3 เข้าวัง   1/    
已经是第一章了
3 เข้าวัง
วิวาห์เดินตามเจ้าของบ้านสาวก้าวขึ้นบันได ซึ่งลูกกรงทำด้วยทองเหลืองสลักเสลาลวดลายงดงามวิจิตรไปจนถึงชั้นสองของตัวบ้าน ห้องพักของเธออยู่ทางปีกซ้ายของตัวบ้านติดกับห้องของมิรา เมื่อก้าวตามเจ้าของบ้านสาวเข้าไป หญิงสาวก็พบว่าห้องพักของเธอกว้างใหญ่โอ่โถงไม่ต่างจากห้องสวีทในโรงแรมชั้นหนึ่งเลยทีเดียว ห้องนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหน้าเป็นห้องรับแขก มีชุดรับแขกขนาดเล็กตั้งอยู่ชุดหนึ่ง พร้อมทั้งโฮมเทียร์เตอร์ชุดใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุดยี่ห้อดังที่มีคนรู้จักทั่วโลก เมื่อเดินผ่านห้องรับแขกเข้าไปในห้องด้านในซึ่งเป็นห้องนอน ก็พบเตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ รวมทั้งตู้เสื้อผ้าใบใหญ่และโต๊ะเครื่องแป้งเข้าชุดกัน วิวาห์เห็นสาวใช้สองคนที่ยกกระเป๋าเดินทางของเธอขึ้นมา กำลังช่วยกันลำเลียงเสื้อผ้าข้าวของในกระเป๋าออกมาจัดใส่ตู้และวางบนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างคล่องแคล่วมีระเบียบ มิราจูงมือเธอเดินตามไปที่ผนังห้องด้านหนึ่ง ซึ่งติดผ้าม่านสีหวานยาวจากเพดานจรดพื้น ผ้าม่านถูกรูดออกจากกันโดยหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้าน วิวาห์จึงได้รู้ว่าผนังห้องด้านนี้เป็นกระจกทั้งหมด และมีประตูบานเลื่อนสำหรับเปิดเดินออกไปสู่ระเบียงขนาดเล็กได้ หญิงสาวก้าวตามเจ้าของบ้านคนสวยออกไปยืนบนระเบียง ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบด้านและไกลพอสมควร “เอ๊ะ! นั่นใช่พระราชวังหรือเปล่าจ๊ะมิรา” หญิงสาวหันมาถามมิรา เมื่อสายตาไปสะดุดกับสิ่งก่อสร้างสีขาวที่เห็นอยู่ลิบๆ บนยอดเขาซึ่งทอดตัวอยู่ไม่ไกลนัก เจ้าของบ้านสาวพยักหน้ายิ้มๆ พลางตอบ “ใช่จ้ะ นั่นคือพระราชวังหลวงอัคบาชา สร้างจากหินอ่อนสีขาวทั้งหลังจ้ะ” “สวยจังเลย ขนาดเห็นไกลๆ ยังสวยขนาดนี้ ข้างในคงจะสวยกว่าหลายเท่า” วิวาห์พูดพลางมองปราสาทหินอ่อนสีขาวอย่างชื่นชม “รับรองว่าสวยไม่แพ้พระราชวังที่อื่นเลยล่ะจ้ะ แล้วฉันจะพาเธอเข้าไปชมพระราชวังเอง” มิราบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วิวาห์จึงหันกลับไปถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ฉันเข้าไปในพระราชวังได้หรือจ๊ะมิรา” “ได้สิ ฉันจะพาเธอเข้าไปเอง เราจะไปพบพระสนมเอกนิลลา ท่านเป็นอาของฉันเอง ท่านอยากรู้จักกับเธอมากนะวิวาห์” วิวาห์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เมื่อฟังคำบอกเล่าของเจ้าของบ้านสาวพลางถาม “ทำไมพระสนมเอกถึงอยากจะรู้จักกับฉันล่ะจ๊ะ” “ก็ฉันเอารูปตอนที่ฉันไปเที่ยวเมืองไทยไปให้ท่านดู แล้วก็เล่าเรื่องของเธอให้ท่านฟังตั้งหลายอย่าง ท่านก็เลยอยากจะเห็นตัวจริงของเธอจ้ะ” “เธอเล่าว่ายังไงหรือมิรา” วิวาห์ถาม “ก็เล่าว่าเธอเป็นไกด์ชาวไทยที่สวยมาก พูดได้หลายภาษา แล้วก็คล่องแคล่ว ร่าเริงแจ่มใสตลอดเวลา และฉันก็ชอบเธอมากด้วย” มิราตอบยิ้มๆ “ขอบใจมากนะจ๊ะที่เธอชื่นชมฉันมากขนาดนั้น หวังว่าตอนที่ฉันไปพบพระสนมเอก ฉันคงจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังนะ” วิวาห์พูดจบก็หัวเราะเบาๆ พลางกวาดสายตามองวิวทิวทัศน์รอบตัวอย่างมีความสุข หลังจากนั้นมิราก็บอกให้หญิงสาวพักผ่อน ก่อนขอตัวออกจากห้องพักของวิวาห์ไปหามารดาของหล่อน โดยบอกกับวิวาห์ว่าหากมีอะไรให้เรียกใช้เซน่าได้เลย เพราะเซน่าจะคอยดูแลรับใช้เธอโดยเฉพาะระหว่างที่วิวาห์พักอยู่ที่นี่ เมื่อเจ้าของบ้านสาวก้าวออกไปจากห้องพักแล้ว วิวาห์ก็เดินมาล้มตัวลงนอนบนเตียงก่อนจะเผลอหลับไปจนกระทั่งถึงบ่ายสี่โมงเย็น เซน่าจึงขึ้นมาปลุกหญิงสาวให้ลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เนื่องจากท่านนายพลอัสมาบิดาของมิรากลับมาถึงบ้านแล้ว ซึ่งวิวาห์ต้องลงไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นในเวลาหกโมงเย็นกับครอบครัวของเจ้าของบ้านด้วย อาหารค่ำวันนี้มีผู้ร่วมโต๊ะทั้งหมดห้าคน แต่อาหารบนโต๊ะกลับมากมายราวกับจะเลี้ยงคนสักสิบคน ท่านนายพลอัสมาบุรุษวัยห้าสิบเศษ ใบหน้าคมเข้ม ท่าทางภูมิฐานสมเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่นั่งเป็นประธานอยู่ทางหัวโต๊ะ ท่านผู้หญิงจาน่า และวิวาห์นั่งคู่กันอยู่ทางด้านขวามือของท่านนายพล ส่วนมิราและว่าที่เจ้าบ่าวของหล่อน ร้อยเอกอาเมลนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของท่านนายพล ร้อยเอกอาเมลนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมสัน มีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม รูปร่างสูงสง่าดังเช่นนายทหารทั่วไป เขาเป็นชายหนุ่มที่สุภาพและอัธยาศัยดี ทั้งที่เพิ่งจะได้พบกันเป็นครั้งแรกแต่เขาก็สามารถชวนวิวาห์พูดคุยได้อย่างเป็นกันเองและไม่เคอะเขิน หญิงสาวสังเกตเห็นว่าท่านนายพลอัสมากับท่านผู้หญิงจาน่าดูจะชื่นชอบเขามากทีเดียว “วันนี้คุณพ่อไปพบท่านรัฐมนตรีมหาดไทยทำไมหรือคะ” มิราถามบิดาด้วยภาษาอังกฤษขึ้นในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารเย็นกันอยู่ “ก็ไปคุยเรื่องจัดงานวันเกิดขององค์ฟาราซนั่นแหละลูก” ท่านนายพลอัสมาตอบลูกสาวเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน เพื่อให้หญิงสาวจากต่างแดนคนเดียวภายในโต๊ะอาหารฟังรู้เรื่องด้วย “แล้วท่านรัฐมนตรีว่าอย่างไรบ้างคะคุณพี่” ท่านผู้หญิงจาน่าถาม “เห็นท่านรัฐมนตรีบอกว่าองค์ฟาราซให้จัดงานเฉลิมฉลองทั้งเมือง มีการแสดงต่างๆ มากมาย จะมีการจัดอาหาร ข้าวของเครื่องใช้แจกให้ประชาชนด้วย แล้วยังอนุญาตให้พวกทหารกลับไปเยี่ยมบ้านได้เป็นเวลาสามวันอีกด้วย” “โอ อย่างนี้ก็งานใหญ่สิคะ” ท่านผู้หญิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น “เรื่องอื่นพี่เห็นด้วยนะ แต่เรื่องที่จะอนุญาตให้ทหารกลับบ้านนี่พี่ไม่เห็นด้วยเลย อันตรายเกินไปที่จะมีแต่ทหารราชองครักษ์อยู่รักษาการณ์” ท่านนายพลอัสมากล่าวด้วยสีหน้ามีกังวล “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะคุณพ่อ” มิราถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งวิวาห์ก็สังเกตเห็นท่านนายพลสบตากับว่าที่ลูกเขยแวบหนึ่ง ก่อนจะเสหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วตอบคำถามลูกสาว “ก็ไม่มีอะไรหรอกลูก พ่อเป็นทหารก็อดที่จะคิดเป็นห่วงไม่ได้ก็เท่านั้นเอง เราอย่ามาคุยเรื่องพวกนี้กันเลย วิวาห์จะพลอยหมดสนุกไปด้วย อาหารอร่อยมั้ยวิวาห์” ตอนท้ายประโยคท่านนายพลอัสมาหันมาถามหญิงสาว “ค่ะ อร่อยมากเลยค่ะ” หญิงสาวตอบคำถามท่านนายพลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ว่าน่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ท่านนายพลอัสมากับร้อยเอกอาเมลยังไม่อยากเอ่ยออกมา หลังจากการรับประทานอาหารค่ำเสร็จสิ้นลง คนทั้งห้าก็ย้ายเข้ามานั่งคุยกันต่อในห้องนั่งเล่น วิวาห์จึงขอตัวกลับขึ้นไปบนห้องพัก เพื่อไปนำของฝากมามอบให้ท่านนายพลอัสมาและท่านผู้หญิงจาน่า ซึ่งกระเป๋าสานจากหญ้าลิเภาก็สวยงามถูกใจท่านผู้หญิงจาน่าเป็นอันมาก เช่นเดียวกับกล่องใส่ซิก้าที่สร้างความพึงพอใจให้กับท่านนายพลอัสมามาก ถึงขนาดที่ท่านนายพลเรียกให้สาวใช้นำซิก้ามาจัดใส่กล่องทันที ร้อยเอกอาเมลอยู่พูดคุยจนกระทั่งถึงสามทุ่มจึงขอตัวกลับบ้าน โดยมิราเดินตามออกไปส่งว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเอง เมื่อมิราเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง หลังจากที่รถของร้อยเอกอาเมลแล่นออกไปได้สักครู่ ท่านนายพลอัสมากับท่านผู้หญิงจาน่าจึงบอกให้มิราพาไกด์สาวขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง หากแต่มิรากลับจูงมือวิวาห์ให้เดินตามเข้าไปในห้องพักของตัวเองแทน “เธอคิดว่าอาเมลเป็นยังไงบ้างจ๊ะวิวาห์” มิราถามขึ้นทันทีที่เข้ามานั่งอยู่ภายในห้องพักกับวิวาห์ตามลำพังสองคน หญิงสาวยิ้มนิดๆ ก่อนตอบ “ก็รูปหล่อ สุภาพ อัธยาศัยดี แล้วก็ต้องเป็นคนดีมากๆ เลย ไม่อย่างนั้นมิราคงไม่รัก แล้วก็ยอมแต่งงานด้วยหรอก จริงมั้ยจ๊ะ” “แหม เธออย่าล้อฉันสิ มานี่เถอะฉันอยากให้เธอดูชุดแต่งงานของฉัน” มิราพูดพลางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า นำชุดแต่งงานสีขาว ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสราคาแพง ติดป้ายห้องเสื้อชื่อดังในปารีสออกมาโชว์ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข “สวยมากเลยมิรา ชุดนี้เหมาะกับเธอมากเลยจ้ะ อ๋อ เธอไปตัดชุดที่ฝรั่งเศสนี่เอง มิน่าจดหมายที่ส่งถึงฉันถึงได้มาจากฝรั่งเศส ตอนแรกที่เห็นจ่าหน้าซองฉันยังงงเลย เพราะจ่าหน้าซองไม่ใช่ลายมือเธอ พี่รสยังแซวเลยว่าหนุ่มฝรั่งเศสคนไหนส่งจดหมายรักมาให้ฉันรึเปล่า เพราะว่าลายมือทั้งสวยแล้วก็เป็นระเบียบมากเลยนะ” วิวาห์พูดขึ้น หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านหัวเราะเบาๆ ก่อนอธิบายว่า “คงจะเป็นลายมือของท่านพี่นาดีน เพราะฉันกับอาเมลมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องชุดแต่งงานกันอยู่ ก็เลยฝากท่านพี่ช่วยส่งจดหมายถึงเธอให้” “ใครกันจ๊ะ ท่านพี่นาดีนของเธอน่ะ เธอเคยบอกฉันว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวไม่ใช่หรือจ๊ะ” วิวาห์ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ มิรายิ้มก่อนตอบว่า “ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อคุณแม่ แต่ท่านพี่นาดีนเป็นลูกชายคนที่สามขององค์ฟาราซกับพระสนมเอกนิลลา ท่านอาของฉันไง ดังนั้นฉันจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านพี่นาดีนจ้ะ” “ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป็นเจ้าชายน่ะสิ ตายแล้วมิรา นี่เธอให้เจ้าชายไปส่งจดหมายถึงฉันเหรอ กลับไปเมืองไทยฉันจะต้องไปอวดพี่รสกับนนท์แล้ว ว่าจ่าหน้าซองจดหมายถึงฉันเป็นลายมือของเจ้าชายเชียวนะ ฉันคงต้องเก็บซองจดหมายเอาไว้อย่างดีแล้วล่ะ เออย่างนี้ต้องเอาวางไว้บนหิ้งบูชา หรือเธอว่าไงจ๊ะมิรา” วิวาห์ถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด จนมิราอดที่จะหัวเราะเบาๆ อย่างขบขันแกมเอ็นดูไม่ได้ ก่อนตอบว่า “ไม่ต้องถึงขนาดบูชาหรอกจ้ะ แค่เธอเก็บซองจดหมายเอาไว้เป็นที่ระลึก ท่านพี่นาดีนรู้เข้าก็คงจะดีใจมากแล้วล่ะ ท่านพี่นาดีนไม่ใช่คนเจ้ายศหรอกจ้ะ” “งั้นเหรอจ๊ะ ท่าทางท่านคงจะใจดีมากสินะมิรา” วิวาห์พูดยิ้มๆ นึกอยากจะเห็นเจ้าชายที่ชื่อนาดีนขึ้นมาครามครัน “ท่านพี่นาดีนใจดีมากที่สุดสำหรับฉันเลยล่ะ” มิราบอกยิ้มๆ พลางเหลือบไปมองนาฬิกาก่อนจะอุทานออกมา “ตายจริง! สี่ทุ่มแล้ว ฉันว่าฉันควรจะพาเธอไปส่งที่ห้องได้แล้ว เธอจะได้พักผ่อนเสียที” แล้วหญิงสาวสวยผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก็จูงมือวิวาห์พาเธอเดินมาส่งที่ห้องพักซึ่งก็อยู่ติดกันนั่นเอง เสียงประตูห้องของวิวาห์ถูกเคาะในตอนเช้าวันต่อมา เมื่อหญิงสาวเดินไปเปิดประตูห้องก็พบว่าเซน่ายืนอยู่ที่หน้าห้อง โดยในอ้อมแขนของเด็กสาวหอบชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีชมพูหวานอยู่ชุดหนึ่งพร้อมกับสาวใช้อีกคน วิวาห์มองสาวใช้ทั้งสองด้วยความประหลาดใจ พลางถามขึ้น “มีอะไรจ๊ะเซน่า แล้วนั่นเซน่าหอบชุดกระโปรงมาทำไมหรือจ๊ะ” “ชุดที่มีสจะต้องใส่ไปพบพระสนมเอกวันนี้ค่ะ คุณมิราบอกให้หนูกับมีนามาช่วยแต่งตัวให้มีสด้วยค่ะ” เซน่าตอบพลางเดินนำมีนาเข้ามาภายในห้องพักของหญิงสาว “อ้าว เหรอจ๊ะ เมื่อคืนไม่เห็นมิราบอกฉันล่วงหน้าเลย คงจะลืมล่ะมั้ง” หญิงสาวคาดคะเน แต่เซน่าอธิบายว่า “คุณมิราก็เพิ่งจะทราบค่ะ เมื่อเช้าพระสนมเอกให้คุณอันน่า หัวหน้านางกำนัลโทรศัพท์มาเชิญคุณมิรากับมีสไปร่วมโต๊ะอาหารกลางวันค่ะ” “งั้นเหรอจ๊ะ” วิวาห์พยักหน้า พลางนึกดีใจที่วันนี้เธอตื่นตั้งแต่เช้าขึ้นมาใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเอง โทรทางไกลไปหารสสุคนธ์กับชานนท์เรียบร้อยแล้ว หลังจากคุยโทรศัพท์แล้วหญิงสาวจึงเข้าไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จก้าวออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องพอดี ดังนั้นเซน่ากับมีนาจึงไม่ต้องเสียเวลารอเธออาบน้ำอีก “หนูสวมชุดนี้ได้งดงามมากจ้ะวิวาห์” ท่านผู้หญิงจาน่าก็เอ่ยปากชื่นชมขึ้นทันที เมื่อเห็นวิวาห์ก้าวลงไปข้างล่าง “ขอบคุณมากค่ะท่านผู้หญิง” วิวาห์กล่าวคำขอบคุณท่านผู้หญิงจาน่าด้วยท่าทางเขินๆ จากนั้นท่านผู้หญิงจาน่าก็เดินนำทั้งสองสาวเข้าไปภายในห้องรับประทานอาหาร ท่านนายพลอัสมาไม่ได้อยู่ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วย เนื่องจากเดินทางเข้าวังไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงท่านผู้หญิงจาน่า มิราและวิวาห์ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันเพียงสามคนเท่านั้น หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ชาราลก็นำรถมาจอดรอที่หน้าบ้าน ซึ่งวิวาห์ตัดสินใจนำผ้าไหมสามผืนที่ซื้อมาเผื่อไปมอบให้พระสนมเอกด้วย ชาราลขับรถไปเรื่อยๆ ตามถนนกว้าง ซึ่งสองข้างทางมีบ้านคนประปราย แต่ส่วนมากจะเป็นทุ่งหญ้า ซึ่งใช้เลี้ยงสัตว์กับทุ่งข้าวบาร์เล่ย์ที่กำลังออกรวงสีทองสวยงาม วิวาห์มองวิวสองข้างทางอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งรถเริ่มวนขึ้นสู่ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงอัคบาชา ชาราลชะลอรถจอดเมื่อเจอด่านตรวจของทหาร หญิงสาวเห็นมิราเลื่อนกระจกรถลง พลางยื่นสิ่งของบางอย่าง ลักษณะเหมือนตราอะไรสักอย่างให้นายทหารประจำด่านดู นายทหารคนนั้นก้มศีรษะคำนับมิราทันที ก่อนเปิดประตูให้รถแล่นผ่านเข้าไป วิวาห์เห็นบ้านสีขาวขนาดเล็กปลูกเรียงรายลดหลั่นกันอยู่หลายสิบหลังตั้งแต่บริเวณเชิงเขาขึ้นไป ซึ่งมิราบอกว่าเป็นบ้านพักของพวกนายทหารราชองครักษ์ ชาราลชะลอรถจอดอีกครั้งเมื่อเจอด่านตรวจด่านที่สอง คราวนี้เมื่อมิราเลื่อนกระจกรถลง นายทหารที่ด่านตรวจก็รีบก้มศีรษะให้ทันที “คุณมิราเองหรือครับ เชิญเลยครับ” แล้วประตูก็ถูกเปิดให้รถผ่านอย่างง่ายดาย โดยมิราไม่ต้องแสดงตราให้เขาดูเหมือนด่านแรก “จาฟาเขาเป็นลูกน้องของอาเมลจ้ะ” มิราอธิบาย เมื่อรถแล่นผ่านด่านที่สองเข้าไปก็ถึงประตูวังบานใหญ่ มีนายทหารยืนอารักขาอยู่ที่ประตูหลายสิบนาย เมื่อผ่านประตูซึ่งเป็นด่านตรวจด่านสุดท้ายเข้าไป วิวาห์ก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับภาพทะเลสาบจำลองที่รายล้อมพระราชวังหลวงอยู่ และเมื่อรถแล่นข้ามสะพานที่สร้างคร่อมทะเลสาบลงไป ก็จะพบกับอุทยานดอกไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกเรียงรายรอบตัวปราสาทหินอ่อนเอาไว้อย่างงดงามตระการตา เมื่อจอดเทียบที่เชิงบันไดหินอ่อนสีขาวเรียบร้อยแล้ว ชาราลก็รีบวิ่งลงมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวทั้งสองทันที มิรากำลังจะเดินนำวิวาห์ขึ้นไปบนบันไดหินอ่อน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงแตรสัญญาณบางอย่างดังขึ้น หญิงสาวเห็นทหารสองนายซึ่งยืนประจำการอยู่ข้างประตูด้านบนยืดตัวตรงทันที ซึ่งมิราบอกกับเธอว่าเป็นเสียงแตรสัญญาณ ที่บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังจะมีขบวนเสด็จผ่านมาทางนี้ เพียงครู่เดียวหญิงสาวทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ก้องสะท้อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วร่างสูงสง่าในชุดเครื่องแบบนายทหารของชายหนุ่มคนหนึ่ง ก็เดินนำหน้านายทหารอีกนับสิบนายออกมาจากตัวปราสาท หญิงสาวแอบชำเลืองมองนิดหนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงตามเดิม พลางย่อตัวลงถอนสายบัวพร้อมๆ กับมิรา “มิรานี่เอง” เสียงค่อนข้างกระด้างพูดขึ้นเป็นภาษาพื้นเมืองของอัคบาชา ซึ่งวิวาห์เองก็พอจะฟังรู้เรื่องว่าเป็นคำทักทายมิรา เมื่อชายหนุ่มก้าวมายืนตรงหน้าหญิงสาวทั้งสอง และยังคงถามมิราเป็นภาษาพื้นเมืองต่อไปอีกว่า “มาเข้าพบพระสนมเอกหรือมิรา” “ค่ะ” มิราตอบไปเป็นภาษาพื้นเมืองเช่นกัน “ได้ข่าวว่าเจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว เรายินดีด้วยนะ” ชายหนุ่มสูงศักดิ์ที่วิวาห์ยังไม้รู้จักชื่อพูดกับมิราอีก ก่อนที่มิราจะตอบไปว่า “ขอบคุณมากค่ะ” “แล้วสุภาพสตรีแสนสวยคนนี้ใครกัน เจ้าจะไม่แนะนำให้เราได้รู้จักกับเพื่อนของเจ้าบ้างเชียวหรือมิรา” ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ถามมิราเป็นภาษาพื้นเมืองยืดยาว แล้วมองมาที่หญิงสาวร่างระหงซึ่งยืนอยู่ข้างมิราด้วยความสนใจ วิวาห์ซึ่งเข้าใจภาษาพื้นเมืองเฉพาะคำที่สั้นๆ ง่ายๆ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดนัก แต่เธอเห็นแววตาแสดงความอึดอัดใจของเพื่อนสาว เมื่อมิราหันมาพูดกับเธอเป็นภาษาอังกฤษว่า “วิวาห์จ๊ะ นี่คือเจ้าชายอานัม ทายาทขององค์ฟาราซจ้ะ” “สวัสดีค่ะ ดิฉันวิวาห์ค่ะ” หญิงสาวกล่าวคำแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด แล้วก็ได้ยินชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะทักทายตอบเธอด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วอ่อนหวาน “ยินดีที่ได้รู้จักมีสวิวาห์ แต่คุณจะไม่กรุณาเงยหน้าขึ้น ให้เราได้รู้จักหน้าตากันให้ถนัดหน่อยหรือครับ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตามที่ชายหนุ่มบอก แล้วก็ต้องพบกับดวงตาคมกล้าที่กำลังทอดมองเธออยู่อย่างเพ่งพิศ วิวาห์ก้มหน้าลงอีกครั้งพลางบอกตัวเองว่า ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มมากทีเดียว หากแต่ดวงตาสีเทาเข้มคู่นั้นช่างแฝงแววดุดันและน่ากลัว จนหญิงสาวรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจอย่างประหลาดเมื่อได้สบตากันตรงๆ “น่าเสียดายจริงๆ ที่วันนี้ผมต้องรีบไป ไม่อย่างนั้นคงจะได้พูดคุยทำความรู้จักกับมีสวิวาห์ได้มากกว่านี้ แต่ไม่เป็นไรเอาไว้โอกาสหน้าผมคงจะมีเวลาได้พูดคุยกับคุณนานกว่านี้เป็นแน่” วิวาห์รู้สึกเย็นเยียบไปถึงหัวใจอีกครั้งกับคำพูดอย่างหมายมาดของชายหนุ่ม และได้แต่ตอบรับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นเราสองคน ขอกล่าวคำอำลาเจ้าชายอานัมเลยนะคะ เพราะว่ารถมารอท่านอยู่นานแล้ว” จู่ๆ มิราก็กล่าวคำลาเจ้าชายหนุ่มเป็นภาษาอังกฤษทันที พลางสะกิดให้วิวาห์ย่อตัวลงถอนสายบัวอย่างที่ตนเองทำ อานัมหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง แล้วถามทีเล่นทีจริงกับมิราเป็นภาษาอังกฤษว่า “นี่เจ้าไล่เราหรือมิรา” “ฉันคงไม่กล้าไล่เจ้าชายอานัมหรอกค่ะ เกรงแต่ว่าท่านจะเสียเวลากับเราสองคนมากเกินไปแล้ว เท่านั้นเองค่ะ” มิราตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพและราบเรียบ ตอนนี้วิวาห์เริ่มรู้สึกแล้วว่า ถึงแม้มิราจะแสดงความเคารพมากมายเพียงใด แต่เพื่อนสาวของเธอก็ไม่ได้ชื่นชอบชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนี้อย่างแน่นอน “หึๆ พูดจาได้สมกับเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านนายพลอัสมา รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมจริงๆ เอาล่ะ เราเห็นจะต้องขอตัวเสียที หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีกนะมีสวิวาห์” พูดจบอานัมก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ ซึ่งเข้ามาจอดเทียบรออยู่ทันที ทั้งสองสาวยืนรอจนขบวนรถเคลื่อนออกไป แล้ววิวาห์ก็ได้ยินเสียงมิราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันมาบอกกับเธอว่า “เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
已经是最新一章了
加载中