10 ลีลาศรัก
ในที่สุดก็ถึงวันแต่งงานของมิรา พิธีแต่งงานจะถูกแบ่งออกเป็นสามช่วง ในช่วงเช้าเป็นการทำพิธีทางศาสนาของชาวอัคบาชา ส่วนช่วงสายเป็นพิธีทางกฎหมายซึ่งก็คือการจดทะเบียนสมรส พิธีในสองช่วงแรกนี้จัดขึ้นที่บ้านของมิรา แต่ในช่วงค่ำจะเป็นงานเลี้ยงฉลองงานพิธีแต่งงานของมิราและร้อยเอกอาเมล ภายในท้องพระโรงของพระราชวังหลวงอัคบาชา ซึ่งองค์ฟาราซเป็นเจ้าภาพ
ในตอนแรกพอได้รู้รายละเอียดของงานแต่งงานวิวาห์ก็แอบหนักใจอยู่เหมือนกัน เนื่องจากหญิงสาวเตรียมชุดไทยสำหรับใส่ในงานเลี้ยงมาเพียงชุดเดียว แต่โชคดีที่มิราเตรียมชุดกระโปรงยาวกรุยกรายสีฟ้าอ่อนเดินทองทั้งชุดเอาไว้ให้เธอ ดังนั้นในงานพิธีช่วงกลางวันวิวาห์จึงสวมชุดที่มิราเตรียมเอาไว้ให้
พิธีแต่งงานในช่วงเช้าดำเนินไปอย่างราบรื่น ท่ามกลางความปลาบปลื้มใจของบรรดาญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งมาร่วมงานพิธีในตอนเช้าที่ต่างก็พากันชื่นชมเจ้าสาวในชุดสีขาวที่ดูบริสุทธิ์ งดงาม สมกับเจ้าบ่าวร่างสูงสง่าซึ่งสวมชุดนายทหารแห่งราชอาณาจักรอัคบาชาเต็มยศ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาและพิธีทางกฎหมายในตอนสายแล้ว แขกเหรื่อทุกคนต่างก็พากันรีบเดินทางกลับไปบ้านของตัวเองเพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงสมรสพระราชทานจากองค์ฟาราซในตอนค่ำทันที
เมื่อแขกเหรื่อทยอยกลับหมดแล้ว วิวาห์จึงได้มอบหีบใส่เครื่องประดับไม้แกะสลักลายไทยเป็นของขวัญแต่งงานให้กับคู่บ่าวสาว ซึ่งทั้งสองคนก็ชื่นชอบมาก จากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงในตอนค่ำ
“โอ้! มีสสวยหวานมากเลยค่ะ” เซน่าออกปากชมทันที เมื่อช่วยวิวาห์แต่งตัวและเกล้าผมเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ร่างระหงของหญิงสาวอยู่ในชุดไทยประยุกต์สีกลีบบัวดูงดงามอ่อนหวาน เรือนผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อย เผยให้เห็นวงหน้าเรียวสวยหวาน อันประกอบไปด้วยดวงตาดำขลับ คิ้วโก่งเรียว และจมูกโด่งงดงามรับกับริมฝีปากอิ่มเต็มที่ถูกแต่งแต้มเอาไว้อย่างประณีต
“ขอบใจในคำชมจ้ะเซน่า แล้วก็ขอบใจที่ช่วยแต่งตัวให้ฉันด้วยนะจ๊ะ”
วิวาห์กล่าวคำขอบใจเด็กสาวด้วยภาษาพื้นเมืองของอัคบาชา ซึ่งเธอสามารถพูดได้ชัดเจนพอควรทีเดียว การเข้าไปพักอยู่ในตำหนักของพระสนมเอกนิลลาหลายวันไม่เสียเวลาเปล่าเลยจริงๆ เธอได้อะไรหลายอย่างจากการเคี่ยวเข็ญของอันน่า ซึ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดก็น่าจะเป็นภาษาพื้นเมืองนี่ เพราะเธอสามารถฟังภาษาพื้นเมืองประโยคง่ายๆ เข้าใจได้มากขึ้น
และสามารถพูดประโยคง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวอัคบาชาได้ดีพอควร อาจเป็นเพราะว่าเธอสนใจภาษาต่างประเทศอยู่แล้วเนื่องจากต้องใช้ในการทำงาน วิวาห์จึงตั้งใจเรียนภาษาพื้นเมืองกับอันน่ามากเป็นพิเศษ ส่วนพวกงานฝีมือ การทำอาหารและเรื่องกิริยามารยาทของสาวชาววังนั้น หญิงสาวแค่พอทำได้เท่านั้นเอง
เมื่อวิวาห์เดินลงมาข้างล่าง ท่านนายพลอัสมา ท่านผู้หญิงจาน่า มิราและร้อยเอกอาเมลต่างก็พากันชื่นชมว่าชุดไทยเป็นชุดที่สวยงาม ซึ่งวิวาห์สวมใส่ได้งดงามแลดูอ่อนหวานเหมาะกับเธอมากเลยทีเดียว
ขณะที่ท่านผู้หญิงจาน่ากับมิราต่างก็สวมชุดกระโปรงยาวกรุยกราย ซึ่งเป็นชุดราตรีประจำชาติของสุภาพสตรีชาวอัคบาชาสำหรับใส่ออกงานกลางคืน ส่วนท่านนายพลอัสมาและร้อยเอกอาเมลต่างก็สวมชุดนายทหารตามยศของตนเอง จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางเข้าวังทันที
เมื่อเดินทางมาถึงพระราชวังหลวงอัคบาชา วิวาห์ก็พบว่าภายในเขตพระราชฐานคึกคักเป็นพิเศษ ทั้งรถราและผู้คนมากมายที่มาร่วมงานเลี้ยงสมรสพระราชในคืนนี้ ภายในท้องพระโรงถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องจัดเลี้ยงที่โอ่โถง โคมแก้วระย้าสีทองประดับคริสตัลกลางท้องพระโรงส่งประกายแวววับงดงามจับตา ผ้าม่านสีชมพูหวานยาวจากเพดานจรดพื้น มีดอกกุหลาบหลากสีประดับอยู่ทั่วทั้งห้อง
โต๊ะอาหารยาวเหยียดถูกตั้งอยู่สองฟากฝั่งของท้องพระโรงตามแนวยาว จนกระทั่งไปบรรจบกับเชิงบันไดหินอ่อนซึ่งปูลาดพรมแดงขึ้นไปจนถึงยกพื้นด้านบนที่มีโต๊ะอาหารชุดใหญ่ตั้งอยู่บนนั้น อันเป็นที่นั่งขององค์ฟาราซและเชื้อพระวงศ์ ส่วนตรงกลางท้องพระโรงถูกเว้นเอาไว้เป็นวงกว้างสำหรับงานเต้นรำในค่ำคืนนี้
มิรากับร้อยเอกอาเมลควงคู่กันเดินไปกล่าวคำทักทายและขอบคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ขณะที่ท่านนายพลอัสมากับท่านผู้หญิงจาน่าเข้าไปพูดคุยกับเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน โดยไม่ลืมที่จะพาวิวาห์เข้าไปทำความเคารพบุคคลเหล่านั้นด้วย
“มีสวิวาห์เดินทางมาจากประเทศไทยงั้นรึ อีกเพียงสามเดือนเอกอัครราชทูตจากประเทศไทยก็จะเดินทางมาประจำการที่อัคบาชาแล้ว ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบและรู้จักกับสุภาพสตรีชาวไทยแสนสวยคนแรก”
ท่านนายพลราชิดรัฐมนตรีมหาดไทยกล่าวทักทายวิวาห์ยิ้มๆ หลังจากที่หญิงสาวพนมมือไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม ส่วนท่านผู้หญิงฟารีดาภริยาของท่านรัฐมนตรีมหาดไทยนั้นเข้ามาสวมกอดวิวาห์หลวมๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมทั้งกล่าวคำทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักกับสุภาพสตรีชาวไทยแสนสวยจ้ะ”
วิวาห์ถูกแนะนำให้รู้จักกับกับต่อใครอีกหลายคน ก่อนที่ท่านนายพลอัสมาและท่านผู้หญิงจาน่าจะพาเธอไปนั่งที่โต๊ะอาหารฝั่งซ้าย โดยท่านนายพลอัสมานั่งที่หัวโต๊ะซึ่งอยู่ติดกับเชิงบันไดหินอ่อนหรือพูดง่ายๆ ก็คือใกล้กับโต๊ะอาหารขององค์ฟาราซกับเชื้อพระวงศ์ ถัดมาเป็นท่านผู้หญิงจาน่า ร้อยเอกอาเมล มิรา วิวาห์และคนอื่นๆ ซึ่งนั่งเรียงรายกันไป
หญิงสาวเห็นท่านนายพลราชิดกับภริยาไปทั้งทางโต๊ะอาหารฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งหันหน้ามาตรงกับท่านนายพลอัสมาพอดี แขกเหรื่อในงานเริ่มเข้าประจำที่ในโต๊ะอาหาร ครู่ต่อมาองค์ฟาราซก็มาถึงท้องพระโรง ผู้คนภายในท้องพระโรงต่างก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งยืนตรงทันที ฝ่ายชายก้มศีรษะลงต่ำเพื่อทำความเคารพ ส่วนฝ่ายหญิงถอนสายบัว องค์ฟาราซก้าวนำเข้ามาเป็นคนแรกในชุดสีเหลืองทองทั้งชุด และโพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันประดับอัญมณีสีแดงอยู่ตรงกึ่งกลางด้านหน้า ขณะที่พระสนมเอกนิลลาก้าวตามเข้ามาด้วยชุดราตรียาวกรุยกรายสีเงินงามระยับ เครื่องประดับแวววาววิบวับจับตา บ่งบอกฐานะของสุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์
ส่วนทายาทหนุ่มรูปงามทั้งสามขององค์ประมุขแห่งอัคบาชา แต่งตัวคล้ายคลึงกันแตกต่างกันแค่เพียงสีเท่านั้น โดยเจ้าชายซานันสวมชุดสีขาวขลิบทองทั้งชุดและโพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกัน ประดับอัญมณีสีเหลืองทองอยู่ตรงกึ่งกลางด้านหน้า ใบหน้าคมสันระบายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่ตลอดเวลา วิวาห์เห็นเจ้าชายอานัมก้าวตามหลังเจ้าชายซานันเข้ามา ในชุดสีน้ำตาลขลิบทองทั้งชุด และโพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกัน ซึ่งประดับอัญมณีสีนิลอยู่ตรงกึ่งกลางด้านหน้า
แต่ที่สะดุดตาวิวาห์มากที่สุดเห็นจะเป็นร่างสูงสง่าในชุดสีน้ำเงินคราม ซึ่งโพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันประดับอัญมณีสีน้ำเงินเข้มอยู่ตรงกึ่งกลางด้านหน้าของเจ้าชายนาดีนที่เดินปิดท้ายขบวนมา เธอไม่เคยเห็นเขาสวมชุดอื่นนอกจากชุดนายทหารมาก่อน ดังนั้นวันนี้หญิงสาวจึงรู้สึกทึ่งและแปลกตาอย่างบอกไม่ถูก พร้อมทั้งนึกอยู่ในใจว่าถ้าใบหน้าของเขาไม่เคร่งขรึมและแย้มยิ้มซักนิด แค่ซักนิดเดียวก็พอ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มคงจะยิ่งชวนมองมากกว่านี้
“เชิญทุกท่านตามสบาย” องค์ฟาราซเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมีกังวานน่าฟัง เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว บรรดาแขก
เหรื่อภายในงานทุกคนจึงทยอยนั่งลงลำดับ จากนั้นองค์ฟาราซก็กล่าวคำอวยพรก่อนมอบของขวัญให้คู่บ่าวสาว พระสนมเอกนิลลากล่าวคำอวยพรต่อจากองค์ฟาราซ พร้อมทั้งมอบของขวัญให้คู่บ่าวสาวเช่นกัน ตามด้วยทายาทหนุ่มทั้งสามขององค์ประมุขแห่งอัคบาชาตามลำดับ แล้วจึงเริ่มการรับประทานอาหาร
องค์ฟาราซลงมาเปิดฟลอร์เต้นรำกับพระสนมเอกนิลลาเป็นคู่แรกที่กลางท้องพระโรง ก่อนที่บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของอัคบาชาจะควงคู่ภริยาเข้ามาเต้นรำทีละคู่จนเต็มฟลอร์ วิวาห์นั่งมองดูมิรากับร้อยเอกอาเมลเต้นรำอยู่ในฟลอร์ด้วยความคล่องแคล่วอย่างเพลิดเพลิน จวบจนกระทั่งมือขาวผ่องของเจ้าชายซานันยื่นมาตรงหน้าหญิงสาวพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยขึ้น
“ให้เกียรติเต้นรำด้วยกันสักเพลงเถอะคุณครับสุภาพสตรี” หญิงสาวนั่งนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาดำขลับจับอยู่ที่ใบหน้าคมสันอ่อนโยนด้วยความงุนงง ซานันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดอีก “คุณคงจะไม่ปฏิเสธให้ผมขายหน้าพวกข้าราชบริพารหรอกกระมังวิวาห์”
คราวนี้หญิงสาวได้สติทันที ร่างระหงรีบลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วพลางพูด
“ดิฉันไม่บังอาจค่ะ”
“หมายความว่าคุณไม่ปฏิเสธผมใช่หรือเปล่าครับ”
“แต่ดิฉันเต้นรำไม่ค่อยเก่งค่ะ เกรงว่า...” หญิงสาวกล่าวแย้งยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงทุ้มนุ่มก็ดังขัดขึ้นเสียก่อนว่า
“ผมไม่ได้คิดว่าคุณจะต้องเต้นรำเก่งนะวิวาห์ ให้เกียรติเต้นรำกับผมเถอะครับ”
“เอ่อ...ค่ะ”
ในที่สุดหญิงสาวก็จำต้องวางมือเรียวขาวนวลลงบนมืออบอุ่นของชายหนุ่ม ก่อนจะเดินตามร่างสูงโปร่งเข้าไปที่กลางฟลอร์เต้นรำ ท่ามกลางสายตาต่างความรู้สึกของผู้คนภายในท้องพระโรงซึ่งกระซิบกระซาบกันไปมา องค์ฟา
ราซกับพระสนมเอกนิลลาต่างก็พากันมองพลางอมยิ้ม ขณะที่อานัมนั่งขบฟันแน่นดวงตาสีเทาจับจ้องร่างระหงในชุดสีกลีบบัว ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนฟลอร์เต้นรำตลอดเวลา ส่วนนาดีนได้แต่นั่งมองนิ่งๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มีใครบอกคุณหรือยัง ว่าคืนนี้คุณงดงามมาก” ซานันถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน ขณะที่พาร่างระหงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงอย่างงดงาม
“ขอบคุณมากค่ะ” วิวาห์เอ่ยเสียงแผ่วเบา เธอยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมสันของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เลยด้วยซ้ำ เพราะว่าดวงตาสีน้ำตาลคมเข้มคู่นั้นหวานซึ้งเสียจนเธอรู้สึกประหม่าไปหมด
“เสร็จงานเลี้ยงคืนนี้แล้ว คุณจะเดินทางกลับเลยหรือครับ” ซานันถาม
“กำหนดกลับของดิฉันอีกสามวันค่ะ” หญิงสาวตอบ
“คุณชอบอัคบาชาหรือเปล่า”
“ชอบค่ะ เพราะอัคบาชาเป็นเมืองที่สวยงามมาก”
“แล้วชอบคนอัคบาชาหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามมาอีก ทำเอาวิวาห์อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า
“เอ่อ...ชอบค่ะ เพราะทุกคนมีน้ำใจดีกับดิฉัน”
“คุณไม่คิดอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไปบ้างหรือครับ”
คำถามประโยคนี้ของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์สร้างความอึดอัดใจให้กับหญิงสาวเป็นอันมาก ทั้งที่เธอเคยพูดคุยกับเขาได้อย่างปกติมาตลอด แต่คืนนี้วิวาห์กลับอ้ำอึ้งและต้องใช้เวลาคิดหาคำพูดที่เหมาะสมอยู่นาน กว่าจะตอบออกไปได้
“อัคบาชาไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของดิฉันค่ะเจ้าชาย”
“คุณไม่มีญาติพี่น้องอยู่ทางโน้นแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าผมจะขอร้องให้คุณอยู่ที่นี่กับผมตลอดไป คุณจะว่าอย่างไร ผมรักคุณนะวิวาห์ คุณคือผู้หญิงคนแรกที่ผมอยากจะแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหญิงพระชายาของผม”
“เจ้าชายซานันคะ คือว่าดิฉัน...” วิวาห์ทำท่าจะแย้ง แต่ซานันก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“สามวันนี้คุณลองคิดดูนะครับ”
วิวาห์ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีกเพราะเพลงจบลงพอดี หญิงสาวจึงได้แต่ถอนสายบัวแสดงความเคารพเขา จากนั้นเจ้าชายหนุ่มก็เดินมาส่งเธอที่โต๊ะ ก่อนจะกลับขึ้นไปนั่งบนแท่นเหนือยกพื้นด้านบน ทิ้งให้หญิงสาวนั่งครุ่นคิดอย่างหนักใจกับคำพูดของเขาอยู่ตามลำพัง
“รู้มั้ยวิวาห์ ว่าตอนนี้เธอกำลังกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนในงานคืนนี้แล้วนะ” เสียงมิราซึ่งเพิ่งจะกลับเข้ามาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างตัวเธอถามขึ้น วิวาห์มองหน้าอีกฝ่ายพลางถาม
“ทำไมหรือจ๊ะ”
“ก็เพราะท่านพี่ซานันขอเต้นรำกับเธอน่ะสิ ไม่เคยมีหญิงสาวคนไหนในอัคบาชาถูกองค์รัชทายาทขอเต้นรำเลยนะจ๊ะ” มิราตอบยิ้มๆ
“งั้นเหรอ” วิวาห์พยักหน้าและพูดไปอย่างนั้นเอง เพราะตัวเธอเองก็นึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรดี สมองของหญิงสาวยังมึนและตื้อไปหมด ทั้งงุนงง สับสน หญิงสาวเฝ้าแต่ถามตัวเองว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร กับคำพูดของเจ้าชายซานันที่บอกว่ารักและอยากจะแต่งตั้งให้เธอเป็นเจ้าหญิงพระชายา เธอตื่นเต้นดีใจหรือว่าอึดอัดใจกันแน่
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ วิวาห์ได้ออกไปเต้นรำกับท่านนายพลอัสมาอีกเพลงหนึ่ง แล้วหญิงสาวก็กลับมานั่งอยู่ที่โต๊ะตามเดิม ขณะที่มิรายังคงอยู่ในฟลอร์เต้นรำกับร้อยเอกอาเมล
วิวาห์เห็นเจ้าชายซานันลงมาเต้นรำกับพระสนมเอกนิลลาหนึ่งเพลง และกับภริยาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีกสองสามท่าน แต่เธอยังไม่เห็นเจ้าชายอานัมกับเจ้าชายนาดีนลงมาเต้นรำเลยสักเพลง ความสงสัยทำให้หญิงสาวต้องหันขึ้นไปมองที่แท่นเหนือยกพื้นสูงด้านบน
แล้วก็พบว่าเจ้าชายอานัมกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ ด้วยใบหน้านิ่งเฉย ดวงตาสีเทาแลดูลึกลับยากจะคาดเดาความรู้สึกในใจได้ ใกล้กันเป็นที่นั่งของเจ้าชายนาดีน แต่วิวาห์ไม่เห็นร่างสูงสง่าของเขานั่งอยู่ที่นั่นแล้ว คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างฉงน พลางถามตัวเองว่าเจ้าชายหนุ่มเดินออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่