9 เลิฟซีน   1/    
已经是第一章了
9 เลิฟซีน
พอรวีรินก้าวเข้ามาในห้องก็พบโถงกว้างมีชุดรับแขกชุดใหญ่ตั้งอยู่ พร้อมทั้งโทรทัศน์แอลอีดีจอแบนขนาดใหญ่ และชุดเครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์ชุดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีห้องกระจกใสมีอุปกรณ์ฟิตเนสตั้งอยู่ทุกชนิด ถัดเข้าไปด้านในเป็นห้องครัวอันกว้างขวางมีอุปกรณ์หรูหราทันสมัยอยู่ครบครันเช่นกัน นอกนั้นก็เป็นห้องที่ปิดประตูเอาไว้อีกสี่ห้อง และห้องที่ใหญ่ที่สุดมีป้ายติดอยู่ที่หน้าห้องว่า ‘EIFFEL’ “เชอะ รวยเวอร์” รวีรินบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนก้าวตรงไปยังห้องนอนที่มีป้ายชื่อติดอยู่ หญิงสาวเคาะประตูเบาๆ สองสามที ก่อนเปิดประตูห้องค้างเอาไว้แล้วก้าวเข้าไป ผู้ชายร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดเซียวกำลังนอนมองเธอตาแป๋วอยู่บนเตียง “หวัดดี” อนรรฆส่งเสียงแหบแห้งทักทายมาก่อน พลางยิ้มอย่างอ่อนแรงให้หญิงสาว รวีรินมองใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายอย่างสงสารปนสมเพช เธอก้าวเข้าไปยืนที่ข้างเตียงของเขาแล้วพูดเขาว่า “สารรูปดูไม่ได้เลย โทรมสุดๆ” “ขอบคุณในคำชม” อนรรฆพูดยิ้มๆ “เสียงนายอย่างกับเป็ด ท่าทางจะเจ็บคอมากล่ะสิ” รวีรินถาม อนรรฆเลยพยักหน้าแทนคำตอบ “เป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่รึเปล่าเนี่ย” “ไม่ใช่หรอก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มันเชยแล้ว ฉันเป็นไข้หวัด 2018 ต่างหาก” “ยังตลกได้อีกนะ เที่ยงแล้วหิวรึยังล่ะ แม่ฉันทำข้าวต้มมาให้นายด้วย” “ไม่อยากกินเลยเจ็บคอ” อนรรฆพูด “จะไม่กินได้ยังไงนายต้องกินยานะ เดี๋ยวฉันไปเอาข้าวต้มใส่ชามให้ก่อนแล้วกัน” รวีรินพูดพลางหมุนตัวเดินกลับออกไปด้านนอก ตรงไปที่ห้องครัวแล้วจัดแจงตักข้าวต้มกุ้งใส่ชามให้ชายหนุ่ม ก่อนจะยกกลับเข้ามาในห้องนอนของเขาอีกครั้ง โดยเอาวางไว้บนโต๊ะตรงหัวเตียง จากนั้นจึงหยิบถุงยาของโรงพยาบาลที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดดูพลางพึมพำ “มียาที่ต้องกินก่อนอาหารรึเปล่าล่ะเนี่ย” อนรรฆนอนมองหญิงสาวที่กำลังหยิบถุงยาแต่ละถุงขึ้นมาดูแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว “นี่ไง ยาแก้อักเสบต้องกินก่อนอาหาร” รวีรินพูดพลางเทยาออกมาจากถุงยาแล้วหยิบขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเทน้ำใส่แก้ว พลางหันไปถามคนที่นอนอยู่บนเตียง “นายลุกขึ้นมานั่งไหวรึเปล่า” “ถ้าไม่ไหวเธอจะประคองฉันมั้ย” อนรรฆถามยิ้มๆ “ไม่ ลุกขึ้นมาเลย อย่ามาอ้อนฉันไม่ใช่พวกสาวๆ ของนาย” หญิงสาวพูดพลางค้อน ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางอ่อนแรง รวีรินส่งยากับแก้วน้ำให้อนรรฆ เขารับยาไปส่งเข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม ก่อนจะส่งแก้วน้ำคืนให้หญิงสาวเอาวางไว้บนโต๊ะตามเดิมแล้วขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “รอซักพักค่อยกินข้าวต้มแล้วกัน” รวีรินบอก “ไม่นึกเลยว่าเธอจะมาเยี่ยมฉัน” อนรรฆพูดขึ้น “ฉันก็ไม่อยากมานักหรอกแต่แม่บังคับให้มา พี่สากับพี่ฝนก็ด้วยเป็นห่วงนายกันเหลือเกิน สงสัยกลัวนายจะนอนป่วยตายอยู่ในนี้คนเดียวมั้ง” “ตกลงว่าเธอจะมาเยี่ยมฉันหรือว่ามาซ้ำเติมกันแน่” อนรรฆถามพลางทำท่าน้อยใจ “ไม่ต้องมาทำท่าแบบนั้นกับฉันหรอก น่ารักตายล่ะ” รวีรินว่าพลางหันไปยกเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือของอนรรฆมาวางข้างๆ เตียงเขา แล้วทรุดตัวลงนั่งก่อนจะถามว่า “แล้วนายไปทำอีท่าไหนล่ะ ถึงได้เป็นไข้หวัดใหญ่ได้” “สงสัยพักผ่อนไม่เพียงพอ ช่วงนี้ฉันซ้อมดนตรีดึกด้วย พอกลับมาถึงห้องฉันก็เปิดแอร์นอนพัก แล้วก็เผลอหลับไปจนถึงเช้าหลายคืนติดๆ กันโดยไม่ได้ห่มผ้า มันก็เลยทำให้ไม่สบายมั้ง” “ซกมกชะมัด แสดงว่าไม่ได้อาบน้ำด้วยล่ะสิก่อนจะนอนน่ะ” “ก็มันเหนื่อยนี่ ง่วงด้วย ทีแรกก็แค่กะจะนอนพักเฉยๆ แต่มันเผลอหลับไปยันเช้าเลย” “แล้วนี่นายกินน้ำอุ่นรึเปล่า” “เปล่า ไม่มีแรงลุกไปต้มหรอก ยกกระติกน้ำก็ไม่ไหว ฉันก็เลยหยิบน้ำในตู้เย็นมาวางไว้ให้มันหายเย็นแล้วค่อยกิน” “เวรกรรม แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะหายเจ็บคอกันล่ะ กระติกน้ำร้อนอยู่ในห้องครัวใช่มั้ย เดี๋ยวฉันไปยกมาต้มไว้ให้นายในห้องนี้แล้วกัน จะได้กินน้ำอุ่นได้สะดวก” รวีรินพูดจบก็ลุกขึ้นยืน ก่อนก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องของอนรรฆอีกรอบ หญิงสาวจัดแจงเปิดเครื่องกรองน้ำใส่กระติกน้ำร้อนจนเต็ม แล้วยกเข้ามาเสียบปลั๊กไว้ในห้องของเขา “แล้วนี่พวกเพื่อนๆ นายเค้าไม่มาเยี่ยมนายกันเหรอวันนี้วันเสาร์นี่นา” “พวกนั้นติดเรื่องเตรียมงานที่มหาวิทยาลัยอยู่ แต่ก็โทรมาบอกแล้วว่าจะแวะมาเยี่ยมฉันช่วงเย็น” “นายนี่เหมือนคนไข้อนาถาเลยนะไร้ญาติขาดมิตรเชียว แล้วทำไมไม่โทรไปเรียกพวกสาวๆ ของนายมาดูแลล่ะ จะได้ไม่ต้องนอนซมอยู่ในห้องคนเดียว ฉันว่าแค่นายโทรไปบอก เค้าก็คงจะรีบมาปฐมพยาบาลนายกันเป็นแถวแล้วล่ะ” “ไม่เอาหรอก ฉันไม่เคยพาผู้หญิงมาที่คอนโดมันดูไม่ดี” “หือ คิดแบบนี้ก็เป็นด้วย เหลือเชื่อเลย” รวีรินค่อนขอด ก่อนจะถามต่อไปอีกว่า “ที่ผ่านมาสองวันแล้วก็เมื่อเช้านายกินอยู่ยังไงล่ะ” “ก็โทรลงไปสั่งห้องอาหารข้างล่างให้เค้าทำขึ้นมาส่งถึงในห้องน่ะสิ พอกินเสร็จก็โทรเรียกเค้าขึ้นมาเก็บลงไป” อนรรฆบอก รวีรินพยักหน้าก่อนจะหยิบชามข้าวต้มมาส่งให้ชายหนุ่มพลางบอก “กินข้าวได้แล้วล่ะจะได้กินยาหลังอาหาร” รวีรินบอกพร้อมทั้งหยิบชามข้าวต้มส่งให้อนรรฆ เขามองหน้ามองหน้าเธอพลางยิ้มนิดหนึ่งก่อนถามว่า “เธอไม่ป้อนฉันหน่อยเหรอ” “น้อยๆ หน่อยย่ะ เป็นไข้หวัดนะไม่ได้เป็นง่อย ตักกินเองสิ ทีตอนฉันยังไม่มาทำไมนายตักข้าวกินเองได้ล่ะ” “ฉันกำลังป่วยอยู่นะขออ้อนหน่อยไม่ได้เหรอ” “นายอ้อนผิดคนแล้วล่ะ รีบๆ กินเข้าไปเถอะจะได้กินยาหลังอาหาร ฉันจะได้กลับซะที” รวีรินบอกอีกรอบ อนรรฆถอนหายใจเบาๆ พลางรับชามข้าวต้มไปตักรับประทานพลางบ่น “ผู้หญิงใจร้าย” “นายกล้าว่าฉันใจร้ายเหรอ นี่ฉันอุตส่าห์หอบหิ้วข้าวต้มมาให้นายเชียวนะ” “อะๆ เธอใจดีสุดๆ เลย” อนรรฆประชด เลยได้รับค้อนจากหญิงสาวอีกหนึ่งวง “นายนี่ท่าทางจะชอบสีส้มนะ” รวีรินพูดขึ้นเปรยๆ เมื่อมองไปรอบห้อง แล้วเห็นว่าห้องนอนของอนรรฆติดวอลเปเปอร์สีส้มอ่อนทั้งห้อง อีกทั้งผ้าปูที่นอนรวมทั้งผ้าห่มของเขาก็ออกโทนสีส้มอ่อนเช่นกัน แล้วพวกเสื้อยืดที่เธอเคยเห็นเขาใส่ โดยมากก็มักจะเป็นสีส้ม แถมเขายังขับรถมินิคูเปอร์สีส้มอีกต่างหาก แม้แต่ชุดนอนที่เขาสวมอยู่ตอนนี้ยังออกโทนสีส้มเลย โชคดีนะที่เขายังไม่คิดจะย้อมสีผมให้เป็นสีส้มด้วย รวีรินคิดว่าคงตลกพิลึกทีเดียว “อืม ฉันชอบสีส้มอ่อน มันดูสดใสดี” อนรรฆบอกยิ้มๆ เมื่ออนรรฆรับประทานข้าวต้มเสร็จ รวีรินก็ให้เขารับประทานยาหลังอาหาร จากนั้นหญิงสาวก็จัดการเอาชามใส่ข้าวต้มไปล้างแล้วคว่ำไว้ในห้องครัวอย่างเรียบร้อย พอเธอเดินกลับเข้ามาในห้องก็เห็นอนรรฆนอนอยู่บนเตียงเรียบ ร้อยแล้ว “ฉันจะกลับล่ะนะ” รวีรินบอก อนรรฆพยักหน้า “ขอบใจเธอมากนะ แล้วก็ฝากขอบคุณน้าวรรณด้วย” “อืม ข้าวต้มยังมีอีกนะฉันตักใส่ชามไว้แล้วอยู่ในห้องครัว ถ้าตอนเย็นเพื่อนนายมาก็ให้เค้าเอาใส่ไมโครเวฟอุ่นให้แล้วกัน นายจะให้ฉันช่วยอะไรอีกรึเปล่า” “ถ้างั้นเธอช่วยเปิดดีวีดีให้ฉันหน่อยแล้วกัน” อนรรฆบอก “ดีวีดีอะไร หวังว่าคงไม่ใช่หนังโป๊นะ” รวีรินว่าพลางเดินไปเปิดโทรทัศน์และเครื่องเล่นดีวีดีให้อนรรฆ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามว่า “หน้าตาฉันนี่มันลามกมากรึไง” “ก็นิสัยนายมันเจ้าชู้ ชีกอนี่ ฉันไม่คิดว่านายจะดูดีวีดีธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุหรอกนะ เอ๊ะ!” ตอนท้ายประโยคหญิงสาวอุทานขึ้นมาเบาๆ เมื่อกดเล่นดีวีดีแล้วมันฉายไตเติ้ลเพลงการ์ตูนขึ้นมา ถ้ามันเป็นไตเติ้ลเพลงการ์ตูนพวกดราก้อนบอล เซนต์เซย่า ซามูไรพเนจรหรือโดราเอมอนเธอก็คงไม่ประหลาดใจนักหรอก แต่นี่มันเหลือเชื่อที่สุดเลย รวีรินหันไปมองหน้าอนรรฆแล้วชี้มือไปที่จอโทรทัศน์พลางถาม “นี่นายดูการ์ตูนเรื่องแม่มดน้อยโดเรมีเนี่ยนะ” “อือ ก็ฉันชอบมันน่ารักดีนี่” อนรรฆตอบมาหน้าตาเฉย แถมยังทำท่าทางตั้งอกตั้งใจดูการ์ตูนเหมือนเด็กอีกต่างหาก รวีรินอมยิ้มอย่างนึกขำ ใครจะไปนึกว่าผู้ชายจอมเจ้าชู้และกะล่อนอย่างอนรรฆ จะชอบดูการ์ตูนเรื่องแม่มดน้อยโดเรมีกันล่ะ มันจะคิกขุไปมั้ยเนี่ย “เหลือเชื่อชะมัดเลย นายอายุกี่ขวบแล้วเนี่ย” รวีรินถามขึ้นเมื่อหยิบรีโมทโทรทัศน์และรีโมทเครื่องเล่นดีวีดีไปวางบนเตียงให้เขา ชายหนุ่มหันมาค้อนหญิงสาวก่อนจะพูดว่า “อายุเป็นเพียงตัวเลข ไม่เห็นเกี่ยวกับชอบดูการ์ตูนหรือไม่ชอบดูเลย” “งั้นก็เชิญนายดูแม่มดน้อยโดเรมีของนายไปแล้วกัน ฉันกลับล่ะนะ” พูดจบรวีรินก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไปจากห้องของอนรรฆทันที แต่ชายหนุ่มก็คว้ามือของเธอเอาไว้เสียก่อน รวีรินหันกลับมามองอย่างไม่พอใจทันที พร้อมทั้งเตรียมจะด่าชายหนุ่ม แต่แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนของเขา “ขอบคุณเธอมากเลยนะที่อุตส่าห์มาเยี่ยมฉัน ถึงเธอจะถูกบังคับมาก็เถอะ แต่ฉันก็ดีใจมากเลยที่เธอมา” “พอแล้วๆ ไม่ต้องมาทำท่าทางซาบซึ้งบุญคุณฉันขนาดนั้นหรอก แล้วก็ปล่อยมือฉันได้แล้ว ฉันจะกลับล่ะ” รวีรินบอกรู้สึกใจเต้นแรงผิดปกติขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้กับรอยยิ้มและแววตาอ่อนโยน ที่ไม่แฝงแววเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเหมือนอย่างทุกครั้งของเขา “พรุ่งนี้เธอจะมาเยี่ยมฉันอีกมั้ย” อนรรฆถามและยังไม่ยอมปล่อยมือหญิงสาว “พรุ่งนี้ฉันไม่ว่าง ต้องไปตามถ่ายรูปคู่รักตัวอย่างที่สวนสนุกกับนายชัตเตอร์ทั้งวันคงไม่ได้มาหรอก” รวีรินบอก อนรรฆปล่อยมือหญิงสาวทันทีพลางทำหน้ามุ่ยแล้วบ่นว่า “ไปกับหมอนั่นอีกแล้วเหรอ” “อ้าว ฉันก็ต้องไปกับนายชัตเตอร์สิ ก็หมอนั่นเป็นประธานชมรมถ่ายภาพ ส่วนฉันเป็นรองประธานชมรมนี่ ฉันไปล่ะนะ จะรีบกลับไปทำการบ้านต่อแล้วนายก็อย่านั่งดูการ์ตูนเพลินล่ะ ดูซักพักก็นอนพักผ่อนได้แล้ว ฉันไปนะ” พูดจบรวีรินก็ก้าวออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้อนรรฆนั่งทำหน้าเซ็งอยู่คนเดียว “อ้าว รินกลับมาพอดีเลย เดี๋ยวช่วยเอาข้าวต้มไปให้คุณไอเฟลหน่อยนะจ๊ะ แม่ทำเสร็จแล้ววางอยู่ในห้องครัวแน่ะ” มารดาของเธอบอกเมื่อรวีรินเลิกเรียนกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นของวันจันทร์ หญิงสาวส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่มารดาของเธอทำข้าวต้มส่งไปให้อนรรฆ ขนาดเมื่อวานนี้เธอไม่อยู่บ้านทั้งวัน เพราะต้องไปตามถ่ายรูปธนัชนนท์กับนวพธูที่สวนสนุกกับชยางกูร มารดาของเธอก็ยังอุตส่าห์ทำข้าวต้ม แล้วให้น้ำฝนหิ้วไปฝากกับประชาสัมพันธ์ที่คอนโดให้เอาขึ้นไปให้อนรรฆรับประทานเลย พอวันนี้เธอกลับมาจากโรงเรียนก็ได้เวลาไปส่งเสบียงอาหารเย็นให้นายคนโปรดของมารดาเธออีกตามเคย “รินว่าเค้าหายดีแล้วมั้งคะแม่ ตั้งสามวันเข้าไปแล้ว วันนี้ไม่เห็นต้องเอาข้าวต้มไปส่งเลย” รวีรินพูดขึ้น “เถอะน่า แม่ทำไว้แล้วเดี๋ยวรินช่วยยกไปหน่อยแล้วกัน” “เฮ้อ ก็ได้ค่ะแต่ขอรินเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนนะคะ” รวีรินบอกมารดาก่อนจะเดินเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง ไม่นานนักหญิงสาวก็เดินลงมาหิ้วข้าวต้มไปส่งให้อนรรฆที่คอนโดของเขา “สวัสดีค่ะคุณรวีรินเอาข้าวต้มมาให้คุณไอเฟลเหรอคะ” พนักงานประชาสัมพันธ์สาวสวยทักทายรวีรินยิ้มๆ “ค่ะ แม่ทำเอาไว้แล้วก็เลยต้องเอามาให้” “สวัสดีครับพี่เดือน” เสียงเรียบๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังรวีริน ทำให้เธอกับหญิงสาวรุ่นพี่ต้องพากันหันมามองเจ้าของเสียงทันที แล้วก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางเย็นชา ในชุดยูนิฟอร์มของคามิลล่า ยูนิเวอร์ซิตี้ กำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างอยู่ทางด้านหลังของรวีริน “อ้าว คุณทิมมาเยี่ยมคุณไอเฟลเหมือนกันเหรอคะ” พนักงานประชาสัมพันธ์สาวสวยเอ่ยทักทายชายหนุ่มผู้มาใหม่อย่างคุ้นเคย “ครับ มาดูมันซะหน่อยว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนได้รึยัง” ทิวากรพูด “ถ้าอย่างงั้นก็ขึ้นไปพร้อมกับคุณรวีรินเลยสิคะ คุณรวีรินก็กำลังจะขึ้นไปเยี่ยมคุณไอเฟลเหมือนกัน” “รวีริน” ทิวากรทวนชื่อรวีรินอย่างคุร่นคิด พลางหันมามองหญิงสาวในชุดนักเรียนของโรงเรียนเซนต์แองเจล่าที่ยืนอยู่อย่างพิจารณา “เธอคือลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้ที่ไอเฟลสั่งประจำสินะ” ทิวากรถามขึ้น รวีรินพยักหน้าพลางตอบ “ค่ะ” “ถ้างั้นเราก็เดินขึ้นไปพร้อมกันเลย” ทิวากรบอก “เอ่อ แล้วไม่ต้องเอาคีย์การ์ดก่อนเหรอคะ” รวีรินถาม ทิวากรล้วงกระเป๋าเสื้อสูทแล้วหยิบคีย์การ์ดออกมาพลางพูด “ไอเฟลทำสำรองให้เพื่อนสนิทคนละอันอยู่แล้ว ไปกันเถอะ” แล้วชายหนุ่มผู้แสนหน้าตาเย็นชาก็เดินนำหน้ารวีรินไปที่ลิฟต์ทันที “วันนี้มีคนแวะมาเยี่ยมคุณไอเฟลหลายคนจังแฮะ” พนักงานประชาสัมพันธ์สาวสวยพึมพำกับตัวเองเบาๆ เมื่อมองตามหลังทิวากรกับรวีรินไป “ทำไมรุ่นพี่ถึงรู้ว่าฉันเป็นลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้ล่ะคะ” รวีรินถามทำลายความเงียบขึ้น เธอรู้สึกว่าเพื่อนสนิทของอนรรฆคนนี้ค่อนข้างจะพูดน้อยจริงๆ ท่าทางเขาก็ไม่เจ้าชู้เหมือนอนรรฆด้วย น่าแปลกที่คนท่าทางขรึมๆ เฉยๆ เย็นชาแบบนี้ มาเป็นเพื่อนสนิทกับนายจอมกะล่อนและเจ้าชู้ได้ต่างกันสุดขั้วเลยทีเดียว “ก็ชุดนักเรียนของเธอไง” ทิวากรตอบ รวีรินพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถ้าอนรรฆเอาเรื่องที่ร้านเธอไปเล่าให้พวกๆ เพื่อนสนิทของเขาฟัง อนรรฆก็คงต้องเล่าว่าเธอเรียนอยู่ที่เซนต์แองเจล่าด้วยแน่นอน “รุ่นพี่คือคนที่ถามฉันทางโทรศัพท์วันนั้น ว่าฉันคือลูกสาวเจ้าของร้านดอกไม้ใช่มั้ยคะ ฉันจำเสียงของรุ่นพี่ได้” ทิวากรพยักหน้าพลางพูด “ใช่ เธอจำแม่นดีนี่ เรียกฉันว่าทิมก็ได้ ว่าแต่เธอมาเยี่ยมไอเฟลทุกวันเลยเหรอ” “เปล่าหรอกค่ะ ฉันมาวันเสาร์ครั้งหนึ่ง เพราะแม่ให้เอาข้าวต้มมาให้นายเอ่อ เพื่อนของพี่ทิม แล้วก็มาวันนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เพราะแม่ให้เอาข้าวต้มมาให้เค้าอีกเหมือนกัน” “อ๋อ” ทิวากรพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แล้วก็พอดีกับที่ลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงชั้นบนสุด ซึ่งเป็นห้องของอนรรฆพอดี พอประตูลิฟต์เปิดออกทิวากรก็ผายมือให้รวีรินเดินนำออกไปก่อนส่วนเขาก้าวตามออกมาทีหลัง “ประตูไม่ได้ล็อคนี่คะ” รวีรินทักขึ้นเมื่อเดินไปจนใกล้จะถึงประตูไม้บานใหญ่ แล้วเห็นประตูเปิดแง้มอยู่นิดหนึ่ง หญิงสาวกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูอยู่แล้ว ถ้าไม่บังเอิญได้ยินเสียงและเห็นภาพบางอย่างเข้า ซึ่งทำให้เธอถึงกับชะงักค้างและเบิกตากว้างทันที เพราะภาพผู้หญิงรูปร่างอวบอัด ในชุดเสื้อสายเดี่ยวสีดำกับกางเกงยีนฟิตเปรี๊ยะ ซึ่งกำลังยืนกอดจูบอย่างดูดดื่มอยู่กับชายหนุ่มเจ้าของห้องนั่นเอง “ไม่ได้เจอไอเฟลตั้งหลายวัน ยิหวาคิดถึงจะแย่อยู่แล้วนะคะ” เสียงหวานๆ ของยิหวาพูดขึ้นหลังจากถอนจูบออกจากกัน ก่อนที่เสียงอนรรฆจะพูดอย่างเอาใจอีกฝ่ายเช่นกัน “ผมก็คิดถึงยิหวามากเลยนะครับ แต่พอดีช่วงนี้ผมติดซ้อมดนตรีทุกวันแล้วก็ไม่สบายด้วย เลยไม่ได้ไปหายิหวาเลย” ชายหนุ่มเจ้าของห้องแก้ตัวเสียงอ่อนเสียงหวาน “แล้วทำไมไม่โทรหายิหวาหน่อยล่ะคะ” “ก็ผมเจ็บคอนี่ครับ ไม่เอานะยิหวาอย่างอนนะครับคนดีของผม” พูดจบอนรรฆก็ประกบปากจูบอย่างดูดดื่มกับยิหวาต่อทันที “ทุเรศจริงๆ ไอ้บ้าไอเฟล” เสียงผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังรวีรินบ่นพึมพำ หญิงสาวหันกลับไปมองคนพูดด้วยความรู้สึกมึนงงและหน้าชาชนิดอธิบายไม่ถูก ที่ต้องมาเห็นฉากเลิฟซีนสดๆ โดยมีผู้ชายอีกคนยืนดูอยู่ด้วย ทิวากรถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถามว่า “จะเข้าไปเลยมั้ย” รวีรินส่ายหน้าทันทีพลางพูดรัวเร็ว “ไม่ดีกว่าค่ะ ถ้าพี่ทิมจะเข้าไป ฉันฝากข้าวต้มนี่เข้าไปด้วยก็แล้วกัน แล้วรบกวนบอกเพื่อนของพี่ ให้เค้าเอาหม้อหิ้วนี่ไปคืนที่ร้านด้วยนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ส่งหม้อหิ้วใบเล็กซึ่งมารดาของเธอทำข้าวต้มใส่มาให้ทิวากร เมื่อเขายื่นมือมารับไปเรียบร้อยแล้วรวีรินจึงพูดขึ้นอีกว่า “ฉันไปนะคะ สวัสดีค่ะพี่ทิม” รวีรินพนมมือไหว้ชายหนุ่มรุ่นพี่ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ตรงไปที่ลิฟต์ทันที โดยไม่รอฟังว่าทิวากรจะพูดอะไรหรือไม่ “เฮ้อ! ไอ้ไอเฟลเอ้ย” ทิวากรถอนหายใจยาว พลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เมื่อมองตามร่างโปร่งบางของหญิงสาวรุ่นน้องที่เดินเข้าไปในลิฟต์จนลับตา ก่อนจะหันกลับมามองที่ช่องประตูอีกครั้ง ซึ่งอนรรฆกับยิหวายังคงกอดจูบกันอยู่ไม่ยอมเลิกรา เขาถอนหายใจอีกรอบก่อนยกมือขึ้นเคาะประตูสามที แล้วผลักประตูเปิดกว้างออกอย่างรวดเร็ว ทำให้อนรรฆกับยิหวาผละออกจากกันทันทีด้วยความตกใจ “เฮ้! ทิมนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่” อนรรฆถามอย่างเก้อๆ ส่วนยิหวานั้นหน้าแดงแปร๊ดด้วยความอาย เมื่อเห็นทิวากรปรายตามามองแวบหนึ่ง ทิวากรยังคงยืนอยู่ตรงประตูห้องขณะที่ตอบมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มาได้ซักพักแล้ว ไม่สะเพร่าไปหน่อยเหรอ อะไรจะรีบร้อนกันขนาดนั้นแม้แต่ประตูก็ปิดไม่สนิท ถึงชั้นนี้จะเป็นชั้นส่วนตัวของนายคนเดียว แต่ก็น่าจะรอบคอบหน่อยนะคนอื่นมาเห็นเข้ามันน่าเกลียด” อนรรฆยืนอึ้งส่วนยิหวายืนก้มหน้าเงียบ ทิวากรปรายตามองหญิงสาวสวยอีกรอบ ก่อนจะวกกลับมาที่อนรรฆ จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาในห้อง เอาหม้อหิ้วใบเล็กซึ่งบรรจุข้าวต้มอยู่ไปวางลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะหันกลับมาพูดกับอนรรฆว่า “ข้าวต้มนี่อย่าลืมกินล่ะ คนเค้าอุตส่าห์หิ้วมาให้ เสร็จแล้วก็ล้างเอาไปคืนเจ้าของด้วย” อนรรฆเบิกตากว้างทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของทิวากร พลางร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจ “ข้าวต้มเหรอ!” “อืม ก็ข้าวต้มน่ะสิ ท่าทางนายสบายดีแล้ว งั้นฉันกลับล่ะ พรุ่งนี้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะ บาย” ทิวากรพูดจบก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องของอนรรฆทันที โดยไม่สนใจจะมองหรือทักทายหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ในห้องเลยแม้แต่น้อย รวีรินก้าวพรวดๆ ออกมาจากลิฟต์ ทันทีที่ลิฟต์เลื่อนลงมาจนถึงชั้นล่างสุด แล้วก็เดินตรงดิ่งออกไปจากคอนโดหรูทันที หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าร้อนวูบวาบกับภาพที่เห็นเมื่อครู่ เลิฟซีนสดและดูดดื่มของอนรรฆกับยิหวาคู่ควงของเขา หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เริ่มผ่อนฝีเท้าลงเป็นเดินเอื่อยๆ เมื่อก้าวออกมาพ้นจากอาณาเขตของคอนโดแล้ว “น่าอายชะมัด ไม่น่ามาเห็นอะไรแบบนี้เลยเรา” รวีรินบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ พลางส่ายหน้าไปมา เพื่อขับไล่ภาพเมื่อครู่ออกไปจากความทรงจำและยังคงบ่นพึมพำต่อไปอีกว่า “ทุเรศจริงๆ เลย หมอนั่นโกหกชัดๆ ที่บอกว่าไม่เคยพาผู้หญิงมาที่คอนโด แล้วตัวอะไรล่ะที่กำลังยืนกอดจูบกันนัวเนียขนาดนั้น” ปริ๊นๆๆ เสียงแตรรถที่ดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้รวีรินต้องรีบก้าวหลบเข้าไปชิดข้างทางทันที แต่แล้วเฟอรารี่สีขาวคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดเทียบ ก่อนที่ประตูที่นั่งทางด้านข้างของคนขับจะถูกผลักเปิดออก แล้วชายหนุ่มหน้าหล่อท่าทางเย็นชาซึ่งเป็นเจ้าของรถก็เอ่ยขึ้น “ขึ้นมาสิ” “เอ่อ ขอบคุณมากค่ะพี่ทิม แต่ไม่เป็นไรค่ะบ้านฉันอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง เดินอีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้วล่ะค่ะ” “ขึ้นมาเถอะ ฉันก็ต้องขับรถผ่านบ้านเธอเหมือนกัน” ทิวากรบอกเสียงเรียบ ซึ่งรวีรินรู้สึกว่าเธอไม่กล้าขัดชายหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเฟอรารี่สีขาวจนได้ “ช็อกเหรอ” ทิวากรถามขึ้นเมื่อเริ่มออกรถ รวีรินหันมามองหน้าคนถามอย่างไม่เข้าใจ “เธอช็อกที่เห็นภาพเมื่อกี๊นี้เหรอ” ทิวากรถามมาอีกรอบ รวีรินยิ้มจืดเจื่อนก่อนตอบว่า “คือ...ความจริงแล้วนาย...เอ่อ...เพื่อนของพี่ทิมเค้าก็คงจะทำเรื่องพวกนี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่พอดีฉันไม่คิดว่าจะได้มาเห็นเลิฟซีนสดแบบนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆ น่ะค่ะ” “ปกติไอเฟลไม่เคยพาผู้หญิงมาทำแบบนี้ในคอนโดหรอกนะ คิดว่าเค้าคงจะบุกมาหาถึงที่นี่เองมากกว่า” ทิวากรพูดเปรยๆ แต่รวีรินรู้สึกเหมือนกับเขากำลังแก้ตัวแทนเพื่อนตัวเองยังไงก็ไม่รู้ “ความจริงแล้วเค้าจะทำอะไรยังไงในห้องส่วนตัว มันก็เรื่องของเค้านี่คะ ฉันไม่เกี่ยวซะหน่อย เอ่อ ช่วยจอดหน้าร้านดอกไม้ข้างหน้าเลยค่ะ” ทิวากรชะลอรถเข้าจอดเทียบที่หน้าร้านตามที่หญิงสาวบอก “ขอบคุณนะคะที่ให้ติดรถมาด้วย” “ไม่เป็นไร” รวีรินผลักประตูรถก้าวลงไปและกำลังจะปิดประตูรถ แต่ทิวากรก็เรียกหญิงสาวเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวสิ” “คะ” “คือ...ถึงไอเฟลมันจะเจ้าชู้ แต่หมอนั่นก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกนะ” ทิวากรพูด รวีรินยิ้มให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ก่อนจะผลักประตูรถปิดให้อีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรสักคำ
已经是最新一章了
加载中