ตอน "ลวงรัก รักลวง" 2   1/    
已经是第一章了
ตอน "ลวงรัก รักลวง" 2
“คุณตาครับ” พอลยกมือลูบหน้าอกของตัว รู้สึกจุกนิดๆ แล้วหลีกทางให้ชายชรา สายตาเจ็บปวดมองเสี้ยวหน้าของคุณตาหน้าเอเชีย คนแก่คงจะเจ็บแค้นแทนอันทิตาแน่เลย “หนูตาอยู่โรงพยาบาล นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังไม่ตายสมใจนาย” พูดทิ้งท้ายไว้แล้วเดินเข้าห้อง “ปัง!!...” ปิดประตูใส่คนตัวโตเสียงดัง ใบหน้าของพอลซีดลงทันที ได้แต่ยืนตัวแข็งเป็นท่อนไม้ อันทิตาอยู่โรงพยาบาล “คุณตา!...คุณตา!!...อันทิตาอยู่โรงพยาบาลไหนครับ?” คนร่างหนาทั้งตะโกนและทุบประตูห้อง หวังได้ยินคำตอบจากคนข้างใน “ไอ้คนเลว!!...คิดว่าโรงพยาบาลไหนล่ะที่อยู่ใกล้ที่นี่...ไอ้โง่!!...” คนชราโมโหและเคืองใจอย่างมาก ตะโกนด่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเป็นภาษาเวียดนาม “ตา...ผมขอโทษ” ใจคนเลวเจ็บปวดตรงขั้วหัวใจขึ้นมาทันที นึกถึงหยดเลือดและกระปุกยาในห้องขึ้นมา มืออันสั่นของเขาก็พยายามกดไอโฟนโทรหาคนที่อยู่ในหัวใจของเขามาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะทำเลวร้ายกับเธอขนาดไหน เขาก็รักเธอคนเดียวไม่คิดเป็นอื่น พอลเดินเข้าไปในห้องของอันทิตาอีกครั้ง เขาเข้าไปในห้องน้ำ มองดูสภาพห้องแล้วอันทิตาน่าจะทำร้ายตัวเองในอ่างอาบน้ำเป็นแน่เลย ไหนจะรอยเลือดที่ไหลหยดเป็นทางยาวตามขอบอ่าง ชายหนุ่มย่อตัวนั่งเอนแผ่นหลังพิงขอบอ่าง ยกมือนวดคลึงตรงขมับเบาๆ นี่เขาทำเลวกับเธอจริงๆ สินะ ปวดใจจนเวียนหัว ในช่วงท้องเกิดความปั่นป่วนตีขึ้นจนจุกเสียดคลื่นไส้ขึ้นมาทันที “โอ๊กกก!!..” โก่งคออาเจียนอย่างหนัก น้ำหูน้ำตาไหลคลออยู่ตรงเบ้าตา ชายหนุ่มซบหน้าอันขาวซีดผะอืดผะอม โก่งคอเข้าหาชักโครกอีกครั้ง “โอ๊กกก!!...” อาเจียนอีกครั้งที่มีแต่น้ำขมๆ ออกมา มือเกาะขอบโถชักโครกแน่น อาเจียนเอาเป็นเอาตายจนใจจะขาดหมดแรง พยายามลืมตามองเศษอาหารที่เขาอาเจียนออกมา สายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งในนั้นแล้วล้วงมือลงไปในโถชักโครกหยิบขึ้นมาดู “อันทิตา!!...คุณกล้าทิ้งแหวนแทนใจของผมเลยหรือ?” กระซิบด้วยเสียงเหนื่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นเดินไปยืนตรงอ่างล้างหน้า เปิดน้ำเย็นล้างแหวยพอลเงยมองดูตัวเองในกระจก สายตาแดงก่ำ อันทิตากล้าทิ้งแหวนตระกูลของเขา อุตส่าห์ไปอ้อนขอมารดากว่าจะได้มา เขาต้องพยายามพูดเป็นเดือนกว่าจะได้ นี่อันทิตากล้ามาล้อเล่นกับแหวนวงศ์ตระกูลของเขาขนาดนี้เลยหรือ แววตาของคนไม่เคยรู้สึกผิดกลับมีความแค้นขึ้นมา “ผมจะไม่ปล่อยคุณแน่อันทิตา คุณหนีผมไม่พ้นหรอกคอยดู” เขากระตุกยิ้มเย็นนึกแค้นเธออยู่ในใจ พอลขับบิ๊กไบค์สีดำคู่ใจมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติ ปารีส ชาร์ลล์ เดอ โกล(Charles de Gaulle) ด้วยหัวใจอันว้าวุ่น ร้อนรนกลัวจะไม่มีวันเห็นหน้าอันทิตา หลังจากทะเลาะกับคุณตาหน้าเอเชีย พอลก็รีบเร่งพาตัวเองเข้าไปโรงพยาบาลสอบถามประชาสัมพันธ์ และเข้าไปถามหมอที่อันทิตาเป็นคนไข้ เลยได้รู้แน่ชัดว่าอันทิตาทำร้ายตัวเองอย่างรุนแรง จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และที่ทำให้พอลกลัดกลุ้มมากที่สุดคือชายแปลกหน้า หมอบอกว่ามีชายหนุ่มหน้าตาดีพาเธอออกจากโรงพยาบาลไปก่อนเที่ยงแล้ว และตอนนี้คงจะขึ้นเครื่องกลับบ้านเกิดแล้วด้วย... อันทิตานั่งอยู่ในห้องรับรองแขก รวมกับผู้คนมากมายที่รอขึ้นเครื่องบิน น้ำตาไหลซึมเอ่อล้นเบ้าตา เธอก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือ มันสั่นสะเทือนเตือนให้รู้ว่ามีคนใจเลวโทรเข้ามาหลายสาย “คนชั่ว โทรมาทำไม?” เธอกระซิบเสียงสั่นเครือ เบือนสายตาหนีจากจอโทรศัพท์ เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าของคนใจร้าย มือบางสั่นเทาปิดสายที่ดังสนั่น อันทิตาเงยหน้าอันเศร้าหมอง สายตาของเธอเหม่อลอยมองเครื่องหมายสายการบินไทย สีม่วงสลับทองและสีแดงอยู่ตรงกลางเป็นโลโก้ภาพลายไทยสวยงามสมเป็นแบบอย่างของประเทศไทย มันช่างผิดกันกับเธอเหลือเกิน ที่ไม่มีสิ่งดีงามหลงเหลือไว้ให้ภาคภูมิใจเลยสำหรับวงศ์ตระกูล เธอยังไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองเลยว่าถึงเมืองไทยแล้วจะเจอปัญหาอะไรบ้าง เสียงซุบซิบนินทาในแวดวงสังคมชั้นสูง ไหนจะต้องเผชิญกับนักข่าว “ฮืออ...” อันทิตายกมือขึ้นปิดปากของตัวเอง เพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นของตัวเองลอยออกไปให้ผู้คนมากมายได้ยิน “ตา!!...ร้องไห้ทำไมครับเจ็บตรงไหน?” ปุริมออกไปซื้อน้ำแค่ไม่นาน ทำไมอันทิตาถึงเป็นแบบนี้ เมื่อกี้ยังดูดีอยู่เลย ชายหนุ่มย่อตัวนั่งคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้าหญิงสาว “พี่ปุ๊!!...ตาเจ็บค่ะเจ็บตรงนี้ ฮือออ...” เธอเงยใบหน้าที่นองด้วยน้ำตามองหน้าพี่ชาย แล้วใช้มืออันที่ยังมีผ้าพันแผลทุบลงไปตรงอกข้างซ้ายซ้ำกันหลายที “ตา!!...พี่รู้ว่าตาเจ็บ ตาต้องพยายามลืมสิ่งเลวร้ายนะ เพื่อลูกในท้องนะครับ ถ้าตาเอาแต่ร้องไห้จะกระทบกระเทือนถึงลูกได้ พี่จะอยู่เคียงข้างตาเอง” ยื่นมืออันอบอุ่นเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน เขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้หญิงสาวตรงหน้ากลับมาเป็นคนสดใสเหมือนเดิมให้ได้ “พี่ปุ๊” ร่างบางโผเข้ากอดรอบคอหนา ใบหน้าของเธอซบลงตรงหัวไหล่ของพี่ชาย ส่งเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ “เครื่องจะออกแล้ว ไปล้างหน้าก่อนไหมครับ?” ปุริมยกมือหนาลูบสัมผัสเส้นผมนุ่มนิ่มที่สยายกระจายเต็มแผ่นหลัง กระซิบบอกตรงข้างหู อันทิตาพยักหน้ารับทั้งที่ยังซบหน้าอยู่บนไหล่ของปุริม “เดี๋ยวพี่พาไปนะครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมทั้งรั้งร่างบางให้เธอลุกขึ้นยืนตาม แขนหนายังโอบกอดไว้หลวมๆ มือของเขาจับกระชับตรงหัวไหล่บาง อีกมือถือกระเป๋าสะพายให้น้องสาวพาเดินเข้าห้องน้ำ ปุริมพยุงอันทิตา เธอมีใบหน้าซีดเซียวไม่มีแรงจะเดินต้องใช้ร่างกายของปุริมเป็นที่เกาะ ใบหน้าซบลงตรงอกแกร่ง แขนสลวยกอดเอวสอบแน่น ส่วนอีกข้างยกขึ้นจับปกเสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มแน่นหวังเป็นที่ยึด ทุกอิริยาบถของหญิงสาวและชายหนุ่ม มันช่างเป็นภาพบาดตาบาดใจเหลือเกินสำหรับใครอีกคนที่ได้แต่ยืนมอง เขาไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ แววตาสีน้ำเงินครามเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำที่สามารถเผาผลาญบานกระจกใสให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พอลเดินและวิ่งตามคนทั้งสองอยู่ด้านนอก สายตาก็ยังจับจ้องร่างของหญิงสาวทางกระจก มือก็เคาะกระจกอยู่ข้างนอก ปากก็ตะโกนให้อันทิตาหันมามอง มืออีกข้างพยายามกดโทรศัพท์ต่อสายถึงเธอ เขาอยากจะเข้าไปกระชากไอ้ผู้ชายคนนั่นเสียเหลือเกิน มันเป็นใคร มันกล้าอย่างไรถึงมากอดเธอแบบบนี้ และกล้าดีอย่างไรถึงจะมาพรากเมียไปจากเขา อย่าให้ได้เจอหน้ากันจังๆ นะพ่อจะชกหน้ามันให้แหกคามือแน่ “ตา!!...ผมอยู่นี่ ออกมาคุยกับผมเดี๋ยวนี้ คุณจะไปไหนไม่ได้ ออกมาหาผมเดี๋ยวนี้ ผมขอโทษ” วิ่งและตะโกนจนเหนื่อย พอลทรุดตัวลงนั่งทับส้นเท้า เอาศีรษะโขกกับกระจกเบาๆ สายตาก็มองโทรศัพท์ หมดหวังที่จะได้พูดและปรับความเข้าใจกับหญิงสาว อันทิตามีลางสังหรณ์ เธอแปลกใจทำไมผู้คนต่างมองเป็นสายตาเดียวกันตรงข้างนอก เธอพยายามมองบานกระจก เท้าก็ยังเดินตามพี่ชาย แล้วหันหลังไปมองแต่ก็มองไม่เห็น นอกจากเสียงเอะอะโวยวายข้างนอก หญิงสาวมองเท่าไรแต่ก็มองไม่เห็น จะเห็นได้อย่างไรในเมื่อชายหนุ่มทรุดนั่งอยู่ “มองอะไรตา?” ปุริมหันไปมองหน้าน้องสาว มือยังกุมจูงเธออยู่ไม่ปล่อย “ไม่รู้สิคะ ทุกคนพากันมอง ตาเลยอยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน ข้างนอกก็เสียงดังด้วยค่ะ” มือบางยังเกาะมือพี่ชาย เท้าก็เดินตามรอยเท้าของปุริม เธอหันมาตอบชายหนุ่มแล้วหันไปมองตรงจุดเอะอะเสียงดังนั่นอีก อยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นอะไร “อย่าไปสนใจเลยตา เข้าห้องน้ำได้แล้วพี่จะรออยู่ตรงนี้นะครับ” บอกน้องสาวว่าอย่าสนใจ แต่กลับเป็นเขาเองที่อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มหันไปมองตรงจุดที่คนมุง สงสัยเหมือนกัน อยากจะเดินเข้าไปดูแต่ใจก็ห่วงน้องสาว... “คุณผู้ชายจะรับน้ำอะไรดีครับ?” สจ๊วตชายเข็นรถเครื่องดื่มมาหยุดตรงที่ปุริมนั่ง แล้วยื่นมือจัดปรับที่วางของด้านหน้า “คุณมีอะไรให้ผมกินแล้วหายเวียนหัวได้ไหมครับ?” ปุริมใช้มือนวดขมับ มืออีกข้างยังถือถุงกระดาษใส่อาเจียนไว้แน่น ใบหน้าเข้มของเขาขาวซีด ปุริมกลั้นใจลืมตาขึ้นแล้วหันไปถามสจ๊วต “คุณผู้ชายหน้าซีดจัง คงจะเมาเครื่องดื่มโค้กแก้ได้นะครับ” สจ๊วตเปิดกระป๋องโค้กเทลงใส่แก้วแล้วยื่นให้ปุริม “ขอบคุณครับ” ปุริมรับแก้วโค้ก พร้อมทั้งจรดเรียวปากลงตรงปากแก้วกลืนน้ำโค้กลงคอ ชุ่มคอขึ้นมาบ้าง เขาจิบโค้กเล่นๆ จนจะหมดแก้ว “รู้สึกดิ...ดี...” สจ๊วตเอ่ยถามยังไม่ทันจะจบคำ “โอ๊กกก!!...โอ๊กกก!!...” ปุริมถือถุงกระดาษประชิดปาก หายใจทางจมูกและปาก โก่งคออาเจียนเอาเป็นเอาตาย อาหารและน้ำโค้กที่ดื่มไปเมื่อกี้ออกมาไม่มีเหลือติดท้อง “เออ!!...คุณผู้ชาย!!...เดี๋ยวผมไปเอายาดมมาให้นะครับ” สจ๊วตไปไม่ถูกตกใจไม่น้อย เขาแกะผ้าเย็นแล้วยื่นให้ปุริม “ไม่ต้องครับ ผมขอน้ำเย็นล้างปากสักแก้วครับ” ปุริมรับผ้ามาเช็ดปากและหน้าของตัวเอง เขาเงยหน้าอันอิดโรยมองสจ๊วต อับอายเหลือเกิน มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน หรือว่าเขาจะเมาเครื่องจริงอย่างที่ชายหนุ่มตรงหน้าบอก มันจะเป็นไปได้ยังไง นั่งเครื่องบินเป็นพันๆ ครั้งไม่เคยมีอาการเมาเครื่องทำไมมาเป็นตอนนี้ เสียงโอ้กอ้ากอาเจียนของปุริมดังจนทำให้อันทิตานอนหลับอยู่ข้างๆ ลืมตาขึ้นมาดู เธองัวเงียสีหูสีตาแล้วขยับปรับพนักเก้าอี้ในท่านั่ง หันไปมองพี่ชายที่มีใบหน้าซีดเซียว “พี่ปุ๊เป็นอะไรคะ?” อันทิตาหันไปมองพี่ชายแล้วเงยหน้ามองสจ๊วต “พี่ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับคงจะเครียดน่ะ เลยเวียนหัวนิดหน่อย” ปุริมเอ่ยบอกเสียงสั่นๆ ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตรงหางตาออก ส่วนอีกข้างยกขึ้นเกาตรงต้นคอแก้เขินอาย “พี่ปุ๊...หน้าทำไมซีดจังคะ?” ยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากหนาของชายหนุ่ม “อย่าห่วงพี่เลยนะครับ เดี๋ยวพี่พักสักงีบคงจะดีขึ้น” ปุริมจับมือน้องสาวมากุมไว้แล้วส่งยิ้มให้ “พี่ปุ๊เอายาดมไหมคะ?” อันทิตาส่งยิ้มให้พี่ชายยื่นยาดมจ่อจมูกชายหนุ่ม แล้วยังเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ผุดขึ้นตามหน้าผากออกให้ “พี่ไม่รู้เป็นไรอยากกินอะไรที่มีรสเปรี้ยวๆจัง ตามีของอะไรให้พี่อมบ้างไหมครับ?” เอ่ยถามน้องสาว แล้วปรับที่นั่งเอนลงในท่านอน ชายหนุ่มหลับตานึกถึงมะม่วงดองเปรี้ยวๆ ที่ใครคนหนึ่งขอร้องให้เขาซื้อไปฝาก นี่เขาลืมเธอสนิทไปเลยหรือ “ปาน...”เสียงเข้มรู้สึกผิด เอ่ยพึมพำให้ได้ยินเพียงคนเดียว หัวใจหวิวๆ ทุกครั้งยามนึกถึงใบหน้าของเธอ นึกถึงคำพูดหวานๆ ที่คอยจะออดอ้อนเขาให้ใจชื้นยามกลับมาจากทำงาน “ของเปรี้ยวเหรอ ตาไม่มีหรอกค่ะ” มองพี่ชายอย่างสงสัย อยากกินอะไรก็ไม่รู้ของเปรี้ยว ทำยังกับคนแพ้ท้อง “พี่อยากกินครับ” บอกด้วยเสียงเหนื่อยๆ ก็เขาเหนื่อยจริงๆ รีบยกมือปิดปากตัวเองไว้เพราะปั่นป่วนตรงท้อง ชายหนุ่มเริ่มผะอืดผะอมจะอาเจียนอีกรอบ “จะให้ตาไปหาที่ไหนล่ะคะ บนเครื่องบินคงไม่มีมะม่วงมะขามหรอกมั้ง” อันทิตายังจ่อยาดมตรงจมูกชายหนุ่ม แล้วหันไปมองสจ๊วตส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม “บนเครื่อง เรามีบ๊วยเปรี้ยวครับ...” “จริงเหรอ งั้นดิฉันขอสักห่อได้ไหมค่ะ” อันทิตาหันไปคุยกับสจ๊วต เธอเป็นห่วงพี่ชาย มองใบหน้าของปุริมแล้วคงจะเหนื่อยและเครียดจริงด้วยแหละ “นี่ครับคุณผู้หญิง” ยื่นห่อบ๊วยเปรี้ยวให้อันทิตา แล้วยิ้มๆ “ขอบคุณค่ะ” อันทิตารับบ๊วยมาถือ เธอหันไปมองพี่ชายที่ทำหน้าผะอืดผะอม “พี่ปุ๊อมบ๊วยนะคะ” อันทิตาจับมือพี่ชายให้ถือเม็ดบ๊วย เธอเห็นเขาอมบ๊วยเปรี้ยวน่าตาเฉย พี่ชายของเธออมไปได้ยังไงออกจะเปรี้ยวเข็ดฟันขนาดนั้น เธอเห็นปุริมอมแล้วขนลุกขึ้นทันที “ขอบคุณครับ” รับบ๊วยแล้วเอาเข้าปากอมไว้ ด้วยหน้าตาเฉย ปุริมอมยิ้มขึ้นมาทันที รสเปรี้ยวของบ๊วยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้น หายผะอืดผะอมทันที ความที่อยากจะอาเจียนก็ลดน้อยลง สดชื่นขึ้นมาทีเดียว “เป็นอย่างไรบ้างครับคุณผู้ชาย” สจ๊วตยืนมองหน้าปุริมที่มีสีสันขึ้นมา เพราะเม็ดบ๊วยนั่นเอง “ดีขึ้นมากเลยครับ ได้ของเปรี้ยวๆ อมแล้วสดชื่นดี” ปุริมหันไปมองสจ๊วตหนุ่ม สีหน้าของเขาผิดกับเมื่อกี้นี้มากเลย ดูมีเลือดสูบฉีดขึ้นมาเลยเชียว “พี่ปุ๊อมไปได้ยังไงคะ บ๊วยเปรี้ยวจะตาย ตาเห็นแล้วเข็ดฟันแทนค่ะ” อันทิตาทำหน้าตาหยีๆ ใส่พี่ชาย “ตาเอาสักเม็ดไหมครับ อร่อยนะ” จับบ๊วยออกจากห่อแล้วยื่นให้อันทิตา “ไม่ค่ะ” ส่ายหัวให้กับพี่ชาย มองหน้าปุริมที่อมบ๊วยทีเดียวสามเม็ด “ขอบคุณนะครับ ถ้าไม่ได้บ๊วยห่อนี้ผมคงขายหน้าแน่เลย เอาสักเม็ดไหมครับ” ปุริมหันไปคุยกับสจ๊วตแล้วยื่นบ๊วยให้เช่นกัน “ขอบคุณครับ” เอ่ยบอกแล้วยิ้มให้ปุริม เขามองชายหญิงสองคนคงจะเพิ่งแต่งงานกันแน่ดูมุ้งมิ้งกันเหลือเกิน “คุณผู้หญิงจะรับน้ำอะไรดีครับ” สจ๊วตหันไปเอ่ยถามอันทิตา เพราะรับรู้ว่าอาการของชายหนุ่มดีขึ้นแล้ว เขาก็ต้องมีหน้าที่บริการคนต่อไป “ขอน้ำเปล่าค่ะ” อันทิตาตอบ “ผมขอน้ำมะนาวไม่ต้องใส่น้ำตาลนะครับ” ปุริมหันไปขอน้ำกับสจ๊วต “พี่ปุ๊!!...กินไปได้ยังไงคะ ทั้งบ๊วยทั้งน้ำมะนาว เดี๋ยวท้องก็พังพอดี” อันทิตาหันไปมองหน้าพี่ชาย “คงชุ่มคอดี พี่อยากดื่มครับ” ปุริมหันมองหาน้องสาวแล้วส่งยิ้มแหยๆ ให้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากจะกินไอ้ของหมักของดองแบบนี้ นึกถึงตอนที่ปานประดับซื้อมากิน ตอนนั่นเขายังห้ามเธอไม่ให้กินเยอะ แต่ตอนนี้เขานึกถึงเธอเคี้ยวมะม่วงมะขาม มันทำให้เขาน้ำลายสอขึ้นมาทันที “คนแพ้ท้องแทนเมียก็แบบนี้แหละครับคุณผู้หญิง” สจ๊วตเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งยื่นน้ำเปล่าให้กับหญิงสาว ตามด้วยน้ำมะนาวไม่ใส่น้ำตาลให้กับปุริม “แพ้ท้องแทนเมีย!!...พี่ปุ๊!!...” อันทิตาหันไปมองสจ๊วตหนุ่ม แล้วหันมามองหน้าปุริมที่ยังทำหน้าตาตกใจเหมือนกัน “แค่ก!!...แค่ก!!...คุณว่าอะไรนะครับ” ปุริมสำลักน้ำมะนาว บ๊วยที่อมอยู่เกือบจะพ้นออกมาจากปาก ชายหนุ่มรีบเช็ดน้ำมะนาวที่ไหลย้อยตามเรียวปากหนา พร้อมทั้งเงยหน้าตื่นตระหนกมองสจ๊วต แล้วหันไปมองอันทิตา “ครับ...คุณผู้ชายคงจะแพ้ท้องแทนคุณผู้หญิงแน่เลยครับ ผมเคยเป็นครับ ตอนเมียผมท้องจะมีอาการแบบคุณผู้ชายนี่แหละครับ ยังไงก็แสดงความยินดีกับคุณทั้งสองด้วยครับ” สจ๊วตเอ่ยบอก แล้วขอตัวไปทำหน้าที่บริการลูกค้าคนอื่นๆ ปุริมข่มตานอนไม่หลับ เขานั่งมองหน้าน้องสาวที่หลับไปอีกรอบเธอคงจะเหนื่อยจริง ข้อมือทั้งสองข้างก็ยังไม่หายดี ใจร้อนรนมันเหมือนมีอะไรมาขัดๆ หายใจก็ไม่ออก คิดทบทวนคำพูดของสจ๊วตแล้วมันรู้สึกหน่วงๆ ที่หัวใจยังไงไม่รู้ สายตาเข้มหันไปมองผ่านบานหน้าต่างความมืดของท้องฟ้า มันช่างเหมือนหัวใจของเขาตอนนี้เสียเหลือเกิน มันมืดดำหาสีขาวไม่มีเลยสักนิด เขาจะทำอย่างไรกับชะตาชีวิต จะหาที่ลงได้อย่างไร และไม่รู้จะเริ่มตรงจุดไหนระหว่างความกตัญญูและความรัก “บ้าน่ะไอ้ปุ๊” เขาก่นด่าตัวเองเสียงแผ่วเบา จะมาแพ้ท้องแทนเมียได้ไง ในเมื่อเขากับอันทิตาไม่ได้เป็นอะไรกัน ถ้าเป็นปานประดับก็ไปอีกอย่าง ถ้าปานประดับท้องทำไมเธอไม่บอกเขาล่ะ ปานประดับคงไม่ได้ท้องแน่ ที่เขามีอาการแบบนี้เพราะเขาเครียดไม่ได้พักผ่อนก็เท่านั้นเอง.....
已经是最新一章了
加载中