6 พ้นถ้ำเสือ
“มีสค่ะ หนูไม่อยากให้มีสไป เจ้าชายอานัมร้ายกาจมากนะคะ” เซน่าพูดขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาอยู่ภายในห้องพักตามลำพังกับวิวาห์ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะไปเลยนะจ๊ะเซน่า แต่ฉันก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงดี แล้วเราก็ไม่รู้จะติดต่อคุณมิรากับท่าน
ผู้หญิงได้ยังไง เพราะไม่มีใครเอาโทรศัพท์มือถือไปด้วยเลยสักคน ท่าทางร้อยเอกยานิก็ดูน่ากลัวมากด้วย ฉันไม่อยากให้เซน่ามีเรื่องกับเค้าหรอกนะ ฉันกลัวว่าเค้าจะทำร้ายเซน่า”
“ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปกับมีสด้วยค่ะ” เซน่าพูด
วิวาห์มองหน้าเด็กสาวอย่างซาบซึ้งในความห่วงใยของอีกฝ่าย ก่อนจะยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างของเซน่าเอาไว้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบใจนะจ๊ะที่เซน่าเป็นห่วงฉัน แต่ว่าเซน่าไปกับฉันไม่ได้หรอก ร้อยเอกยานิต้องไม่ยอมแน่ๆ เลย เพราะฉะนั้นเซน่าต้องอยู่ที่นี่ รอคุณมิราและท่านผู้หญิงกลับมา แล้วบอกให้คุณมิรารีบหาทางช่วยเหลือฉัน ทันที่ที่คุณมิรา
กลับมาถึง เข้าใจมั้ยจ๊ะ”
“ค่ะ” เซน่าพยักหน้าและรับคำหญิงสาวอย่างไม่เต็มใจนัก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปวิวาห์ก็ลงมาข้างล่าง ในชุดเสื้อสูทเข้ารูปกับกางเกงขายาวสีน้ำตาลเรือนผมยาวสลวยถูกรวบเป็นเปียเดี่ยวยาวถึงกลางหลัง เผยให้เห็นใบหน้าสวยหวานซึ่งถูกแต่งแต้มบางๆ ได้อย่างชัดเจน ร้อยเอกยานิมีสีหน้าพอใจเมื่อเห็นหญิงสาว ก่อนจะพูดขึ้น
“ถ้ามีสวิวาห์พร้อมแล้ว ก็เชิญเลยครับ”
วิวาห์พยักหน้าก่อนจะเดินตามนายทหารหนุ่มไปขึ้นรถ โดยมีเซน่าเดินตามมาส่งที่หน้าบ้านด้วยแววตาห่วงใย หญิงสาวสบตากับเด็กสาวพลางพยักหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไปจากบริเวณบ้านอย่างช้าๆ
“อะไรนะ! เจ้าชายอานัมให้ทหารมาเชิญวิวาห์ไปที่ตำหนักงั้นเหรอ” มิราร้องลั่นบ้าน เมื่อก้าวลงจากรถในตอนเกือบพลบค่ำ แล้วเซน่าซึ่งกำลังเดินวนเวียนรออยู่ที่หน้าบ้านรีบวิ่งเข้ามารายงานทันที
“ค่ะ เจ้านั่นบังคับมีสวิวาห์ หนูจะเถียงกับมัน แต่มีสกลัวมีเรื่องก็เลยยอมไปกับมันค่ะ มีสบอกให้หนูบอกคุณมิราให้รีบหาทางช่วยมีสด้วยค่ะ”
“คุณแม่เราจะทำยังไงกันดีคะ คุณพ่อก็ไม่อยู่เสียด้วย”
มิราหันมาถามท่านผู้หญิงจาน่าด้วยสีหน้าหนักใจและเป็นกังวลห่วงเพื่อนสาวจากต่างแดน ท่านผู้หญิงเองก็มีสีหน้ากังวลใจไม่แพ้กัน เมื่อได้ยินว่าคนที่ส่งทหารมาคือใคร หัวใจของนางก็แทบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว ท่านนายพลอัสมาก็ไม่อยู่ไปตรวจราชการที่ต่างเมือง ลำพังนางกับมิราจะไปเอาตัวหญิงสาวจากต่างแดนคนนั้นกลับมาจากเงื้อมมือของชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งเป็นถึงทายาทอันดับสองของอัคบาชาได้อย่างไร ท่านผู้หญิงจาน่าก็คิดไม่ออกจริงๆ จึงได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางพูด
“แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีมิรา”
“ลูกไม่ยอมให้วิวาห์ต้องกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้าชายอานัมหรอกนะคะคุณแม่ ลูกจะเข้าวังไปเอาตัววิวาห์กลับมาจากตำหนักเจ้าชายอานัมเอง ชาราลเอารถออกเดี๋ยวนี้!” มิราตะโกนสั่งชาราลเสียงเข้ม
ชายหนุ่มคนขับรถจึงรีบลนลานไปสตาร์ทรถทันที มิราทำท่าจะเดินไปขึ้นรถ แต่ท่านผู้หญิงจาน่าก็รีบคว้าแขนลูกสาวเอาไว้เสียก่อน พลางเตือน
“มิราลูกทำแบบนี้ไม่ได้นะ จู่ๆ จะบุกเข้าไปเอาตัววิวาห์ออกมาจากตำหนักเจ้าชายอานัมได้ยังไงกัน”
“แล้วคุณแม่จะให้ลูกปล่อยวิวาห์ไว้อย่างนั้นหรือคะ คุณแม่ก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” มิราพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเมื่อถูกผู้เป็นมารดาขัดขวาง
“ทำไมแม่จะไม่ห่วงวิวาห์ แต่เราต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดสิลูก มันน่าจะมีวิธีช่วยเหลือวิวาห์ได้ดีกว่านี้นะ”
ท่านผู้หญิงจาน่าพูดด้วยแววตาครุ่นคิด มิราถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แต่ลูกใจเย็นไม่ไหวแล้วนะคะคุณแม่ วิวาห์ออกจากบ้านไปร่วมสองชั่วโมงแล้ว ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“เซน่าบอกว่าเจ้าชายอานัมเชิญวิวาห์ไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ เราก็ยังพอมีเวลาอยู่นะลูก”
“แล้วคุณแม่คิดว่าเราควรจะทำยังไงล่ะคะ” มิราถามมารดา ซึ่งก็ทำให้ท่านผู้หญิงจาน่าอึ้งไปอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามของลูกสาว
วิวาห์ก้าวเข้าไปในห้องโถงภายในตำหนักส่วนตัวของเจ้าชายอานัม ก่อนจะย่อตัวลงถอนสายบัวแสดงความเคารพชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนแท่นที่รายล้อมไปด้วยเหล่านางกำนัลสาวสวยหลายคน
“เชิญนั่งตามสบายมีสวิวาห์” อานัมบอกกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางโบกมือไล่นางกำนัลที่รายล้อมอยู่ให้ออกไปจากห้องจนหมด
วิวาห์ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้บุนวมพลางขยับตัวอย่างอึดอัด เมื่อต้องนั่งเผชิญหน้ากับเจ้าชายหนุ่มตามลำพัง ถึงจะอยู่ห่างกันพอสมควร แต่หญิงสาวก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ต้องขอโทษที่ส่งคนไปเชิญกะทันหัน ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ เพียงแต่ดิฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย ที่ออกมาจากบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าวเจ้าของบ้านเลย” วิวาห์บอกเจ้าชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ถึงมิราอยู่ ถ้าหากว่าผมเชิญไปมิราก็ต้องให้คุณมาอยู่แล้ว” อานัมพูดเป็นเชิงบอกหญิงสาวอยู่ในที ว่าไม่มีใครกล้าขัดใจเขาได้ วิวาห์จึงได้แต่นึกต่อว่าเจ้าชายหนุ่มอยู่ในใจว่าบ้าอำนาจ
“เมื่อวานผมมีธุระต้องรีบไป เลยได้พูดคุยกับคุณเพียงครู่เดียว แต่คืนนี้เราคงจะมีเวลาได้พูดคุยกันมากเป็นแน่”
อานัมพูดยิ้มๆ พลางมองหญิงสาวร่างระหง ใบหน้าสวยหวานอย่างหมายมาด ขณะที่วิวาห์เริ่มรู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ซึ่งบอกเวลาว่าขณะนี้เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว เธอภาวนาว่าขอให้มิรากลับมาถึงบ้านแล้ว และกำลังหาทางช่วยเหลือเธออยู่ด้วยเถิด
“คุณคงจะหิวแล้วกระมัง” เจ้าชายหนุ่มพูดเปรยๆ เมื่อเห็นหญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะหันสั่งให้นายทหารคนสนิทรีบไปเร่งให้พวกนางกำนัลตั้งโต๊ะอาหารให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว วิวาห์ได้ยินร้อยเอกยานิรับคำชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เบาๆ ก่อนจะรีบถอยออกไปจากห้อง
“เอ่อ ความจริงแล้วดิฉันยังไม่หิวหรอกค่ะ ปล่อยให้พวกนางกำนัลค่อยๆ จัดไปเรื่อยๆ เถอะค่ะ” หญิงสาวรีบบอก อานัมหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย
“ไม่ต้องเกรงใจผมขนาดนั้นวิวาห์ ผมเองก็อยากจะร่วมรับประทานอาหารกับคุณเร็วๆ เสร็จแล้วเราจะได้ไปนั่งพูดคุยกันต่อยังไงล่ะ”
“ดิฉันคงจะอยู่ดึกมากไม่ได้ เกรงว่ามิราจะเป็นห่วงค่ะ” วิวาห์ตัดสินใจบอกชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ออกไปตามตรง พลางคิดอยู่ในใจว่าเป็นไงก็เป็นกัน
“พูดอะไรอย่างนั้นมีสวิวาห์ การพูดคุยกับคนที่ถูกใจ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องเวลาเลยนะ ถึงแม้จะดึกดื่นก็ตาม และคิดว่ามิราไม่น่าจะต้องเป็นห่วงอะไร ในเมื่อคุณอยู่ที่ตำหนักของผม”
‘ต๊าย! อีตาเจ้าชายคนนี้ พูดจาได้เหมือนเสือผู้หญิงจริงๆ ใครจะไปอยู่กับนายจนถึงดึกดื่นกันล่ะ’
หญิงสาวนึกค่อนขอดชายหนุ่มอยู่ในใจ แล้วก็เหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ของร้อยเอกยานิก้าวเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง พลางรายงาน
“โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดีมาก ถ้างั้นก็ขอเชิญมีสวิวาห์”
อานัมลุกขึ้นจากแท่นที่นั่งอยู่ เดินมายืนตรงหน้าพลางยื่นมือมาให้หญิงสาว วิวาห์เลยจำต้องวางมือเรียวลงบนมือของเจ้าชายหนุ่มอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เธอเดินตามเขาไปยังห้องอาหารซึ่งอยู่ถัดไปอีกสองห้อง อานัมเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งด้วยตนเอง ก่อนจะก้าวไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ร้อยเอกยานิเลื่อนให้ และเชิญให้วิวาห์รับประทานอาหาร
อาหารคาวผ่านพ้นไป โดยหญิงสาวรับประทานไปได้เพียงนิดเดียว จากนั้นของหวานกับผลไม้ก็ถูกยกขึ้นมาตั้งที่โต๊ะ วิวาห์พยายามฝืนรับประทานของหวานอย่างเชื่องช้า หญิงสาวกำลังคิดว่าหลังจากอาหารค่ำมื้อนี้เสร็จสิ้นลง เธอจะหาทางกลับบ้านมิราได้อย่างไร เพราะท่าทางเจ้าชายอานัมจะไม่ปล่อยให้เธอกลับไปได้ง่ายๆ เป็นแน่
“ขอประทานโทษครับ” ร้อยเอกยานิก้าวเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ ซึ่งอานัมพาวิวาห์เข้ามานั่งพูดคุยหลังจากอาหารมื้อค่ำผ่านพ้นไปแล้ว และขณะนี้ชายหนุ่มสูงศักดิ์กำลังจิบไวน์ไปด้วยอย่างมีความสุข
“มีอะไรหรือยานิ” อานัมถาม ดวงตาสีเทามีแววฉ่ำเยิ้ม อันเนื่องมาจากเครื่องดื่มที่พร่องไปกว่าครึ่งขวด วิวาห์เห็นสีหน้านายทหารคนสนิทของเขาดูไม่ค่อยสบายใจนักในสิ่งที่กำลังจะตอบ
“อันน่านางกำนัลจากตำหนักพระสนมเอกนิลลาขอเข้าพบเจ้าชายครับ”
ชื่อของอันน่าทำให้วิวาห์รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที ถ้าได้พบกับอันน่าบางทีเธออาจจะขอร้องให้หญิงสาวรุ่นพี่ช่วยพาเธอออกไปจากที่นี่ได้ ถึงแม้ว่าความหวังจะน้อยนิดก็ตาม แต่แล้วความหวังของหญิงสาวก็ดับวูบลงทันที เมื่อได้ยินเจ้าชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม
“มาทำไมกันมืดค่ำป่านนี้ บอกนางกลับไป เราไม่ว่างจะพูดคุยกับนาง”
ร้อยเอกยานิรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ส่วนอานัมหันหน้ามาทางวิวาห์ พลางพูดเชิญชวนหญิงสาว
“ไม่ดื่มหน่อยหรือมีสวิวาห์ ไวน์นี่ผลิตมาจากแคว้นทางใต้ของอัคบาชา ซึ่งเป็นเมืองของท่านตาผมเอง รสชาติยอดเยี่ยมกว่าที่ใดๆ เชียวนะ”
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ ดิฉันไม่ชอบดื่มของมึนเมาค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธอย่างสุภาพ ชายหนุ่มสูงศักดิ์หัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยถามทีเล่นทีจริง
“กลัวว่าผมจะมอมเหล้าคุณงั้นหรือ”
“ดิฉันไม่บังอาจคิดว่าเจ้าชายจะทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติยศขนาดนั้นหรอกค่ะ”
อานัมถึงกับอึ้งไปชั่วครู่เพราะคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี แล้วชมว่า
“คุณนี่พูดจาฉาดฉานจริงๆ”
“ขอประทานโทษครับ” เสียงร้อยเอกยานิดังขึ้นอีกครั้ง
“อะไรของเจ้าอีกล่ะยานิ เราชักจะรำคาญแล้วนะ” อานัมถามอย่างไม่พอใจ
“อันน่าไม่ยอมกลับ และยืนยันว่ามีเรื่องสำคัญต้องพบเจ้าชายให้ได้ครับ”
ดวงตาดำขลับของหญิงสาวไหววูบอย่างยินดีและมีความหวัง เมื่อได้รู้ว่าอันน่ายังไม่ไปจากตำหนักนี้
“น่ารำคาญจริง! ไปพานางเข้ามา นางจะได้รีบๆ ไปซะที” ชายหนุ่มบอกกับนายทหารคนสนิทเสียงห้วน ร้อยเอกยานิหายออกไปครู่หนึ่งก็เดินนำร่างสูงเพรียวของอันน่าเข้ามา หัวหน้านางกำนัลจากตำหนักพระสนมเอกนิลลาย่อตัวลงถอนสายบัวทายาทอันดับสองแห่งอัคบาชา
“ตามสบาย เจ้ามีธุระอะไรก็รีบๆ พูดมาเราไม่ว่าง” อานัมบอกเสียงห้วน
“พระสนมเอกทราบว่าคุณวิวาห์อยู่ที่นี่ จึงให้ดิฉันมาเชิญเธอไปพบ หลังจากที่เธอรับประทานอาหารค่ำร่วมกับเจ้าชายเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ดวงตาสีเทาที่ฉ่ำเยิ้มของอานัมลุกวาบราวกับมีเพลิงขึ้นมาทันที สีหน้าบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังมีโทสะไม่น้อย น้ำเสียงที่พูดออกมาจึงเกือบเป็นตวาด จนวิวาห์ถึงกับสะดุ้ง
“เราเป็นคนเชิญวิวาห์มาที่นี่ แล้วจู่ๆ พระสนมเอกจะมาเชิญเธอไปพบได้ยังไงกัน บังอาจเกินไปแล้ว เจ้ากลับไปซะ”
“เกรงว่าจะไม่ได้ค่ะ” อันน่าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าของหัวหน้านางกำนัลคนสวยจากตำหนักพระสนมเอกนิลลายังคงเป็นปกติ ไม่มีแววเกรงกลัวชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย จนวิวาห์อดทึ่งอีกฝ่ายไม่ได้
“ทำไมจะไม่ได้ หรือว่าเดี๋ยวนี้ แม้แต่พระสนมเอกยังไม่มีความเกรงใจเรา”
“พระสนมเอกยังคงเกรงใจเจ้าชายเช่นเดิมค่ะ แต่เป็นเพราะว่าองค์ฟาราซต้องการจะพบมีสวิวาห์ค่ะ” อันน่าตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่านพ่อมาเกี่ยวอะไรด้วย” อานัมถามเสียงเข้ม ขณะที่อันน่ายังคงตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพและราบเรียบเช่นเดิม
“ตอนนี้องค์ฟาราซอยู่ที่ตำหนักของพระสนมเอกค่ะ พระสนมเอกได้เล่าเรื่องมีสวิวาห์ให้ฟัง ทำให้องค์ฟาราซมีประสงค์อยากจะพบมีสวิวาห์ในวันพรุ่งนี้ พระสนมเอกจึงให้ดิฉันโทรศัพท์ไปหาคุณมิรา แล้วก็เลยได้ทราบว่าเจ้าชายเชิญคุณวิวาห์มาที่ตำหนักพอดี พระสนมเอกจึงให้ดิฉันมาเชิญมีสวิวาห์ไปพบองค์ฟาราซค่ะ”
ถ้าเป็นไฟจริงๆ ดวงตาของเจ้าชายอานัมก็คงจะเผาร่างของอันน่าไหม้เป็นจุณไปแล้วแน่ๆ ในความคิดของวิวาห์ หญิงสาวเห็นชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ขบฟันแน่น ใบหน้าบึ้งตึงและจ้องหน้าหัวหน้านางกำนัลจากตำหนักพระสนมเอกราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ขณะที่อันน่ายังคงมีสีหน้าราบเรียบราวกับไม่รู้สึกอะไรจนวิวาห์นึกประหลาดใจ ในที่สุดอานัมก็เอ่ยขึ้น
“ได้ ถ้าท่านพ่ออยากจะพบวิวาห์ เราจะไปขัดใจได้ยังไง เจ้าพาเธอไปด้วยได้ แต่เราหวังว่าคราวหน้าถ้าเราเชิญวิวาห์มาอีก คงจะไม่บังเอิญมีใครอยากพบเธออีกนะ”
“ขอบคุณค่ะ” อันน่าพูดกับชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันมาพูดกับไกด์สาว
“คุณวิวาห์เชิญตามดิฉันมาเลยค่ะ”
วิวาห์ลุกขึ้นยืนแทบจะทันที โดยไม่รอช้าที่จะรีบย่อตัวลงถอนสายบัวถวาย แล้วรีบเดินตามอันน่าออกไปจากตำหนักอย่างรวดเร็ว และรู้สึกโล่งอกโล่งใจเป็นที่สุดที่สามารถหลุดรอดพ้นออกมาจากถ้ำเสือได้