลายสายเทศนามายาวเหยียด
“ก็ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงที่ฉันชอบที่สุดไง โอ๊ย ไอ้บ้าโยนายมาเขกหัวฉันทำไม” ตอนท้ายประโยคอนรรฆโวยวายขึ้นทันที เมื่อโดนภานุวัฒน์ซึ่งลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่เดินมายกมือเขกศีรษะเขา แล้วดึงโทรศัพท์ของเขาไปคุยแทนเสียเอง
“สวัสดีครับมัช”
หลังจากภานุวัฒน์คุยกับหญิงสาวทางปลายสายอยู่ครู่หนึ่งก็วางสาย แล้วส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้อนรรฆ พลางสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นายเลิกส่งดอกไม้ไปให้มัชได้แล้วนะไอเฟล ฉันขอสั่งห้ามเด็ดขาด”
“โหย! ไรวะแค่นี้ก็ต้องมาสั่งห้ามฉันด้วย กลัวฉันจีบมัชฌิมาติดแล้วนายขายหน้ารึไง” อนรรฆถามอย่างเคืองๆ ภานุวัฒน์ปรายตามามองอนรรฆนิดหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า
“คนเจ้าชู้อย่างนายจีบมัชไม่ติดหรอก แล้วถ้านายคิดว่ามัชจะเปลี่ยนใจจากซันมาชอบนายล่ะก็ ฝันไปเถอะ”
พูดจบภานุวัฒน์ก็ก้าวออกไปจากห้องโถงของสโมสรนักศึกษาคามิลล่าทันที
“ไอ้ปากเสียไอเฟล ทำไมนายพูดอย่างงั้นวะ” คณาธิปพูดขึ้นทันทีเมื่อลับร่างภานุวัฒน์ ส่วนทิวากรก็เสริมขึ้นอีกว่า
“รู้ก็รู้อยู่ว่าโยมันยังชอบมัชฌิมาอยู่ นายจะไปพูดตอกย้ำให้มันช้ำใจทำไมว่ามันอกหักแล้ว”
“เออๆ ฉันขอโทษก็แค่จะแหย่มันเล่น ไม่นึกว่ามันจะไม่ขำนี่นา” อนรรฆพูดขึ้นด้วยสีหน้าสำนึกผิด คณาธิปกับทิวากรพากันส่ายหน้าอย่างระอาใจในนิสัยขี้เล่นจนเกินเหตุของอนรรฆ
“หิวชะมัดเลยกินอะไรดี” คณาธิปพูดขึ้นวันนี้เป็นวันเสาร์สี่หนุ่มหล่อแห่งคามิลล่าจึงนัดเจอกันในช่วงบ่ายที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ซึ่งมักจะมาเดินเที่ยวเล่นกันเป็นประจำเพื่อหาอาหารอร่อยๆ รับประทาน ก่อนจะพากันไปซ้อมดนตรีต่อที่บ้านของภานุวัฒน์
“ร้านเดิมนั่นแหละขี้เกียจคิด” ทิวากรตอบง่ายๆ
“ฉันยังไงก็ได้” ภานุวัฒน์พูด
“งั้นก็ไปเลยวันนี้ฉันจะกินพลาสต้า” อนรรฆพูดอย่างเริงรื่นพลางก้าวยาวๆ นำหน้าเพื่อนทั้งสาม เพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารนานาชาติที่พวกเขาเป็นลูกค้าประจำ แต่เดินมาได้ครู่เดียวชายหนุ่มก็ชะงัก เมื่อเหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างโปร่งบางในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนขายาว สวมรองเท้าผ้าใบหน้าตาสวยคมคุ้นตา ซึ่งกำลังเดินคุยกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อท่าทางกวนประสาทเขาอย่างยิ่ง อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้างตรงข้ามกับจุดที่เขาและเพื่อนๆ กำลังเดินอยู่
“นายหยุดเดินทำไมไอเฟล” ภานุวัฒน์ถามขึ้นเมื่ออยู่ดีๆ อนรรฆซึ่งกำลังเดินนำหน้าทุกคนอยู่หยุดเดินเอาดื้อๆ อนรรฆหันกลับมาบอกเพื่อนๆ ว่า
“พวกนายเดินไปที่ร้านก่อนนะ พอดีฉันเจอคนรู้จักขอไปทักทายหน่อย”
พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวยาวๆ มุ่งหน้าไปทางฝั่งตรงข้ามทันที
“สงสัยมันจะเห็นสาวๆ ของมันแหงเลย” คณาธิปเดา
“ชัวร์ เพราะคนที่มันรู้จักนอกจากพวกเราสามคนที่เป็นผู้ชายแล้ว ส่วนมากก็มีแต่พวกสาวๆ ทั้งนั้น” ทิวากรพูด ภานุวัฒน์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
“ช่างมันเถอะ พวกเราไปรอมันที่ร้านดีกว่าเดี๋ยวไอ้จอมเจ้าชู้ของเรามันก็ตามไปเองแหละ”
แล้วสามหนุ่มก็พากันเดินมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารทันที
“นายโรมนี่ทุ่มทุนสร้างชะมัดเลยแฮะ ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ เลยว่าไอ้โปรเจคคู่รักตัวอย่างนี่ถ้าชนะการประกวดจะได้รางวัลอะไร” รวีรินพูดกับชยางกูร วันนี้เธอกับเพื่อนรักตามมาถ่ายภาพของนวพธูกับธนัชนนท์ คู่รักตัวอย่างตามที่ได้รับมอบหมายจากรังสิมันตุ์ ประธานสภานักเรียนของโรงเรียนเซนต์แองเจล่าที่ห้างสรรพสินค้า เนื่องจากวันนี้ทั้งสองคนนั้นออกเดทด้วยกันเป็นครั้งแรก หลังจากถ่ายภาพของทั้งสองคนนั้นเรียบร้อยตามหน้าที่แล้ว เธอกับชยางกรูจึงขอแยกตัวมาเพื่อจะได้เดินเล่นและหาซื้อของบ้าง
“เธอจะอยากรู้ไปทำไมล่ะริน” ชยางกูรถาม
“ก็ฉันสงสัยว่าทำไมนายโรมถึงได้ยอมลงทุนทุ่มงบไม่อั้นแบบนี้ แค่ให้ชมรมเราตามถ่ายรูปกับถ่ายวีดีโอนีซกับธีมตลอดเวลา ก็ใช้ค่าใช้จ่ายเยอะแล้วนะ แล้ว หมอนั่นยังลงทุนจัดสถานที่เดทให้สองคนนั้นอีกด้วย วันนี้ให้มาดูหนัง ไม่รู้ว่าเสาร์อาทิตย์หน้าจะให้ไปเดทที่ไหนอีก ถ้ารางวัลมันไม่สำคัญมากนายโรมจะยอมทำถึงขนาดนี้เหรอ เอ๊ะ! หรือว่าถ้าชนะหมอนั่นจะได้ไปทัวร์รอบโลกฟรีถึงได้ยอมทำขนาดนี้”
“จะบ้าเหรอริน โรมรวยจะตาย ถ้าหมอนั่นอยากจะไปทัวร์รอบโลกจริงคงไม่ต้องรอประกวดชิงรางวัลแบบนี้หรอกน่า” ชยางกูรพูดอย่างขำๆ
“เออ ก็จริงของนายแฮะ”
“รวีริน” เสียงทุ้มที่เริ่มจะคุ้นหูรวีรินเป็นอันมากในพักหลังดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้หญิงสาวกับชยางกูรต้องพากันชะงักหยุดเดิน แล้วหันกลับไปมองทางด้านหลังแล้วก็เห็นอนรรฆยืนอยู่
วันนี้ร่างสูงหุ่นนายแบบของเขาอยู่ในชุดเสื้อยืดคอวีสีส้มอ่อนกับกางเกงยีนขายาวสีซีดและสวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีส้ม ผมยาวระต้นคอถูกเซ็ทให้ชี้ขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบนัก ที่ติ่งหูด้านขวาสวมตุ้มหูรูปไม้กางเขนสีเงินดูเก๋ไก๋ แค่นี้อนรรฆก็ดูเหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากหนังสือนิตยสารแฟชั่นแล้ว เพราะเขาดูโดดเด่นและสะดุดตามากๆ บรรดาสาวๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างพากันมองเขาตาปรอย ‘ไม่รู้จะหล่อไปถึงไหนนะหมอนี่’ รวีรินคิดอยู่ในใจ
“หวัดดีตอนบ่ายนายพาสาวมาเดทเหรอ” หญิงสาวทักอีกฝ่ายขึ้นก่อน อนรรฆส่ายหน้าพลางตอบ
“เปล่า ฉันมากับเพื่อนๆ เดี๋ยวจะไปซ้อมดนตรีกันต่อแล้วเธอล่ะมาทำไม”
“มาทำงานของโรงเรียน” รวีรินตอบ
“งานอะไร” อนรรฆถามอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนักพลางปรายตามองชยางกูรซึ่งยืนยิ้มกริ่มอยู่ข้างรวีริน หญิงสาวขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม
“ก็งานของโรงเรียนฉันน่ะสิ บอกไปนายก็ไม่รู้หรอกจะถามเพื่ออะไรเนี่ย”
“ก็แล้วมันงานอะไรล่ะ” อนรรฆยังตื้อถาม
“เอ๊ะ! นายไอเฟลฉันต้องมาแจกแจงรายละเอียดให้นายฟังด้วยเหรอ นี่มันงานของโรงเรียนฉันไม่ใช่ของมหาวิทยาลัยนายซะหน่อย” รวีรินพูดอย่างฉุนๆ
“ก็...ฉันอยากรู้นี่”
“นายนี่ก็แปลกนะ นอกจากเจ้าชู้แล้วยังมีเวลามายุ่งเรื่องชาวบ้านอีกเหรอ น่ารำคาญชะมัด”
“ว่าไงนะ”
“สวัสดีครับรุ่นพี่ คือเราเจอกันสองครั้งแล้ว แต่ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยผมชื่อชัตเตอร์นะครับ” ชยางกูรพูดขึ้น เมื่อเห็นว่ารวีรินกำลังเริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่พอใจชายหนุ่มรุ่นพี่ เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่กำลังหน้าบึ้งเช่นกัน
“ไอเฟล” อนรรฆทักทายตอบมาห้วนๆ โดยไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย ชยางกูรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
“ผมกับรินไม่ได้มาเดทกันหรอกครับ เผื่อว่ารุ่นพี่จะเข้าใจแบบนั้น”
อนรรฆเหลือบมามองหน้าคนพูดทันที แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองสบตาเขาอย่างรู้ทัน ชยางกูรยิ้มก่อนอธิบายต่อไปว่า
“ทางโรงเรียนของเรากำลังทำโปรเจคคู่รักตัวอย่าง เตรียมส่งเข้าประกวดอยู่น่ะครับ ผมกับรินอยู่ชมรมถ่ายภาพก็เลยมีหน้าที่ต้องตามถ่ายภาพคู่รักตัวอย่าง พอดีว่าวันนี้คู่รักตัวอย่างของเรามาดูหนังที่นี่ เราสองคนก็เลยตามมาด้วยก็แค่นั้นแหละครับ”
“งั้นหรอกเหรอ” อนรรฆพึมพำพูด
“รู้แล้วคงสบายใจแล้วสินะพวกฉันจะได้ไปกันซะที ไปเหอะชัตเตอร์” รวีรินพูดพลางดึงแขนชยางกูรเตรียมจะเดินจากไป แต่อนรรฆก็เรียกเอาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิ พวกเธอจะกลับบ้านกันแล้วเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ เสร็จงานแล้วพวกฉันจะอยู่ทำไมล่ะ”
อนรรฆอึ้ง...
“หวัดดีครับรุ่นพี่ ไปก่อนนะครับ หึๆๆ”
ชยางกูรหันมาร่ำลาอนรรฆซึ่งกำลังยืนอึ้งอยู่ก่อนจะเดินตามรวีรินไป
“เอ แปลกจังเลยนะ ทำไมวันนี้คุณไอเฟลก็ไม่แวะเข้ามาที่ร้านอีกแล้ว”
รวีรินได้ยินเสียงมารดาของเธอหันไปพูดกับนิสาและน้ำฝน ซึ่งกำลังช่วยกันจัดช่อดอกไม้อยู่ หญิงสาวถอนหายใจอย่างหมั่นไส้คนที่มารดาพูดถึง ไม่รู้ว่าเขามีเสน่ห์อะไรนักหนา แค่หายไปสองสามวันตั้งแต่วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันนี้วันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่สาม คนที่นี่ก็บ่นถึงกันระงมทีเดียว
“จริงด้วยค่ะ เห็นทุกทีจะรีบร้อนไปไหน ยังไงก็ต้องแวะเข้ามาทักทายก่อนแป๊บนึงนะคะ” น้ำฝนพูดขึ้น
“นั่นสินะไม่แวะเข้ามาเลย คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่ขนาดรถยังไม่เห็นวิ่งผ่านเลยนะคะคุณวรรณ”
นิสาพูดขึ้นบ้าง คุณรวีวรรณขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจพลางพูด
“แปลกจังนะหรือรินว่าไงลูก” แล้วท้ายประโยคคุณรวีวรรณก็หันมาถามรวีริน ซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำการบ้านอยู่ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบโดยไม่เงยหน้าว่า
“เค้าก็อาจจะอยู่ซ้อมดนตรีกับพวกๆ เพื่อนเค้า แล้วก็กลับดึกมังคะ พี่สาถึงได้ไม่เห็นรถเค้า”
“แล้วที่ไม่แวะเข้ามาที่ร้านเลยล่ะ มันแปลกๆ นะ รินไปว่าอะไรพี่เค้าอีกรึเปล่าลูก”
“แม่คะตกลงเดี๋ยวนี้แม่รักหมอนั่นมากกว่าลูกสาวตัวเองแล้วเหรอคะ รินจะไปว่าอะไรเค้าตอนไหนล่ะคะ อยากยุ่งด้วยตายล่ะ แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้เลยนายคนโปรดของแม่น่ะ เค้าไม่มาก็เรื่องของเค้าสิคะ หมอนั่นอาจจะกำลังยุ่งสับรางรถไฟพวกสาวๆ อยู่ก็ได้ เดี๋ยวอยากมาเค้าก็มาเองแหละค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงกันนักหรอก” รวีรินเงยหน้าขึ้นมาร่ายยาวอย่างงอนๆ มารดา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อ คุณรวีวรรณสบตากับนิสาและน้ำฝนก่อนจะอธิบายว่า
“ก็คนรู้จักกัน แล้วคุณไอเฟลเค้าก็เคยช่วยเหลือมีน้ำใจกับเรา เห็นเงียบหายไปแม่ก็เลยเป็นห่วงก็เท่านั้นเอง”
“รินว่าไม่ต้องห่วงหมอนั่นหรอกค่ะ ห่วงค่าดอกไม้ของหมอนั่นดีกว่า สองวันที่ไม่มาค่าดอกไม้ก็ปาเข้าไปหมื่นกว่าบาทแล้วนะคะ แล้วเราก็สำรองจ่ายเงินค่าดอกไม้ไปก่อนแล้วด้วย” รวีรินพูด
“ลองโทรไปถามคุณไอเฟลดูดีมั้ยคะคุณวรรณ เบอร์มือถือคุณไอเฟลอยู่ในนามบัตรมีไม่ใช่เหรอคะ” นิสาเสนอขึ้นและน้ำฝนก็สนับสนุนขึ้นทันที
“จริงด้วยคะโทรไปถามดูก็ดีนะคะ”
“เอางั้นเหรอ” คุณรวีวรรณถามอย่างไม่แน่ใจนักหากแต่นิสาและน้ำฝนก็พากันสนับสนุน จนในที่สุดคุณรวีวรรณไปหยิบนามบัตรของอนรรฆออกมาแล้วโทรศัพท์ไปหาเขา ขณะที่รวีรินได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“สวัสดีค่ะคุณไอเฟลนี่น้าวรรณนะคะ ตายจริง ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะคะคุณไอเฟลไม่สบายเหรอคะ มิน่าละถึงไม่ได้แวะเข้ามาที่ร้านตั้งสองวันแล้ว พวกเราที่ร้านยังบ่นเป็นห่วงกันอยู่เลยนะคะ แล้วไปหาหมอมารึยังคะ อ๋อ ถ้างั้นคุณไอเฟลพักผ่อนเถอะนะคะ สวัสดีค่ะ” คุณรวีวรรณวางโทรศัพท์ลงบนแป้นพลางบอกกับทุกคน
“คุณไอเฟลเป็นไข้หวัดใหญ่ เสียงนี่แทบไม่มีเลย หยุดเรียนมาสองวันแล้วล่ะเพราะลุกไม่ไหว”
“โถ น่าสงสารจังเลยค่ะ แล้วได้ไปหาหมอรึเปล่าล่ะคะ” นิสาถามขึ้น
“เห็นบอกว่าเมื่อคืนเพื่อนมาขับรถพาไปหาหมอแล้วล่ะจ้ะ” คุณรวีวรรณตอบ
“แล้วอยู่ในห้องคนเดียวแบบนั้นจะกินอยู่ยังไงล่ะคะ น่าสงสารจัง เป็นไข้หวัดใหญ่น่ะปวดเมื่อยเนื้อตัว แล้วก็ไม่มีแรงเอามากๆ เลยนะคะ ฝนเคยเป็น” น้ำฝนพูดขึ้นบ้าง
เอาเข้าไปพอนายคนโปรดเจ็บป่วย ผู้คนที่นี่ก็เลยพลอยวิตกกังวลกันไปหมด รวีรินคิดอยู่ในใจพลางถอนหายใจอีกรอบ
“ฉันไปทำข้าวต้มให้คุณไอเฟลดีกว่า” รวีรินได้ยินเสียงมารดาบอกกับสองสาวรุ่นพี่ หญิงสาวเลยส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของมารดา
“เดี๋ยวพอแม่ทำเสร็จแล้ว รินช่วยเอาข้าวต้มไปให้พี่เค้าที่คอนโดหน่อยนะลูก”
“ทำไมต้องให้รินไปด้วยล่ะคะ รินกำลังรีบทำการบ้านให้เสร็จอยู่นะคะแม่ เพราะพรุ่งนี้รินต้องไปถ่ายรูปที่สวนสนุกกับนายชัตเตอร์ทั้งวัน” รวีรินค้านมารดา
“รินแม่ไม่เคยสอนให้ลูกแล้งน้ำใจนะจ๊ะ คอนโดพี่เค้าก็อยู่ใกล้แค่นี้เองเดินไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ คนรู้จักกันเราก็ต้องมีน้ำใจกันบ้างสิจ๊ะ ลูกก็แค่เอาข้าวต้มไป แล้วก็จัดใส่ถ้วยไปวางให้พี่เค้ากินสะดวกแค่นั้นเอง แล้วค่อยกลับมาทำการบ้านต่อก็ได้”
“แล้วถ้าเผื่อเค้าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ล่ะคะ รินกลัวติดนี่” รวีรินหาข้ออ้างมาอีกจนได้ ก็เธอไม่อยากเข้าไปในห้องบุคคลอันตรายสำหรับผู้หญิงอย่างอนรรฆนี่
“ไร้สาระน่ายัยริน เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้นเลยนะ”
“งั้นรินบอกตามตรงก็ได้ค่ะ รินไม่อยากไปอยู่ในห้องของผู้ชายเจ้าชู้อย่างนายนั่นหรอก เดี๋ยวเกิดเค้าหน้ามืดปล้ำรินขึ้นมาล่ะคะ” รวีรินโพล่งออกไปตามตรงแล้วก็เห็นมารดา นิสาและน้ำฝนพากันหัวเราะอย่างขบขันทันที ก่อนที่น้ำฝนจะพูดขึ้นว่า
“น้องรินคะ คุณไอเฟลเป็นไข้หวัดใหญ่นอนซมขนาดนั้น คงลุกมาปล้ำน้องรินไม่ไหวหรอกค่ะ”
“นั่นสิคะ ถ้าคุณไอเฟลทำแบบนั้นจริงๆ น้องรินสู้ได้สบายมากอยู่แล้วล่ะค่ะ” นิสาเสริม
“คิดได้ยังไงนะลูกคนนี้ พี่เค้าจะกล้ามาทำกับรินอย่างนั้นได้ยังไง เลิกคิดเหลวไหลได้แล้ว แม่จะไปทำข้าวต้มล่ะ” คุณรวีวรรณพูดจบก็เดินหายเข้าไปทางหลังร้านทันที รวีรินถอนหายใจเบาๆ ก็เพราะมารดาเธอไม่รู้น่ะสิ ว่าอนรรฆเคยทำอะไรเธอในห้องครัวถึงได้คิดว่าไว้ใจเขาได้ สรุปแล้วรวีรินต้องเอาข้าวต้มไปให้เขาจริงๆ ใช่มั้ย มารดาของเธอส่งเธอไปเข้าถ้ำเสือชัดๆ หญิงสาวคิดอย่างสุดแสนเซ็ง
ในที่สุดรวีรินก็มายืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของคอนโดหรูหราแห่งนี้จนได้
“สวัสดีค่ะ ต้องการมาพบใครเหรอคะ” ประชาสัมพันธ์สาวสวยถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและอัธยาศัยดี
“หนูจะขอขึ้นไปเยี่ยมนาย เอ่อ คุณอนรรฆหน่อยค่ะ ไม่ทราบว่าเค้าอยู่ห้องไหนคะ”
“อ๋อ มาหาคุณไอเฟลเหรอคะ” พนักงานสาวทวนถามมาอีกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางมองรวีรินอย่างพิจารณามากกว่าเดิม
“ค่ะ พอดีว่าเค้าไม่สบาย แล้วแม่หนูให้มาเยี่ยมเค้าแทนน่ะค่ะ” รวีรินตอบ เริ่มรู้สึกอึดอัดใจกับสายตาของประชาสัมพันธ์สาวสวยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อย่างว่าแหละนะ เรื่องความเจ้าชู้ของอนรรฆคงเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักหรอก ถ้าหากหญิงสาวรุ่นพี่ตรงหน้าจะเข้าใจผิด ว่ารวีรินเป็นหนึ่งในบรรดาสาวๆ ของเขา
“ไม่ทราบว่าชื่ออะไรคะ ดิฉันจะต้องโทรขึ้นไปถามคุณไอเฟลก่อน ว่าจะอนุญาตให้ขึ้นไปเยี่ยมรึเปล่า”
“รวีรินค่ะ”
“รอซักครู่นะคะ” พนักงานสาวสวยบอก ก่อนจะกดต่อสายโทรศัพท์ภายในขึ้นไปยังห้องของอนรรฆ
“คุณไอเฟลคะ คุณรวีรินขอขึ้นไปเยี่ยมค่ะ อ๋อค่ะ ได้ค่ะ” พอวางสายพนักงานสาวสวยก็หันไปเปิดตู้ล็อกเกอร์ทางด้านหลังตัวเอง หยิบคีย์การ์ดอันหนึ่งมายื่นให้รวีรินพลางพูด
“คุณไอเฟลอนุญาตให้ขึ้นไปเยี่ยมได้ค่ะ แต่รบกวนคุณรวีรินเอาคีย์การ์ดสำรองนี่เปิดเข้าไปในห้องของคุณไอเฟลเองนะคะ เพราะคุณไอเฟลลุกมาเปิดประตูไม่ไหวค่ะ ห้องคุณไอเฟลอยู่ชั้นสามสิบชั้นบนสุดเลยนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” รวีรินพูดพลางรับคีย์การ์ดมาจากพนักงานสาวสวยแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์แก้ว กดเรียกลิฟต์ลงมาก้าวเข้าไป แล้วกดเลขชั้นสามสิบชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องของอนรรฆทันที
อึดใจเดียวลิฟต์ก็เลื่อนขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุด พอลิฟต์เปิดออกรวีรินก้าวออกไปก็พบประตูไม้บานใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้า ห่างจากลิฟต์เพียงสิบก้าวเท่านั้น เธอคิดว่าชั้นนี้ทั้งชั้นน่าจะเป็นอาณาจักรของอรรฆเพียงคนเดียว และดูเหมือนจะพยายามออกแบบเป็นพิเศษ ให้เหมือนกำลังอยู่ในบริเวณบ้านหลังหนึ่งไม่ใช่อยู่ในคอนโดสูงเสียดฟ้า หญิงสาวก้าวไปรูดคีย์การ์ดตรงประตู พอสัญญาณดังติ๊ดประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออกทันที