2 ราชอาณาจักรอัคบาชา   1/    
已经是第一章了
2 ราชอาณาจักรอัคบาชา
วิวาห์กำลังทอดสายตามองผ่านกระจกหน้าต่าง ภายในห้องผู้โดยสารระดับวี.ไอ.พี.ของสายการบินแห่งราชอาณาจักรอัคบาชา ดูกลุ่มปุยเมฆสีขาวราวกับสำลีซึ่งกำลังลอยกระจัดกระจายอยู่จนสุดลูกหูลูกตาอย่างเพลิดเพลิน เมื่อแอร์โฮสเตสสาวท่าทางสุภาพ ซึ่งคอยแวะเวียนเข้ามาชวนหญิงสาวพูดคุยตั้งแต่เธอเปลี่ยนเครื่องขึ้นมานั่งบนเครื่องบินลำนี้ เดินเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมถาดอาหารว่างและเครื่องดื่ม “อีกนานไหมคะ กว่าเราจะถึงจุดหมายปลายทาง” วิวาห์ถามขึ้น แอร์โฮสเตสสาวยกนาฬิกาข้อมือของตนเองขึ้นดูก่อนตอบ “อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงค่ะ คุณเบื่อหรือเปล่าคะ” “เปล่าหรอกค่ะ เพียงแค่ดิฉันกำลังรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นอัคบาชาค่ะ” แอร์โฮสเตสสาวยิ้มอย่างพอใจในคำพูดของผู้โดยสารวี.ไอ.พี.สาวสวย ซึ่งหล่อนรับคำสั่งมาว่าให้ดูแลหญิงสาวคนนี้อย่างดี เนื่องจากเธอเป็นแขกพิเศษที่จะมาร่วมงานแต่งงานของลูกสาวท่านนายพลคนสำคัญ ซึ่งเป็นญาติสนิทขององค์ประมุขแห่งอัคบาชา “ประเทศอัคบาชาของเราสวยงามมากค่ะ ดิฉันเชื่อว่าคุณจะต้องประทับใจตั้งแต่วินาทีแรกที่เครื่องลงแตะรันเวย์อย่างแน่นอนค่ะ” แอร์โฮสเตสสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความภาคภูมิใจในประเทศชาติของตนวิวาห์พยักหน้าพลางยิ้ม ก่อนที่แอร์โฮสเตสสาวจะขอตัวออกไปดูแลผู้โดยสารด้านนอก เพื่อเปิดโอกาสให้หญิงสาวได้รับประทานของว่างและเครื่องดื่มตามสบาย เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แอร์โฮสเตสสาวก็กลับเข้ามาภายในห้องผู้โดยสารวี.ไอ.พี.อีกครั้ง ขณะที่วิวาห์กำลังนั่งอ่านหนังสือแมกกาซีนอยู่ หล่อนเข้ามาบอกว่าอีกประมาณสิบห้านาทีเครื่องก็จะลงจอดที่สนามบินแล้ว ก่อนเก็บถาดของว่างและเครื่องดื่มออกไป สักครู่วิวาห์ก็ได้ยินเสียงประกาศจากกัปตันว่าเครื่องกำลังจะลดเพดานบินลงจอด ขอให้ผู้โดยสารทุกคนรัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ทันทีที่เครื่องบินเริ่มลดเพดานบินลง หญิงสาวก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความอัศจรรย์ใจ เมื่อทอดสายตามองผ่านหน้าต่างเครื่องบินลงไป แล้วเห็นน้ำทะเลสีครามต้องแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ รวมทั้งหาดทรายสีขาวสะอาดตาอยู่เบื้องล่างลิบๆ และที่ไม่ไกลจนเกินกว่าที่สายตาของเธอจะมองเห็นได้ ก็คือทะเลทรายสีทองที่ทอดยาวจากช่วงตอนกลางของประเทศไปจนสุดลูกหูลูกตานั่นเอง ครู่ต่อมาเมื่อเครื่องบินลงแตะรันเวย์ หญิงสาวก็พบว่าสนามบินของประเทศอัคบาชาถูกออกแบบเอาไว้อย่างสวยงามหรูหราและทันสมัยมากเลยทีเดียว นี่กระมังความประทับใจตั้งแต่วินาทีแรกเมื่อเครื่องลงแตะรันเวย์ ที่แอร์โฮสเตสสาวบอกกับเธอ หญิงสาวนั่งมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งเครื่องบินจอดสนิทแอร์โฮสเตสสาวคนเดิมก้าวเข้ามาในห้องผู้โดยสารวี.ไอ.พี.อีกครั้ง ขณะที่วิวาห์ลุกขึ้นยืนพลางบอกกับหล่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณพูดถูกค่ะ ฉันประทับใจที่นี่ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เครื่องลงแตะรันเวย์เลยทีเดียว” “คุณจะได้พบกับสิ่งที่น่าประทับใจอีกมากมายเลยค่ะ” แอร์โฮสเตสสาวบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้หญิงสาวเดินออกไปด้านนอก วิวาห์เดินตามหล่อนออกไปจนถึงทางเดินเข้าสู่ห้องรับรองผู้โดยสารวี.ไอ.พี. แอร์โฮสเตสสาวจึงหยุดเดินพลางหันมาบอก “ดิฉันส่งคุณได้แค่นี้นะคะ มีคนมารอรับคุณอยู่ที่ห้องรับรองแล้วค่ะ” “ขอบคุณมากค่ะ หวังว่าตอนดิฉันเดินทางกลับ คงจะได้พบกับคุณอีกนะคะ” “เช่นกันค่ะ” แอร์โฮสเตสสาวรับคำยิ้มๆ ก่อนจะกล่าวขอตัวกับหญิงสาวแล้วหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเดิม วิวาห์จึงก้าวตรงไปที่ประตูกระจกบานใหญ่ติดฟิล์มสีดำสนิท ซึ่งเปิดเลื่อนออกทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อหญิงสาวเดินเข้าไปในระยะของเครื่องเซ็นเซอร์ หญิงสาวร่างระหงสมส่วนในชุดกระโปรงยาวติดกันสีชมพูสลับทอง ตัวเสื้อแขนยาวตัดเข้ารูปพอดีกับเอวคอดกิ่ว ก่อนจะบานออกตามสะโพกทิ้งชายกระโปรงยาวจรดพื้นผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ายินดี ทันทีที่เห็นร่างระหงในชุดสูทกางเกงสีครีมของวิวาห์ก้าวผ่านประตูเข้าไป “วิวาห์” “มิรา” แล้วทั้งสองสาวต่างก็เดินมาสวมกอดกันทันที “ยินดีต้อนรับสู่อัคบาชาจ้ะ ฉันดีใจเหลือเกินที่เธอมา คิดถึงเธอจริงๆ” มิราพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฉันก็คิดถึงเธอจ้ะ” วิวาห์บอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพอกัน มิราคลายวงแขนที่โอบกอดวิวาห์ออก แล้วเปลี่ยนเป็นจูงมือหญิงสาวให้เดินตามไปนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ “เราต้องนั่งรอที่นี่สักครู่ เซน่าสาวใช้กับชาราลคนขับรถของฉัน กำลังไปจัดการเรื่องกระเป๋าของเธอ ถ้าเรียบร้อยแล้ว เซน่าจะมาตามเราไปที่รถจ้ะ” มิราบอก หลังจากที่นั่งรออยู่ครู่หนึ่ง เด็กสาววัยรุ่นอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหกปีคนหนึ่ง ก็ก้าวนำหน้าชายหนุ่มร่างสันทัดเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทางคล่องแคล่ว และเมื่อเด็กสาวเห็นวิวาห์เจ้าหล่อนก็ทำตาโต พลางอุทานเสียงดังลั่นอย่างลืมตัวเป็นภาษาพื้นเมืองว่าสวยมาก ซึ่งหญิงสาวก็ฟังเข้าใจเพราะเป็นคำศัพท์ง่ายๆ ที่มิราเคยสอนเธอเมื่อครั้งไปเที่ยวเมืองไทย ขณะที่มิราเอ็ดสาวใช้เบาๆ ก่อนจะหันมาพูดกับหญิงสาวว่า “ขอโทษแทนเด็กของฉันด้วยนะจ๊ะวิวาห์ แม่คนนี้ลืมกิริยามารยาทไปเสียทุกครั้งเลย” จากนั้นมิราก็บอกให้เซน่าสาวใช้และชาราลคนขับรถของหล่อนทำความเคารพวิวาห์ ก่อนบอกกับวิวาห์ว่าเซน่าสามารถพูดและฟังภาษาอังกฤษได้ดีพอควร เนื่องจากหล่อนเป็นคนสอนภาษาอังกฤษให้เซน่าด้วยตัวเอง ซึ่งวิวาห์ก็ชมเด็กสาวว่าเก่งมาก ทำให้เซน่าถึงกับยิ้มแป้นอย่างยินดีเมื่อได้รับคำชม ก่อนที่ทั้งสี่คนจะเดินออกมาจากห้องรับรองเพื่อลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถ เมื่อรถเริ่มเคลื่อนออกจากสนามบินไปสู่ความจอแจภายนอก วิวาห์จึงมองเห็นสิ่งก่อสร้างหลากสไตล์ตั้งอยู่สองฟากฝั่งถนนกว้างขนาดสิบเลน ตึกสีเหลืองนวลตาสไตล์ยุโรปส่วนใหญ่เป็นร้านขายสินค้าแบรนด์เนมดังๆ จากยุโรป อาทิน้ำหอมและเสื้อผ้า แล้วยังมีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอีกหลายร้านซึ่งหญิงสาวรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนั้นบริเวณนี้จึงมีผู้คนเดินกันไปมาขวักไขว่ รถแล่นผ่านย่านจอแจมาได้สักครู่ วิวาห์ก็เห็นตึกสีครีมโอ่โถงปลูกเรียงรายอยู่เป็นแนวทั้งสองฟากฝั่งถนน แต่ละตึกจะมีอาณาบริเวณเป็นของตัวเองและตั้งอยู่ในระยะที่ห่างกันพอประมาณ มิราอธิบายให้หญิงสาวฟังว่าตึกเหล่านี้ทางรัฐบาลอัคบาชาสร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานทูตหลายประเทศซึ่งก็รวมทั้งประเทศไทยด้วย ขณะนี้กำลังเร่งตกแต่งภายในและขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าไป เพื่อให้เรียบร้อยทันกำหนดที่เอกอัครราชทูตแต่ละประเทศจะเดินทางเข้ามารับตำแหน่งในอีกสามเดือนข้างหน้า “ใกล้จะถึงบ้านของเธอรึยังจ๊ะมิรา” วิวาห์ถามขึ้นหลังจากที่รถแล่นพ้นย่านตึกสูงออกมาได้สักครู่ มิราหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบ “ยังหรอกจ้ะ บ้านของฉันไม่ได้อยู่ในเมืองนี้หรอกจ้ะ ที่นี่เป็นเพียงเมืองท่าของอัคบาชา เราใช้สำหรับติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เป็นที่ตั้งสถานทูตและสนามบินเท่านั้น เราจะต้องเดินทางจากที่นี่อีกประมาณครึ่งชั่วโมง จึงจะถึงเมืองหลวงอัคบาชา บ้านของฉันอยู่ที่นั่นจ้ะ” “ที่นี่เจริญมาก จนฉันคิดว่าเรากำลังอยู่ในเมืองหลวงแล้วซะอีก” วิวาห์พูด “ที่เมืองหลวงของเราเจริญมากกว่านี้อีกจ้ะ แต่จะไม่มีพวกร้านค้าของต่างประเทศหรือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแบบที่นี่หรอกนะจ๊ะ เพราะเราอนุรักษ์วัฒนธรรมความเป็นอัคบาชาเอาไว้ ไม่อยากให้วัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวอัคบาชามาก จนทำให้ชาวอัคบาชาลืมวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของเราจ้ะ” วิวาห์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วมองผ่านหน้าต่างออกไปเพื่อวิวข้างทางอีกครั้ง แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นทุ่งข้าวบาร์เล่ย์สีทองทอดแนวยาวไกลจนสุดลูกหูลูกตา “โอ้โฮ้! สวยจัง” “กระทรวงเกษตรของเราเพิ่งจะเริ่มทดลองปลูกข้าวบาร์เล่ย์จ้ะ รู้สึกว่าดินของเราจะให้ผลผลิตดี ตอนนี้ทางกระทรวงก็เลยวางแผนจะเพิ่มพื้นที่ในการปลูกข้าวบาร์เล่ย์ออกไปอีกจ้ะ” มิราอธิบายยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางของวิวาห์ “ที่นี่สร้างความประทับใจและประหลาดใจให้ฉันได้มากมายจริงๆ” หญิงสาวรำพึงยิ้มๆ “ฉันดีใจที่เธอชอบอัคบาชาจ้ะ และที่นี่ยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เธอประทับใจอย่างแน่นอน” มิราพูดยิ้มๆ ทำให้วิวาห์นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะเอ่ยขึ้น “จริงสิมิราสิ่งแรกที่ฉันประทับใจที่อัคบาชาก็คือสนามบิน ตอนที่เครื่องจะลงจอดฉันมองเห็นวิวทะเลจากทางหน้าต่างด้วย สวยมากเลยนะ แล้วสนามบินก็ออกแบบได้สวยงามทันสมัยมากเลย ใครกันนะที่เป็นคนออกแบบสนามบิน เธอรู้รึเปล่าจ๊ะมิรา” “รู้สิจ๊ะ” มิราตอบยิ้มๆ ทำเอาหญิงสาวถึงกับทำตาโตพลางถาม “เค้าเป็นคนประเทศไหนหรือจ๊ะ ฉันอยากรู้จักกับเค้าจังเลย อยากจะขอสัมภาษณ์สักหน่อยว่าทำไมเค้าถึงออกแบบสนามบินได้หรูหรา สวยงาม แล้วก็ทันสมัยได้มากขนาดนี้” “เค้าเป็นชาวอัคบาชาจ้ะ เอาไว้ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักกับเค้าก็แล้วกัน” “จริงๆ นะมิรา โชคดีนะที่ฉันไม่ลืมพกกล้องมาด้วย ถ้าเธอจะพาฉันไปแนะนำให้รู้จักกับเค้าวันไหน บอกล่วงหน้าด้วยนะมิรา ฉันจะได้เอากล้องไปขอถ่ายรูปเค้า เอาไปอวดพี่รสกับนนท์ ว่าคนนี้แหละที่ออกแบบสนามบินอันแสนสวยหรูของอัคบาชา เอ...ว่าแต่เค้าจะยอมให้ฉันถ่ายรูปเค้าหรือเปล่านะ” วิวาห์พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ยอมสิจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอขอร้องอีกคน รับรองว่าเค้าคนนั้นจะไม่ปฏิเสธเราหรอกจ้ะ” มิราบอกด้วยน้ำเสียงแสดงความมั่นใจ พลางนึกขำอยู่ในใจเมื่อนึกไปถึงคนที่ออกแบบสนามบินอัคบาชา ที่เพื่อนสาวสวยชาวต่างชาติของหล่อนอยากจะรู้จัก รถแล่นผ่านทุ่งข้าวบาร์เล่ย์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวิวาห์เริ่มมองเห็นบ้านคนประปราย และเริ่มหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดรถก็แล่นเข้าสู่เขตเมืองหลวงของอัคบาชา ยวดยานพาหนะที่นี่คับคั่งไม่แพ้เมืองท่า แต่การจราจรก็เป็นไปอย่างสะดวกสบาย เนื่องจากถนนกว้างขวางถึงสิบเลน ในเขตเมืองหลวงไม่มีตึกสไตล์ยุโรปขายสินค้าจากต่างประเทศ หรือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่างที่มิราบอกจริงๆ ร้านขายของที่นี่เป็นร้านค้าขนาดเล็กหรือไม่ก็เป็นแผงลอยขายสินค้าพื้นเมือง ซึ่งชาวอัคบาชานำมาวางขายอย่างมีระเบียบ ผู้คนส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองของชาวอัคบาชา คือผู้ชายสวมชุดเสื้อและกางเกงเข้ารูปสีเข้ม แล้วคุลมทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกันยาวกรอมเท้า โพกผมด้วยผ้าสีเดียวกับชุดที่สวมใส่ ส่วนผู้หญิงสวมชุดกระโปรงยาวติดกันยาวกรอมเท้าแบบเดียวกับที่มิราสวมใส่ แต่แตกต่างกันตรงที่หญิงสาวชาวบ้านเหล่านั้นจะสวมชุดสีพื้นแบบเรียบง่าย ไม่มีลวดลายงดงามเหมือนชุดของมิรา รถแล่นมาอีกครู่หนึ่งก็มาจอดที่หน้าประตูเหล็กทึบบานใหญ่ เมื่อชาราลหยิบรีโมทขนาดเล็กขึ้นมากด ประตูเหล็กก็เลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ และทันทีที่รถแล่นผ่านประตูเข้าไปวิวาห์ก็แทบหยุดหายใจ คฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ถูกออกแบบผสมผสานกัน ระหว่างสไตล์ของชาวอัคบาชาและสไตล์ยุโรปได้อย่างกลมกลืน ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลปรากฏต่อสายตาของหญิงสาว ชาราลขับรถอ้อมสนามหญ้าสีเขียวขจีซึ่งมีน้ำพุรูปปั้นผู้หญิงยืนดีดพิณอยู่กลางสนาม ท่ามกลางดงกุหลาบหลากสีหลายพันธุ์ ซึ่งปลูกเรียงรายรอบน้ำพุอย่างเป็นระเบียบสวยงาม ราวกลับสวนสวรรค์ไปอย่างช้าๆ รถแล่นมาจอดสนิทที่หน้าบันไดคฤหาสน์ ชาราลกับเซน่าต่างรีบลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูให้มิรากับวิวาห์ หญิงสาวก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมกล่าวคำขอบใจกับเซน่า ซึ่งก็ทำให้เด็กสาวยิ้มแป้นอย่างยินดี มิราหันไปสั่งสาวใช้สองคนซึ่งวิ่งลงบันไดมา ให้ช่วยกันขนกระเป๋าเดินทางของวิวาห์ขึ้นไปบนห้องพัก ก่อนจูงมือหญิงสาวให้ก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกัน สตรีวัยกลางคนในชุดกระโปรงผ้าไหมฝรั่งเศสสีน้ำเงินงามระยับยาวกรอมเท้าใบหน้าละม้ายคล้ายกับมิราก้าวออกมาจากภายในบ้าน พร้อมกับที่สองสาวก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายพอดี นางกางแขนโอบกอดร่างระหงของวิวาห์ด้วยสีหน้ายินดี ก่อนคลายวงแขนออกพลางกล่าวต้อนรับเธอเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ “ยินดีต้อนรับจ้ะ ดีใจจริงๆ ที่ได้พบกันอีกครั้ง” วิวาห์พนมมือไหว้สตรีวัยกลางคนอย่างงดงามพลางพูด “สวัสดีค่ะท่านผู้หญิงจาน่า ดิฉันก็ดีใจที่ได้พบท่านค่ะ ท่านผู้หญิงและท่านนายพลสุขภาพแข็งแรงดีหรือคะ” “ฉันและท่านนายพลแข็งแรงดีมากจ้ะ จากผลการตรวจสุขภาพประจำปี คุณหมอบอกกับเราสองคนว่า เราจะอายุยืน ได้อยู่เลี้ยงลูกของมิราอีกหลายคนอย่างแน่นอนจ้ะ” ตอนท้ายประโยคท่านผู้หญิงกล่าวล้อเลียนบุตรสาว ซึ่งก็มีผลให้มิราถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย สตรีวัยกลางคนหันมาขยิบตาให้วิวาห์ยิ้มๆ เป็นเชิงว่ารู้กัน หญิงสาวจึงยิ้มตอบนาง วิวาห์ถูกท่านผู้หญิงจาน่าโอบเอวพาเดินเข้าไปภายในบ้าน โดยมิราเดินตามมาข้างๆ ฟังมารดาของหล่อนซักถามหญิงสาวเรื่องการเดินทางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จนกระทั่งทั้งสามคนเข้ามานั่งอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ ซึ่งถูกประดับตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามหรูหราสมฐานะของเจ้าของบ้าน ภายในห้องเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำตลอดเวลา สาวใช้คนหนึ่งยกถาดเครื่องดื่มเข้ามาวางบนโต๊ะให้สองสาว ก่อนจะถอยออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่ “ดื่มน้ำบีทรูทเพื่อสุขภาพจ้ะ” ท่านผู้หญิงจาน่าบอก วิวาห์จึงยกแก้วซึ่งบรรจุน้ำบีทรูทสีม่วงเข้มเย็นเจี๊ยบขึ้นมาดื่มตามที่ท่านเจ้าของบ้านเชื้อเชิญ “คุณพ่อออกไปข้างนอกหรือคะคุณแม่” มิราถามมารดาด้วยภาษาอังกฤษเพื่อให้แขกสาวจากต่างแดนฟังเข้าใจด้วย พลางวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ “เข้าวังจ้ะ เห็นว่าจะเข้าไปพูดคุยธุระกับท่านนายพลราชิด แต่คุณพ่อของลูกสัญญาว่าจะกลับมาให้ทันรับประทานอาหารค่ำจ้ะ” ท่านผู้หญิงจาน่าตอบบุตรสาวเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน หลังจากนั้นสตรีวัยกลางคนก็พูดคุยซักถามวิวาห์อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกให้มิราพาหญิงสาวขึ้นไปพักผ่อนบนห้องพัก
已经是最新一章了
加载中